ตอนที่ 53 เปลี่ยนอารมณ์ไว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 53 เปลี่ยนอารมณ์ไว

หลินเว่ยเว่ยเล่าเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดได้อย่างออกรสออกชาติ พี่สาวตนโตพอได้ฟังก็เกิดความเพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่อง ดังนั้นจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

นางน่ะหรือ ! นางไม่ใช่เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดหรอก ! นางคือปิศาจร้ายในนิทานเรื่อง ‘ปิศาจงู’ นางคือปิศาจที่จับตัวชายชราไปแล้วยังคิดจับเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดมาหลอมเป็นยาเจ็ดใจ นางชั่วร้ายมาก ! หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเสียงดังลั่น เด็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะคิกคักตามอย่างสนุกสนานเช่นกัน

พี่สาวได้ยินเช่นนั้นก็โมโหจนเกือบคว่ำกะละมังผักป่าทิ้ง จากนั้นจึงรีบหันไปฟ้องนางหวง ท่านแม่ดูนางสิเจ้าคะ ! ท่านไม่คิดดุนางบ้างเลยหรือ !

ไอหยา ปิศาจโมโหแล้ว ปิศาจจะกินคนแล้ว รีบหนีเร็ว ! ยิ่งเห็นว่าพี่สาวโมโหมากเท่าไร หลินเว่ยเว่ยก็ยิ่งได้ใจและอยากแกล้งมากขึ้นเท่านั้น

เจ้าหนูน้อยที่คิดว่าตนเป็นซานฮว๋าในนิทานจึงรีบวิ่งไปทางมารดา แย่แล้ว ! ปิศาจจะจับตัวชายชราไปแล้ว ! ท่านไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยแล้วขอรับ !

เจ้าเด็กนี่ ! เจ้าอยากโดนข้าตีใช่หรือไม่ ? พี่สาวคนโตจับใบหูของเด็กน้อยเอาไว้ ตอนนี้นางโกรธจนตัวสั่นไปหมด

ส่วนเด็กน้อยที่โดนพี่สาวจับหูอยู่ก็หันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเว่ยเว่ย แย่แล้ว ! ข้าถูกปิศาจจับตัวได้ ต้าฮว๋ารีบมาช่วยข้าเร็ว

ภายในบ้านตระกูลเจียง หลินจื่อเหยียนได้เอ่ยกับเจียงโม่หานด้วยความอับอายว่า ศิษย์พี่เจียง ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านได้ยินเรื่องน่าขันเช่นนี้…

เจียงโม่หานหันไปมองกำแพงบ้านที่อยู่ถัดไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม นิทานเรื่องนี้น่าสนใจดี…

นิทานเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดนี้แบ่งความสามารถของตัวละครในนิทานได้เป็นเจ็ดประเภทซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว…เมื่อชาติที่แล้วเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน หรือว่า…เจ้าเด็กอ้วนเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเอง ? แต่นางจะรู้หนังสือและสามารถเขียนนิทานที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้หรือ!

สรุปแล้วนางเป็นใครมาจากที่ใดกันแน่ เหตุใดยิ่งเขาพยายามทำความเข้าใจมากเท่าไรก็ยิ่งมิอาจเข้าใจนางมากเท่านั้น ? เจียงโม่หานส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วเบนความสนใจไปยังปัญหาที่หลินจื่อเหยียนถาม บุตรชายคนโตของตระกูลหลินเป็นผู้มีพื้นฐานความรู้ค่อนข้างแน่น เพียงแต่ยังขาดการมองการณ์ไกลไปบ้าง ทว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการสอบถงเซิงไม่มากนัก ดูท่าว่าปีหน้าคงจะสอบผ่าน

หลังจากถกถึงปัญหาในตำราได้สักพัก กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยผ่านอากาศเข้ามา ทำให้บัณฑิตหนุ่มทั้งสองเริ่มรู้สึกหิวจนไส้กิ่วแล้ว เจียงโม่หานพยายามอดกลั้นความหิวเอาไว้ ในขณะที่หนุ่มน้อยหลินจื่อเหยียนแอบกลืนน้ำลายไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว

เจียงโม่หานเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน เจ้ากลับไปทบทวนตามที่ข้าบอกเถิด…

กินข้าวได้แล้ว ทุกคนมากินข้าวได้แล้ว ! น้าเฝิง พี่โม่หาน อาหารเสร็จแล้ว ท่านแม่ให้ข้ามาตามพวกท่านไปกินข้าว ! เจ้าหนูน้อยวิ่งเข้ามาในบ้านตระกูลเจียงราวกับลมพายุ ปากก็ร้องเพลงที่หลินเว่ยเว่ยเพิ่งสอนไปว่า ลูกน้ำเต้า ลูกน้ำเต้า เจ็ดผลบนเถาไม่กลัวลมฝน ลาลาลา ลาลาลา…

เมื่อเรียกบ้านเจียงให้มาทานข้าวด้วยกันแล้ว เจ้าหนูน้อยก็มาล้างมืออย่างว่าง่าย จากนั้นก็ช่วยหลินเว่ยเว่ยจัดเตรียมถ้วยและตะเกียบ ในใจพลางคิดว่า ‘พี่รองทำหมูตุ๋นน้ำแดงอร่อยมาก เมื่อครู่ตอนอยู่ในครัว นางคีบให้ข้าลองชิมหนึ่งชิ้น มันอร่อยเสียจนข้าเกือบกัดลิ้นตัวเอง ! ’

เจียงโม่หานเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือก็โบกพัดไปมา เขาเดินมายังบ้านตระกูลหลินอย่างสง่าผ่าเผยและเห็นว่าบนโต๊ะหินทรงกลมใต้ร่มไม้ใหญ่ตรงลานบ้านมีหมูตุ๋นน้ำแดงหม้อใหญ่วางอยู่ ทั้งสีและกลิ่นของมันสามารถเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ถัดไปคือเนื้อกระต่ายผัดแห้งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเข้มข้นของเครื่องเทศ

นอกจากนี้บนโต๊ะยังมีมะเขือยาวนึ่งกระเทียม ยำแตงกวาเย็น ผัดถั่วแขกพริกแห้งและยำผักป่า พร้อมด้วยซุปมะเขือเทศใส่ไข่ที่ถูกยกมาเป็นลำดับสุดท้าย

หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าตนโชคดีที่ได้ย้อนเวลามายังโลกใบนี้เพราะเป็นโลกที่มีพริก มะเขือเทศและกระเทียมไร้สารพิษ…ตามร้านขายยาจีนก็ยังหาซื้อเครื่องเทศจำพวกโป๊ยกั๊ก พริกหม่าล่า จือหราน1และอื่น ๆ ได้ด้วย ในฐานะที่นางเป็นนักกินตัวยง สิ่งนี้ถือเป็นความสุขอย่างแท้จริง !

น้าเฝิง บัณฑิตน้อย เชิญนั่ง ! ลองชิมฝีมือของข้าสิ ! หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าสองแม่ลูกตระกูลเจียงเดินเข้ามาจึงกล่าวต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

ส่วนคนที่เดินตามหลังของทั้งสองคนมาคือหนุ่มน้อยหลินจื่อเหยียน เด็กหนุ่มได้ยินพี่รองต้อนรับแค่สองแม่ลูกแต่ไม่กล่าวถึงตนก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา พี่รอง เหตุใดท่านไม่เรียกข้านั่ง ?

เฮอะ ! เจ้าน้องชายคนนี้ ! หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็เขกหน้าผากเขาไปหนึ่งที เจ้าไม่ใช่แขกเสียหน่อย เหตุใดต้องให้ข้าเชิญนั่ง ? ยังไม่รีบไปยกหม้อข้าวมาอีก !

หลินจื่อเหยียนบ่นพึมพำว่า สุภาพบุรุษไม่เข้าห้องครัว…

เจ้าจะเป็นสุภาพบุรุษก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด หากเจ้าไม่เข้าห้องครัวก็ต้องทานผักทานหญ้าไปตลอดชีวิต แต่ช่างปะไร หากไม่มีการซื้อขายก็ไม่ต้องฆ่าฟันสัตว์น้อยใหญ่ ! เจ้าเป็นคนจิตใจดีถึงเพียงนี้ จะมาทานเนื้อกระต่ายเนื้อหมูได้เช่นไร ? กระต่ายและหมูพวกนี้ทั้งน่าสงสารและน่ารัก…

หลินเว่ยเว่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตาของนางเพ่งไปที่น้องชายคนโตด้วยความหมายที่สื่อชัดเจนว่า ‘หากอยากทานก็ต้องช่วยกัน ไม่มีผู้ใดติดหนี้เจ้าเสียหน่อย ! ’

นางไม่อยากปลูกฝังนิสัยเกียจคร้าน ไม่สนโลก ไม่รู้จักความลำบากและแล้งน้ำใจให้น้องชาย !

หลินจื่อเหยียนที่เห็นสายตาของพี่สาวก็เกิดความขลาดขึ้นมา กระนั้นเขาก็ยังกล่าวอย่างไม่ยอมว่า หึ ! ข้าเถียงสู้ท่านไม่ได้หรอก ! ในระหว่างที่กล่าวเขาก็ยอมเดินเข้าไปในครัวแต่โดยดี

พี่สาวคนโตเห็นเช่นนั้นก็รีบมาขวางเขาไว้แล้วกล่าวว่า เหตุใดต้องให้เจ้าไปยกด้วย ? น้องชายของข้า เจ้านั่งลงเถิด ประเดี๋ยวพี่ใหญ่จะไปยกมาให้เอง…

เขาโตถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดจะยกหม้อข้าวออกมาด้วยตนเองมิได้ ? ต้าฮว๋า เจ้าคิดว่าตนเรียนหนังสือแล้วมีความดีความชอบอันยิ่งใหญ่หรือไร เจ้าคิดว่าการที่คนในครอบครัวต้องทุ่มเทเพื่อเจ้าเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือ ? เพราะเจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตเหมือนคุณชายใหญ่ที่เพลิดเพลินไปกับการเอาอกเอาใจจากผู้อื่นใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยแสดงท่าทีดูแคลนต่อพฤติกรรมของพี่สาวอย่างชัดเจน

หลินจื่อเหยียนได้แต่ยืนหน้าแดง เขายืนประหม่าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะไปทางไหนดี

นางหวงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสารบุตรชายจับใจ นางอยากช่วยพูดแทนบุตรชายคนโต แต่ถูกนางเฝิงจับมือเอาไว้พลางส่ายหน้าให้เบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าให้เด็ก ๆ จัดการเอง

พี่สาวคนโตดึงน้องสามมาไว้ด้านหลังแล้วทำท่าราวกับต้องการปกป้องน้อง น้องรอง เจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย ! ก็ใช่แล้วอย่างไร ตอนนี้เงินในบ้านล้วนเป็นเงินที่เจ้าหามาได้ แต่เจ้าก็ไม่ควรกล่าวกับน้องชายของเราด้วยคำที่ไม่น่าฟัง…

ที่ข้ากล่าวเช่นนั้นเพราะเหตุใดน่ะหรือ ? ก็เพราะเจ้าไม่ใช่หรือไร ? ต้าฮว๋าเตรียมเข้าไปยกหม้อข้าวจากในครัวมาแล้ว หากเจ้าไม่ขวางไว้ เขาคงยกหม้อข้าวออกมาแล้ว ข้าจะกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ?

จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปมองหลินจื่อเหยียนที่กำลังอับอาย หรือเจ้าคิดว่าพี่รองพูดไม่น่าฟัง แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าคำเตือนที่หวังดีมักขัดหูเสมอ ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเรียนหนังสือไปเพื่อเหตุใด ? เจ้าเรียนเพื่อที่จะสอบเป็นขุนนางมิใช่หรือ ? การสอบเข้าเป็นขุนนางมีเพียงบัณฑิตจอหงวน ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวาเท่านั้นที่จะได้อยู่ในเมืองหลวง ส่วนระดับอื่นต้องไปเป็นขุนนางในพื้นที่ทุรกันดาร ต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย หากชีวิตเอาแต่สุขสบาย ไม่เคยพบเจอความลำบากและไม่เคยได้ทำสิ่งใดด้วยตนเอง เช่นนั้นจะเป็นขุนนางระดับท้องถิ่นได้อย่างไร ? ข้าก็แค่ให้เจ้าไปยกหม้อข้าวมา ไม่ใช่บังคับให้เจ้าไปทำงานบ้านทั้งหมดเสียหน่อย ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะอยากให้เจ้ามีจิตใจดีงามกว่าบัณฑิตคนอื่น อยากให้เจ้าเป็นบัณฑิตผู้ติดดิน !

หลินจื่อเหยียนเป็นคนฉลาดย่อมเข้าใจเหตุผลของพี่รองดี ดังนั้นความอับอายบนใบหน้าของเขาจึงค่อย ๆ จางหายไป เขาหันไปคำนับให้หลินเว่ยเว่ยแล้วยกย่องนางเสมือนอาจารย์คนหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปในห้องครัวแล้วละทิ้งความไม่เต็มใจทั้งหมดไป

เจียงโม่หานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นว่าแววตาของหลินเว่ยเว่ยมีความซับซ้อนที่ไม่อาจมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คล้ายว่าเป็นสายตาของคนที่เคยผ่านโลกมาอย่างมากมาย

หลินเว่ยเว่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาจึงรีบหันไปยิ้มร่าให้ทันที บัณฑิตหนุ่ม เจ้าคือแขก เจ้านั่งเช่นนั้นถูกแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะเป็นคนตักข้าวให้เจ้าและน้าเฝิงเอง !

ใช้ได้เลย เปลี่ยนอารมณ์ได้ไวนัก !

นางเฝิงหัวเราะออกมา จากนั้นก็กล่าวกับนางหวงว่า บุตรสาวคนรองของท่านช่างน่าสนใจเสียจริง ข้าอยากแย่งนางมาเป็นบุตรสาวของตนเสียแล้วสิ !

หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวโดยไม่ถ่อมตนว่า น้าเฝิง ไม่ใช่แค่ท่านคนเดียวหรอกที่มีความคิดเช่นนี้ ! แต่จะให้ทำเช่นไรได้ ผู้ใดใช้ให้ข้าเก่งถึงเพียงนี้กันเล่า จะทำสิ่งใดก็ทำได้ไปเสียหมด !

1 จือหราน คือ ยี่หร่า

ตอนต่อไป