ตอนที่ 54 มีหน้าที่หน้าตาดีไปวันวัน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 54 มีหน้าที่หน้าตาดีไปวันวัน

แต่นางเฝิงก็ยังมิวายที่จะเอ่ยหยอกล้อ วันนี้ข้าได้ยินหญิงผมสั้นบอกว่าอยากให้เจ้าไปเป็นลูกสะใภ้ของนาง !

เจ้าหนูน้อยที่เดิมทีนั่งอยู่ข้างโต๊ะอย่างเชื่อฟังพร้อมจับจ้องไปยังหมูตุ๋นน้ำแดงนั้น พอได้ยินประโยคที่ไม่เข้าหูก็เลิกสนใจหมูตุ๋นน้ำแดงทันทีแล้วหันมาตะโกนว่า ไม่ได้ ! พี่รองเป็นของข้า ผู้ใดจะมาแย่งไปก็ไม่ได้ทั้งสิ้น !

นางเฝิงได้ยินเด็กน้อยกล่าวเช่นนั้นก็บีบแก้มเขาด้วยความเอ็นดู แต่ไม่ช้าก็เร็วพี่รองของเจ้าต้องออกเรือนไปอยู่ดี !

เจ้าหนูน้อยขอบตาแดงก่ำด้วยความร้อนใจ จากนั้นก็จับชายเสื้อของหลินเว่ยเว่ยไว้แน่น ดวงตากลมโตของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาขณะจ้องมองไปที่นาง

หลินเว่ยเว่ยรู้สึกสงสารน้องชายจับใจจึงรีบกล่าวว่า น้องสี่ไม่ต้องร้อง พี่รองของเจ้าจะไม่แต่งออกเด็ดขาด…ในอนาคตข้าจะแต่งบุรุษเข้าบ้านเอง

นางหวงได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนี้จึงดุทันที ลูกคนนี้ เจ้าพูดเหลวไหลอันใด ? ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเอาหรือ !

นางเฝิงหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูแล้วกล่าวกับนางหวงว่า ไม่เป็นไรหรอก ที่นางกล่าวเช่นนั้นเพราะต้องการปลอบใจน้องชาย พวกเราก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องตลกแล้วกัน เสี่ยวเว่ย ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าจะแต่งบุรุษเช่นไรเข้าบ้าน ?

แน่นอนว่าเขาต้องหน้าตาดี จะดูอ่อนแอบ้างก็ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง ส่วนเขามีหน้าที่หน้าตาดีไปวันวันก็พอ ! ขณะที่กล่าวหลินเว่ยเว่ยก็จงใจใช้สายตาลอบมองไปทางเจียงโม่หานไม่หยุด

เจ้าหนูน้อยจึงกล่าวว่า พี่โม่หานก็รูปงามนะพี่รอง รูปงามกว่าบุปผาเสียอีก !

ประโยคนี้ทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เจียงโม่หานเป็นตาเดียวโดยเฉพาะนางเฝิงที่หัวเราะจนแทบกลิ้งตกเก้าอี้

เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก

หางตาของเขากระตุกเล็กน้อยจากนั้นก็คีบหมูตุ๋นน้ำแดงขึ้นมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและนำมันเข้าปากเคี้ยวด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาแสดงความไม่ใส่ใจออกมาราวกับเมื่อครู่นี้นางไม่ได้เอ่ยถึงตน

หลินเว่ยเว่ยจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ‘เมื่อใดหนอที่ข้าจะได้เห็นบัณฑิตหนุ่มหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงเสียบ้าง ? ’ นับแต่ที่บัณฑิตหนุ่มคนนี้ล้มหัวฟาดพื้นในคราวนั้น พอฟื้นขึ้นมานิสัยของเขาได้เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเขาทั้งหยิ่งยโส ตรงไปตรงมาและเปิดเผย ทว่าตอนนี้เขาเก็บความรู้สึกเก่ง สามารถยับยั้งอารมณ์ของตนได้แต่ก็ยังดีที่นางพอยั่วโทสะเขาได้บ้าง

นางหวงเหลือบมองไปยังเจียงโม่หานพลางคิดในใจว่าเสี่ยวหานก็เหมาะเป็นลูกเขยเช่นเดียวกัน แต่เพราะเขามีความสามารถยอดเยี่ยมเกินไปจนบุตรสาวทั้งสองของนางแทบไม่คู่ควรกับอีกฝ่ายเลย ! นางหันไปยิ้มให้นางเฝิงแล้วกล่าวว่า ทานข้าวกันเถิด ! ฝีมือทำอาหารของนางไม่เลวเลย !

เจียงโม่หานคีบหมูตุ๋นชิ้นที่สองเข้าปากพลางคิดว่าแม้เป็นเนื้อที่ติดมันแต่ไม่เลี่ยนเลย อีกทั้งยังเนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอมหวาน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งรู้สึกว่ามันอร่อยมาก หรือเรียกได้ว่าอร่อยเช่นเดียวกับฝีมือของพ่อครัวชั้นยอดที่เขาเชิญมาจากทั่วทุกสารทิศในตอนที่เป็นขุนนางผู้ร่ำรวย

จากนั้นเขาก็ลองคีบเนื้อกระต่ายผัดแห้งมาลองชิม ตามด้วยอาหารจานอื่นที่แม้เป็นผักก็มีรสชาติของเครื่องเทศอันร้อนแรง จะว่าไปแล้วนางทำอาหารได้อร่อยกว่ามารดาของเขาเสียอีก

ฝีมือการทำอาหารของนางเฝิงเรียกได้ว่าแค่หุงข้าวเป็นเท่านั้น แม้แต่ความเค็มของอาหารยังเปลี่ยนไปตามอารมณ์ ต่อให้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใดถ้ามาอยู่ในมือของนางก็สามารถพังยับเยินได้ ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาได้แค่ไม่กี่วันก็ยังไม่ชินกับอาหารเหล่านี้จนเกือบสำลักรสชาติตาย !

ท่านแม่ขอรับ อีกประเดี๋ยวเราเอาไก่ป่ามาให้นางเถิด ! เจียงโม่หานไม่เกรงใจเลยสักนิด วันนี้เขาทานข้าวถ้วยใหญ่พร้อมหมูตุ๋นน้ำแดงและเนื้อกระต่ายผัดแห้งจนอิ่ม บนโต๊ะอาหารนอกจากหลินเว่ยเว่ยที่ทานเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็มีเขานี่แหละทานเก่งไม่แพ้กัน !

นางเฝิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชายทานเก่งถึงเพียงนี้ ปกติทานได้ครึ่งหนึ่งของวันนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

แท้จริงสาเหตุที่บุตรชายผอมแห้งเช่นนี้ไม่ใช่เพราะระบบย่อยอาหารของเขาดี แต่เพราะเขาไม่ชอบฝีมือทำอาหารของมารดา เมื่อคิดได้เช่นนั้นอารมณ์ของนางก็พลันเศร้าสลดลงพร้อมถอนหายใจออกมา ต้องโทษแม่ ผู้ใดใช้ให้แม่ทำอาหารไม่เก่ง ? หากเป็นเสวี่ยยวี่ก็คง…หานเอ๋อร์ เจ้าลำบากแล้ว !

ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเอ่ยเช่นนี้หรอก หากไม่มีท่านแล้วจะมีข้าในวันนี้หรือขอรับ ? มนุษย์จะมีความสามารถทุกด้านได้เช่นไร ? ท่านลองคิดว่าตนเองก็สามารถใช้มือเพียงคู่เดียวปักผ้าขายจนเลี้ยงข้าให้เติบใหญ่ได้ ทั้งยังส่งข้าเรียนหนังสือด้วย หากเป็นคนอื่นจะทำเหมือนท่านได้หรือ ?

เจียงโม่หานรู้ว่าเสวี่ยยวี่คือสาวใช้อีกคนของมารดาผู้ให้กำเนิดและเป็นพี่สาวน้องสาวที่นับถือกันกับนางเฝิงในตอนนั้น มารดาที่แท้จริงคลอดเขาออกมาก่อนช่วงสงคราม

ตอนนั้นด้านหน้าได้มีการสกัดกั้น ในขณะที่ด้านหลังก็มีทหารคอยไล่ล่า นางเฝิงต้องเสี่ยงชีวิตพาเขาหนีออกมาจากความโกลาหลของสงครามกระทั่งย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อรวมเวลาแล้วผ่านมาแค่สิบปี…

ชาติก่อน เขาเอาจี้หยกที่มารดามอบให้ตั้งแต่เยาว์วัยขายแลกเงินจำนวนมากซึ่งคนที่ได้ไปครองผู้นั้นอาศัยจี้หยกไปแอบอ้างเป็นทายาทของผู้สูงศักดิ์ตระกูลหนึ่งจนได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่ต้องเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เจ้าของตัวจริงเยี่ยงเขาต้องเลือกเส้นทางที่ก้าวเดินบนคมหอกคมดาบและทำให้แต่ละก้าวเป็นไปอย่างยากลำบากกว่าจะประสบความสำเร็จ…

ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยความอ่อนโยนของนางเฝิงที่ผุดรอยยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ ใช่ ! หากเป็นคนอื่นก็อาจทำได้ไม่ดีเท่าแม่ !

นางหวงมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมและนับถือ ใช่ ! ไม่รู้ว่าข้ารู้สึกอิจฉาฝีมือการปักผ้าของเจ้าตั้งกี่ครั้ง ! เจ้าคนเดียวสามารถเลี้ยงบุตรชายจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ ทั้งยังเลี้ยงเขาจนได้ดิบได้ดี หากเป็นข้าก็อาจทำไม่ได้เช่นเจ้า !

เอ่ยถึงเรื่องงานปัก…พี่ใหญ่ ท่านเรียนกับน้าเฝิงไปถึงไหนแล้ว ? หลินเว่ยเว่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องของพี่สาวทันที

พี่สาวที่กำลังทานข้าวคลุกซอสหมูตุ๋นน้ำแดงอย่างเอร็ดอร่อยก็พลันรู้สึกว่าอาหารหมดรสชาติขึ้นมาทันที นางหันไปมองค้อนหลินเว่ยเว่ยแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า เจ้าไม่อยากให้ข้าทานข้าวอย่างสบายใจใช่หรือไม่ ?

พี่ใหญ่ เจ้าเป็นเม่นหรือไร ? เอะอะก็เอาแต่สะบัดขนใส่คนอื่น เหตุใดไม่คุยกันด้วยเหตุผลบ้าง ? หลินเว่ยเว่ยรู้สึกอยากเอาถ้วยข้าวเขกศีรษะอีกฝ่าย

เจ้าหนูน้อยเข้าไปในห้องแล้วหยิบผ้าที่พี่สาวคนโตใช้ฝึกฝนออกมา พี่รอง นี่คืองานปักของพี่ใหญ่ ทว่าเหตุใดข้าจึงมองไม่ออกว่านางปักเป็นรูปอันใด

พี่สาวคนโตโมโหมาก นางแย่งผ้าปักมาแล้วโวยวายใส่เจ้าหนูน้อย น้องสี่ ผู้ใดใช้ให้เจ้าแตะต้องของผู้อื่นโดยพลการ ?

หลินเว่ยเว่ยมองผ้าปักด้ายสีต่าง ๆ ที่ดูยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นรูปใด นางกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหันไปเอ่ยกับนางเฝิง น้าเฝิง ท่านพูดความจริงมาเถิดว่าพี่สาวของข้ามีพรสวรรค์ด้านการปักผ้าหรือไม่ ?

นางเฝิงหันไปมองที่บุตรสาวคนโตของตระกูลหลินแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เพราะนางรู้ว่าไม่ใช่อีกฝ่ายไม่พยายาม แต่ไร้พรสวรรค์ในการปักผ้าต่างหาก แม้ให้ปักรูปพื้นฐานที่สุดก็ยังปักเสียจนมองไม่เห็นเค้าเดิม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการจับคู่สีที่มองแล้วต้องบอกว่าพัฒนาต่อได้ยาก แต่เพราะเห็นแก่หน้านาง นางเฝิงจึงไม่ได้กล่าวอันใด

หลินเว่ยเว่ยเห็นนางเฝิงถอนหายใจออกมาก็พอเดาคำตอบออก นางจึงหันไปหาพี่สาว เจ้าอยากเสียเวลาไปกับการเรียนปักผ้าจากน้าเฝิงหรืออยากเรียนงานฝีมือด้านอื่น ?

พี่สาวจ้องน้องสาวตาเขม็งราวกับแม่ไก่ ตอนนี้นางโมโหมาก หากหลินเว่ยเว่ยกล้าทำให้นางขายหน้า นางก็กล้าที่จะยกน้ำแกงสาดใส่หน้าอีกฝ่ายเช่นกัน

แต่คาดไม่ถึงว่าหลินเว่ยเว่ยที่เอาแต่ขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดไม่มีท่าทีว่าจะหัวเราะเยาะนางแม้แต่น้อย แถมยังถามไถ่อีกว่าอยากเรียนสิ่งอื่นหรือไม่ นางจดจ้องหลินเว่ยเว่ยอย่างตั้งใจแล้วถามว่า ถ้าข้าอยากเรียนอย่างอื่นแล้วจะได้เรียนเลยหรือ ?

แต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน หากเรียนงานปักผ้าไม่ได้ก็เรียนเย็บผ้า เรียนทำอาหารหรือไม่ก็เรียนรู้วิธีเลี้ยงสัตว์…เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงทางเดียวเท่านั้น แทนที่เจ้าจะตำหนิข้อบกพร่องของตน สู้เจ้าเลือกเรียนในสิ่งที่ถนัดไม่ดีกว่าหรือ เช่นนี้ถึงจะเป็นการเลือกที่ชาญฉลาด ! หลินเว่ยเว่ยเอ่ยให้แง่คิดแก่พี่สาว

ตอนต่อไป