แสงสว่างส่องวาบขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่นดับประสาทสัมผัสบรรดาผู้ที่อยู่รายล้อม

 

  อินกองกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดทั่วร่าง แขนทั้งสองกระดูกแตกหักแต่อินกองยังกำกระบองในมือไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาทั้งสองเริ่มพร่ามัว เลือดไหลซึมจากบาดแผลตามร่างกาย

 

  ราชาชนเถื่อนยังคงยืนหยัดอยู่ตรงหน้าอินกองด้วยมือที่เอื้อมออกมา หากแต่มือข้างนั้นไม่สามารถเคลื่อนมาถึงอินกองได้ ร่างกายท่อนบนของราชาเคราโตสบริเวณช่วงท้องด้านหลังขาดหายไป ทิ้งแผลที่ราวกับก้อนเนื้อระเบิดออก เป็นฉากที่ชวนสยดสยอง 

 

  ไอพลังสีแดงที่ปกคลุมร่างของเคราโตสเริ่มจางหาย แสงสว่างในดวงตาของเขาก็เช่นกัน มือที่ง้างออกมายังคงยืนหยัดแสดงถึงความตั้งใจแรงกล้า แต่ถึงกระนั้นร่างที่ใหญ่โตก็เริ่มเสียสมดุลล้มลงในที่สุด 

 

  อินกองทิ้งตัวลงอย่างโล่งอก

 

[คุณได้กำจัดหัวหน้าชนเถื่อน: ราชาเคราโตส]
[คุณสูญเสียฉายา: ผู้พิฆาตราชัน(ขั้นต้น)]
[คุณได้รับฉายา: ผู้พิฆาตราชัน(ขั้นกลาง)]
[คุณได้รับฉายา: ผู้พิชิตเอเวียง]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

  ระดับเลเวลของอินกองเพิ่มขึ้นถึงสามในคราเดียว บ่งบอกถึงความสามารถแกร่งกล้าของศัตรู เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในปราสาทธันเดอร์ดูม

 

  ร่างของอินกองเรืองแสงขึ้นเช่นทุกครั้ง บาดแผลทั่วร่างกายสมานตัวอย่างรวดเร็ว ลมปราณฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยม

 

  อินกองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขามองไปรอบตัวพบกับสายตาหลากหลาย ทั้งชื่นชม ยำเกรง ตกตะลึง หวาดกลัว อินกองกำกระบองบดกระโหลกยืนชูขึ้นฟ้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกู่ร้อง

 

“ราชาชนเถื่อนตายแล้ว!”

 

“องค์ชาย9 จงเจริญ!”

 

“เคราโตสแพ้ดวล!”

 

  แน่นอนว่าเสียงคำรามเหล่านี้แผ่ขยายกึกก้องไปทั่วสนามรบ ลดทอนขวัญกำลังใจของเหล่าชนเถื่อนอย่างมาก

 

  อินกองเก็บกระบองบดกะโหลกเข้าช่องเก็บของ แม้ร่างของเคราโตสจะล้มลงในตอนนี้ ทว่าในวาระสุดท้ายเขาได้ต่อสู้จนตัวตายทั้งยืน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองกินกรอบเป็นวงกว้าง ทำให้บรรดาทหารรอบด้านต่างอยู่ห่างออกไป ไม่ต่างจากสนามดวล

 

  อินกองเดินเข้าไปหาเคทลิน นางมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งชื่นชมและหวาดระแวง ชื่นชมที่เขาสามารถเอาชนะศัตรูอันเก่งกาจ หวาดระแวงกับร่างกายที่ไร้ริ้วรอยบาดแผลทั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นการต่อสู้

 

  อินกองยื่นมือเข้าใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูกับเคทลิน บรรดาไลแคนโทรปกรูเข้ามาล้อมอารักขาทั้งสอง เหล่าชนเถื่อนเข้าห้อมล้อมร่างไร้วิญญาณผู้นำพวกตน

 

  อินกองไม่สนใจเหล่าชนเถื่อนพลางมองสำรวจแผนที่ย่อของเขา

 

  การตายของเคราโตสเปลี่ยนทิศทางสนามรบอย่างรวดเร็ว

 

  กำลังทหารฝ่ายทาก้าที่เฝ้ามองการดวลระหว่างอินกองกับเคราโตสได้โอกาสเคลื่อนพลเข้าสมทบ เพื่อโจมตีประกบกำลังพลที่เสียขวัญ

 

  กองกำลังชนเถื่อนเริ่มแตกกระจายหลังสูญเสียผู้นำ บ้างหลบหนี บ้างบุกฝ่าเพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นกับตาของตน ถึงกระนั้นการต่อสู้ยังคงกำเนินต่อ ต่างฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นศัตรูตรงหน้า

 

  แวนเดลนำกำลังพลพุ่งตรงเข้ามาหาอินกอง เมื่ออินกองสังเกตถี่ถ้วนก็พบว่าแวนเดลกำลังไล่ตามเพราโตสที่กำลังพุ่งปรี่เข้ามา

 

  อินกองดื่มน้ำยาเสริมพลังก่อนเรียกคัปลาน เขาฝากให้คัปลานดูแลเคทลินที่กำลังอ่อนแรงก่อนกระโจนเข้าต้อนรับเพราโตสพร้อมโล่ไวท์อีเกิ้ล

 

  เมื่อทั้งสองเข้าสบตา เพราโตสก็คำรามร้องอย่างโกรธแค้น

 

&

 

  เมื่อสูญเสียเพราโตสไปอีกตนเหล่าชนเถื่อนต่างหมดขวัญกำลังใจ ชนเถื่อนที่พยายามหลบหนีมีมากขึ้นจนเกินครึ่ง บางส่วนทิ้งอาวุธยอมแพ้ มีเพียงส่วนน้อยที่ตัดสินใจสู้จนตัวตายตามผู้นำทั้งสอง

 

  แวนเดลนำกองกำลังไล่ตามกวาดล้างชนเถื่อนที่หลบหนีให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ นี่จะช่วยป้องกันการรุกรานข้ามเขตชายแดนจากเหล่าชนเถื่อนได้เป็นเวลาหลายปี

 

  กองกำลังฝ่ายจอมมารพักค้างแรมรอบเมืองทาก้าหลังเสร็จสิ้นการต่อสู้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองอย่างวัลคาโน่ย่อมไม่พอใจ แต่เขาก็ยินยอมให้กำลังพลทั้งหมดพักผ่อนโดยไม่ปริปาก

 

  เมืองทาก้าได้รับความเสียหายเล็กน้อย ประตูเมืองพังทำให้บริเวณนั้นเกิดการสูญเสีย แต่ด้วยตำแหน่งเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตแดนไร้กฎเกณฑ์ ความเสียหายนี้จึงเรียกได้ว่าไม่ต่างจากเหตุการณ์ประจำวันมากนัก

 

  เฟลิซีรายงานผลการรบผ่านค่ายกลเคลื่อนมิติในบริเวณใกล้เคียง แน่นอนว่านางรายงานเรื่องที่อินกองเป็นผู้ปลิดชีพราชาเคราโตสเป็นอย่างแรก

 

  แล้วค่ำคืนแห่งการดื่มฉลองให้ชัยชนะก็เริ่มขึ้น

 

&

 

  กองไฟถูกจุดขึ้นมากมายหลายขนาด แสงไฟส่องสว่างไปทั่วไม่ต่างจากในตัวเมือง

 

  ทุกชีวิตต่างดื่มกินฉลองให้กับชัยชนะ ฉลองให้กับการรอดชีวิต

 

  ในการรบย่อมมีการสูญเสีย ที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือเหล่าไลแคนโทรปด้วยร่างกายอันเป็นที่สังเกต แรกเริ่มเดิมทีพวกเขามีราวสองร้อยตน ฉะนั้นการสูญเสียไปยี่สิบถึงสามสิบจึงเรียกได้ว่าค่อนข้างมาก

 

  เรียกได้ว่านี่เป็นการดื่มฉลองรำลึกถึงการเสียสละของผู้วายชนม์ด้วย

 

  อินกองกับบรรดาแม่ทัพต่างตระเวนร่วมดื่มฉลองกับเหล่าทหาร โดยเฉพาะอินกองผู้สร้างผลงานอันโดดเด่น ย่อมได้รับการต้อนรับนับถือในทุกที่

 

  ค่ำคืนดำเนินต่อไปเช่นนี้

 

  แวนเดลหัวเราะขบขันให้กับท่าทีของอินกอง เขาตบบ่าถาม

 

“เจ้าชาย ยังไหวอยู่ไหม?”

 

“ผมกำลังจะตายแล้ว”

 

  เมื่อนับรวมแล้วเรียกได้ว่าอินกองดื่มน้ำเมาไปรวมหลายขวด สภาพสะโหลสะเหลเกิดจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มมากเสียกว่าการรบ

 

‘เดี๋ยวดิ นี่เค้าเรียกกันว่าดื่มแรกป่าววะ’

 

  ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาสู่โลกแห่งนี้ อินกองไม่เคยแตะต้องสุราเมรัยมาก่อน ในทางปฏิบัติจึงเรียกได้ว่านี่เป็นเมรัยแรกเริ่ม

 

‘ครั้งแรกสำคัญเสมอ… ’

 

  แผนการดื่มเมรัยแรกเคียงข้างเฟลิซีอย่างสง่างามเป็นอันต้องยกเลิก อินกองยังรับรสได้ด้วยความช่วยจากทักษะต้านพิษแต่สติของเขาเลือกที่จะไม่รับรส เขาลืมเลือนไปเสียแล้วว่าเขาดื่มสุราไปทั้งหมดกี่แก้ว 

 

“เรียกว่าเป็นโชคดีมากที่เจ้าชายยังมีสติอยู่ แบบนี้สิถึงสมเป็นวีรบุรุษ”

 

  แวนเดลหัวเราะพลางตบหลังอินกองอีกครั้ง อินกองทำได้เพียงพยักหน้ารับ

 

‘ได้อย่างก็เสียอย่างละนะ’

 

  ค่าสถานะรอบด้านของเขาแสดงผลของมันออกมาได้อย่างชัดเจนในสถานการณ์เช่นนี้

 

“เจ้าชายควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว วันนี้เป็นวันดีของเจ้าชาย”

 

  แวนเดลกล่าวพลางชูนิ้วโป้งให้ ใบหน้าที่แดงก่ำบ่งบอกถึงฤทธิ์สุราแต่ไม่อาจบดบังรอยยิ้มไว้ได้

 

  อินกองหัวเราะพลางยื่นนิ้วโป้งไปชนกับแวนเดล อาจเรียกว่าเป็นการจับมือในอีกวัฒนธรรม

 

“นี่เจ้าชาย”

 

“หือ?”

 

“ข้ามีเรื่องจะร้องขอ”

 

  แวนเดลยังคงยิ้มแย้มแต่ดวงตาบ่งบอกว่าเขายังมีสติ อินกองพอรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลง

 

  อินกองปล่อยมือ แวนเดลเงยหน้าสูดหายใจก่อนจ้องมองบอกคำขอ

 

“ในอีก 5 วัน ทั้งข้าทั้งเจ้าชายน่าจะพักผ่อนจนหายล้าจากการรบ ข้าต้องการดวลกับเจ้าชาย”

 

  แน่นอนว่ามิได้มีเจตนาเพื่อหักล้างชีวิตของอีกฝ่าย มิใช่ความเกลียงชังหรือความแค้น

 

  เรียกได้ว่าเป็นความชื่นชม ความรู้สึกอยากแข่งขันในฐานะนักรบ

 

  แน่นอนว่าอินกองเข้าใจสิ่งนี้ดี ทั้งหมดเป็นไปตามเกมบทกวีแห่งผู้กล้า… แต่ไม่ทั้งหมด

 

  หากเทียบเคียงแล้ว ในบทกวีแห่งผู้กล้าเรียกได้ว่าแซเฟียร์เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน

 

  เมื่อนาตาช่าพบเงื่อนไขในการเกณฑ์แวนเดล แซเฟียร์ก็จะขอท้าดวล หากนาตาช่าไม่พบเงื่อนไข เมื่อแซเฟียร์ต้องการเกณฑ์แวนเดล โอเกอร์ตนนี้จึงมอบการท้าดวลเป็นเงื่อนไข

 

  ไม่ว่าจะอย่างไรแซเฟียร์เป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเสมอ

 

  ทว่าในตอนนี้แวนเดลกลับเป็นฝ่ายออกปากก่อนเอง

 

  อินกองตัดสินใจรับคำในทันที

 

“ได้เลย อีก 5 วันให้หลังเมื่อสภาพพร้อมทั้งคู่ เรามาดวลกัน”

 

  บรรดาไพร่พลที่ได้ยินต่างพากันส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นกับข่าวการประลองระหว่างทั้งสอง

 

  แวนเดลสูดหายใจก่อนกล่าวต่ออย่างอาย

 

“อาจจะเร็วไปแต่ข้าคิดว่า เป็นโชคอันดีที่ข้ามีโอกาสพานพบเจ้าชาย ข้าขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ข้ามีโอกาสประลองกับนักรบฝีมือเก่งกล้าเช่นท่าน”

 

“นับเป็นเกียรติของผมเช่นกัน”

 

  อินกองไม่อาจพูดความจริงออกไปได้ ว่าเขามาที่เอเวียงก็เพื่อหาโอกาสโน้มน้าวแวนเดล

 

  ทั้งสองชนกำปั้นกันอีกครั้งก่อนแยกย้ายกลับกระโจมของตน

 

  อินกองมองแผ่นหลังของแวนเดลครู่หนึ่ง ก่อนเดินทางกลับกระโจม คารัครีบวิ่งตามหลังมา

 

“นี่องค์ชาย นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย?”

 

“นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องทำ ที่ลูกผู้ชายต้องทำ”

 

  อินกองไม่อาจมั่นใจได้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะ เขาอาจตายระหว่างการต่อสู้ก็เป็นได้ อย่างไรเสียเขามิได้รู้สึก

เกรงกลัวอะไร อินกองเข้าใจว่านี่เป็นเพราะแวนเดลมีจิตวิญญาณแข่งขันกับนักสู้

 

“แกสมเป็นนับรบมากขึ้นทุกวันแล้วนะ”

 

  คารัคพูดพลางปาดน้ำตารู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเจ้าชายฉัตร ภาพเจ้าออร์คร้องไห้สร้างความขยะแขยงให้อินกองเล็กน้อยก่อนเขากลับเข้ากระโจม

 

  กระโจมหนังที่ค่อนข้างเงียบสงัด หลายวันที่ผ่านมาเขานอนพักโดยมีเคทลินอยู่ด้วยเพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายระหว่างทั้งสอง ในครานี้ที่การต่อสู้จบลง เคทลินกับเซร่าต่างแยกกลับไปยังที่พักของนาง

 

“จดหมายขององค์หญิง6”

 

  คารัคหยิบซองกระดาษส่งมอบให้อินกอง ลายมือในจดหมายต่างไปจากลายเส้นสง่างามเช่นทุกทีของเฟลิซี อินกองคาดเดาได้ว่านางคงอยู่ในสภาพเมามาย

 

‘นี่เธอเปิดขวดเมรัยที่ฉันให้ไปหรือยัง? ห้ามเปิดวันนี้เด็ดขาดเลย เข้าใจมั้ย ห้าม! เด็ด! ขาด! ฮึก ฉัตร แย่ที่สุด!’

 

  อินกองนึกถึงสภาพของเฟลิซีที่เขาพบเมื่อตอนเดินเยี่ยมเยือนบริเวณ นางค่อนข้างจะครื้นเครงกับเหล่าหมู่คณะเอลฟ์รัตติกาของนาง

 

  อินกองไม่อาจคาดคิดว่าสำหรับเฟลิซีแล้ว การร่วมเมรัยแรกกับตัวเขามีความหมายอะไรมากกว่านั้นหรือไม่ ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เป็นการดีที่นางมีโอกาสผ่อนคลายเสียที

 

“ข้าอยากเห็นนางในสภาพเช่นนั้นอีกในอนาคต”

 

  คารัคกล่าวในสิ่งที่อินกองคิดออกมาระหว่างที่จัดเตรียมเตียงให้เขา

 

‘เหนื่อยจริง’

 

  อินกองแทบที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราในทันทีที่เขาล้มตัวนอน ถึงกระนั้นเขาก็นำบางสิ่งออกมาจากช่องเก็บ หมอนหนุนศีรษะที่เคทลินมอบให้เป็นของขวัญ

 

  หมอนจำลองฝัน… 

 

  มันอาจจำกัดจำนวนครั้งในการใช้เพียงสิบครั้ง แลกมากับความสามารถที่ผู้ใช้สามารถสร้างความฝันได้ดังใจปรารถนา

 

  อินกอบลูบมันอย่างแผ่วเบา เขาคาดคิดไว้แล้วว่าเขาต้องการฝันถึงสิ่งใด

 

  ราชาชนเถื่อนเคราโตสเป็นศัตรูที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่อินกองได้เผชิญ เคราโตสสามารถคาดเดาได้แม้กระทั้งตำแหน่งปรากฏตัวของทักษะชั่วพริบตา เข้าใจกลไกเคล็ดวิชาอิเนียหลังสัมผัสเพียงครั้งเดียว และถึงแม้ทักษะมหาวินาศที่อินกองเรียกใช้จะมิใช่ในรูปแบบเต็มที่ เคราโตสก็สามารถทานทนมันได้

 

  อินกองต้องการเผชิญหน้ากับเคราโตสอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ว่ามีอีกหลายสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากศัตรูท่านนี้

 

‘ซ้อมรบในยามค่ำคืนสินะ’

 

  ไม่ว่าผลจะออกมาว่าเขาชนะหรือแพ้ ในความฝันเขาสามารถสู้กับเคราโตสได้หลากหลายครั้ง

 

‘เรามาสู้กันจนถึงเช้าเลยละกัน’

 

  ความเหนื่อยล้าที่กล้ำกลืนมาทั้งวัน

 

  อินกองวางหมอนลง ทันใดนั้นคารัคก็โพล่งถามขึ้นมา

 

“องค์ชาย”

 

“หืม?”

 

“หมอนนั่นเหลือแค่ 9 ครั้ง แกแอบไปใช้ตอนไหน?”

 

  คำถามเสียบแทงด้วยนัยตาอันเฉียบคมทำเอาอินกองพูดไม่ออก

 

“โฮ่ ฝันใหญ่โตขนาดไหนละ? เป็นฝันที่ดีมากๆเลยใช่มั้ย?”

 

  อินกองเบือนหน้าปฏิเสธที่จะตอบคำถาม นั่นทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเจ้าออร์ค ทันใดนั้นเองกรีนวินด์ก็ปรากฏกายเนื้อขึ้นกอดคออินกอง

 

“นายท่านฝันถึงข้าใช่มั้ย?”

 

  อินกองเลือกที่จะเงียบไม่ปริปาก เขานิ่งเงียบจนหลับในที่สุด

 

&

 

  ข่าวชัยชนะของเจ้าชายฉัตรถูกส่งผ่านไปยังวังจอมมาร… 

 

  ข่าวนี่ยังแผ่กระจายออกไปทั่วโลกมารอย่างรวดเร็ว บ้างยินดีกับข่าว บ้างร้อนรน บ้างอิจฉา

 

  ในสถานที่อันห่างไกลออกไปเหนือขอบเขตที่ข่าวจากวังจอมมารจะกระจายมาถึงได้ ยังมีชายชราท่านหนึ่งที่รับรู้ได้ถึงชัยชนะของเจ้าชายฉัตรเหนือราชาเคราโตส

 

  ชายชราท่านนี้ได้ยินข่าวผ่านเสียงกระซิบของความตาย

 

  ชายชราผู้สวมชุดที่ถักทอขึ้นจากไอพลังสีน้ำเงิน ชายชราผู้ซึ่งถวิลหาจุดจบของโลกมาร่วมพันปี

 

  อาชาแห่งอาสัญ…

 

 

จบบทที่ 22 – แก่นมังกร เริ่มบทที่ 23 – ทางแยก