บทที่ 81 พิชญาแพ้คดี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ปาจรีย์ดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง “ยังจะมีอะไรอีกละ ก็ปฏิเสธเรื่องที่กดขี่สตูดิโอและคัดลอกแบบของเราไปใช้ไง”

ได้ยินแบบนี้ วารุณีก็หัวเราะ “หล่อนยังคงเถียงเก่งเหมือนเดิมเลยนะ!”

“ก็ใช่น่ะสิ” ปาจรีย์พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านแบบนี้มาก่อนเลย”

วารุณีที่คุยไปดื่มน้ำไป “ให้ทางศาลส่งหมายเรียกไปให้หล่อนอีกครั้ง”

“ยังจะส่งอีกเหรอ?” ปาจรีย์อึ้งไปครู่หนึ่ง “ถ้าหากหล่อนส่งกลับคืนมาอีกจะทำยังไง?”

“เธอโง่ป่ะ” วารุณีจิ้มไปที่หน้าผากของเธอ “ส่งกลับมาก็ส่งกลับไปใหม่ ขอเพียงทางพิชญาปฏิเสธหมายเรียกถึงสามครั้ง ทางศาลก็จะบังคับพิจารณาคดี หากหล่อนไม่ไป ทางศาลก็จะตัดสินให้ทางเราเป็นฝ่ายชนะคดี”

“มีแบบนี้ด้วยเหรอ?” ปาจรีย์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

แต่ไม่นาน เธอก็ถูมือด้วยความตื่นเต้น “งั้นฉันจะติดต่อศาลเดี๋ยวนี้เลย”

พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นเดินไปหลังโต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นมาโทร

หลังจากที่โทรเสร็จแล้ว ปาจรีย์ก็ได้มาทำท่าโอเคให้วารุณี

วารุณียิ้มๆ มองโทรศัพท์มือถือไปแวบหนึ่ง “เวลาไม่เช้าแล้ว เราไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”

“ได้สิ กินสุกี้นะ ไม่ได้กินมานานแล้ว” ปาจรีย์พลางสนทนา พลางหยิบกระเป๋าที่แขวนอยู่บนราวแขวน

วารุณีไม่มีความเห็น

ทั้งสองจึงได้พาลูกสองคนพลางเดินพูดคุยหัวเราะไปยังร้านสุกี้ที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้

สองวันต่อมา ก็เป็นอย่างที่วารุณีพูดไว้ไม่มีผิด พิชญาปฏิเสธหมายเรียกของศาลถึงสามครั้ง เป็นการท้าทายต่ออำนาจของศาล ศาลจึงได้บังคับการพิจารณาคดี

แม้ว่าพิชญาจะยอมออกหน้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงแพ้คดี

เพราะว่าปาจรีย์ได้เอาหลักฐานที่หล่อนคัดลอกเลียนแบบออกมา และหลักฐานที่กดขี่สตูดิโอ

สุดท้ายทางพิชญาก็ถูกทางศาลตัดสิน ให้ถอดถอนเสื้อผ้าที่เพิ่งจะวางจำหน่ายเมื่อไม่นานนี้ออกจากห้างทั้งหมด เงินกำไรที่ได้จากการขาย ให้ส่งมอบให้กับทางปาจรีย์ อีกทั้งยังให้หล่อนชดเชยค่าลิขสิทธิ์บางส่วนด้วย

สรุปแล้ว ครั้งนี้พิชญาต้องนำทรัพย์สินที่มีเกือบทั้งหมดของหล่อนมาชดใช้แล้ว

ปาจรีย์ก็โทรหาวารุณีอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของพิชญา “วารุณี เธอน่ะไม่เห็น ตอนที่ผู้พิพากษาตัดสินคดีนั้น สีหน้าของพิชญาเขียวปี๋เลย ฮ่าๆมันตลกมากเลย”

วารุณีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วส่ายหัว “พอแล้ว พอแล้ว พิชญาจะโอนค่าชดเชยมาเมื่อไหร่?”

“ทางศาลกำหนดให้โอนภายในสามวัน หากหล่อนไม่โอนมาภายในสามวัน ต้องชดเชยเพิ่มร้อยละสิบเปอร์เซ็นต์” ปาจรีย์เก็บอาการตื่นเต้นดีใจแล้วกล่าว

วารุณีตอบอืมไปหนึ่งที “พอดีเลย มีเงินก้อนนี้ พวกเราก็เกือบจะสามารถสร้างโรงงานผลิตเสื้อของตัวเองได้แล้ว เรื่องเลือกตำแหน่งที่ตั้งก็รบกวนเธอแล้วนะ”

“วางใจเถอะ” ปาจรีย์ตบที่หน้าอกเบาๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีปัญหา

“คุณวารุณี” ขณะนี้ จู่ๆประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะดังขึ้น

วารุณีเงยหน้ามองออกไป เป็นผู้ช่วยของมารุต “มีเรื่องอะไร?”

“ท่านประธานให้คุณไปหา” ผู้ช่วยยิ้มตอบ

วารุณีกะพริบตา “ประธานนัทธี?”

“ใช่ครับ”

“ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบใจนะ”

ผู้ช่วยโบกมือ เพื่อแสดงว่าไม่ต้องขอบคุณ แล้วหันหลังเดินจากไป

วารุณีได้หยิบโทรศัพท์มาแนบที่หูอีกครั้ง “ปาจรีย์ ฉันมีธุระไม่คุยกับเธอแล้วนะ ตำแหน่งที่ตั้งเลือกเสร็จแล้วบอกฉันด้วย ฉันก็จะไปดูด้วย”

“ต้องบอกอยู่แล้ว” ปาจรีย์ตอบกลับ

หลังจากจบการสนทนา วารุณีลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าไปครู่หนึ่ง แล้วไปชั้นที่ผู้บริหารระดับสูง

มาถึงหน้าประตูห้องท่านประธาน วารุณียกมือขึ้น กำลังจะเคาะประตู ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงส่งผ่านมาจากประตูที่แง้มอยู่ “นัทธี คุณช่วยฉันด้วย ตอนนี้ฉันขาดแคลนเงินจริงๆ”

เป็นพิชญา!

วารุณีวางมือลง กำลังลังเลว่าจะหลบไปก่อนมั้ย เสียงของนัทธีก็ดังขึ้นมา “ต้องการเท่าไหร่?”

“ยี่สิบล้าน!” พิชญารีบพูดตัวเลขออกมา

วารุณีเลิกคิ้ว

เงินยี่สิบล้านนี้ ก็เป็นจำนวนเงินที่หล่อนต้องจ่ายชดเชยไม่ใช่เหรอ?

“ได้ เดี๋ยวผมจะให้มารุตโอนให้คุณ” นัทธีตอบอย่างเย็นชา

ยังไม่ทันที่พิชญาจะขอบคุณ ริมฝีปากบางของเขาก็กล่าวขึ้น “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”

“หมายความว่ายังไง?” พิชญาหน้าแข็งไปทันที จู่ๆในใจก็มีความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยขึ้นมา

วารุณีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ก็ได้เอาหูไปแนบชิดกับประตู

ในห้องทำงาน นัทธีได้วางปากกาลง ในที่สุดก็มองหน้าพิชญาโดยตรง “จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ช่วยคุณจัดการปัญหา ต่อไปหากคุณสร้างปัญหา ก็จัดการเอง ผมจะไม่ช่วยอีก”

“ทำไม?” พิชญาร้อนใจแล้ว

ไม่ช่วยเธอ ในสายตาคนอื่น ก็เท่ากับว่าเธอนั้นถูกเขาทอดทิ้งแล้ว

หากถึงเวลานั้น คนที่อุ้มชูเธอเมื่อก่อน คนที่ประจบสอพลอเธอก็จะไปจากเธอ ถึงขนาดคนที่ว่าเธอเคยล่วงเกินจะมาแก้แค้นเธอ

คิดถึงตรงนี้ ใจของพิชญาก็สับสนวุ่นวายขึ้นมา ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กำมือแน่นแล้วกล่าว “นัทธี คุณทำเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อห้าปีก่อนคุณเคยพูดเอาไว้ จะให้ในสิ่งที่ฉันต้องการทุกอย่าง ตอนนี้คุณ………”

นัทธีเอาหลังพิงไปที่เก้าอี้ พูดขัดเธออย่างเย็นชา “ผมเคยพูดแบบนั้น ก็เพราะคุณช่วยผม บุญคุณที่ใหญ่หลวงขนาดไหนมันก็ต้องมีวันที่ชดใช้หมด และช่วงนี้ ทุกเรื่องที่คุณทำมันได้ล้ำเส้นของผมไปแล้ว ผมไม่สามารถที่จะทนคุณได้อีกต่อไป คุณเข้าใจหรือยัง?”

“ฉัน……….” พิชญาขยับริมฝีปาก แต่ก็พูดไม่ออก

ด้านนอกประตู วารุณีเลิกคิ้วอย่างสงสัย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของหล่อน ได้ยินที่นัทธีพูดว่าพิชญาเคยช่วยเขาเมื่อห้าปีที่แล้ว

เมื่อห้าปีก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

ขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงของนัทธีก็ดังออกมา “เอาล่ะ ผมหวังว่าต่อจากนี้คุณจะทำตัวดีๆหน่อย ออกไปเถอะ”

พิชญาก้มหน้าลง ปิดซ่อนแววตาที่ไม่พอใจเอาไว้ เดินออกไปอย่างไม่พอใจ

หลังจากออกมา เธอเห็นวารุณีที่ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าประตู ก็สะดุ้งทันที ตะโกนด่าอย่างหงุดหงิด “เธออยากตายเหรอ!”

วารุณีรู้สึกตัวทันที ยิ้มอย่างเรียบเฉย “ผู้จัดการพิชญา ไม่ได้เจอกันนานเลย”

พิชญาทำท่ากระฟัดกระเฟียด “ฉันถูกเลิกจ้างไปแล้ว เธอยังมาเรียกฉันว่าผู้จัดการพิชญา เธอจงใจเยาะหยันฉันเหรอ?”

ผู้หญิงโง่คนนั้นของครอบครัวลูกชายคนโตของคุณท่านบรรพตช่างไร้ประโยชน์เสียจริง

อ้างฐานะคุณป้าใหญ่ของนัทธี ก็ยังไม่สามารถไล่ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างพิชญาไปได้ เธอนั้นอย่างจะบ้าตายจริงๆ!

“ไม่นะ ฉันแค่เรียกจนชินแล้วเท่านั้นเอง ผู้จัดการพิชญาอยากคิดมากเลย” วารุณีแบมือยักไหล่

“เธอคิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดตลบตะแลงของเธอ? พิชญายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็หรี่ตาถาม “ตอบฉันมา เธอยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว?”

“ก็สักพักแล้ว” วารุณีตอบตามความจริง

พิชญามีแววตาที่เป็นกังวล “แล้วที่ฉันคุยกับนัทธี เธอก็ได้ยินหมดแล้ว?”

วารุณยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “แน่นอน”

สีหน้าของพิชญาเปลี่ยนไปอย่างมาก จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ขุ่นมัว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ข่มขู่ “ฉันขอเตือนเธอ ห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เธอได้ยินออกไป”

เธอไม่มีทางที่จะยอมให้คนข้างนอกรู้เป็นอันขาด เรื่องที่นัทธีไม่ปกป้องเธอแล้ว

ไม่เช่นนั้น สิ่งที่รอเธออยู่จะเป็นความยุ่งยากแต่ละรูปแบบ แค่คิดเธอก็ไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้

“หากฉันพูดว่าไม่ล่ะ?” วารุณีใช้นิ้วม้วนผมเล่น ตอบอย่างไม่เกรงกลัว

พิชญายิ้มอย่างชั่วร้าย “งั้นฉันก็จะให้คุณพ่อ เอาตัวน้องชายของแกคืนมา”

“เธอกล้า!” สีหน้าของวารุณีก็จมดิ่งลงไปทันที

เธอต้องยอมรับว่า เธอนั้นถูกพิชญาขู่สำเร็จแล้ว

พิชญายกมือกอดอก “เธอกล้าพูดเรื่องนี้ออกไป ฉันก็กล้าที่จะทำแบบนั้น อย่าลืมนะ หากคุณพ่อฉันต้องการน้องชายของเธอคืน เธอกับแม่ของเธอรวมตัวกันก็ไม่อาจจะชนะได้!”

พูดจบ เธอกวาดมองวารุณีอย่างลำพองใจ ใช้ไหล่ชนวารุณีให้กระเด็นออกไป บิดตูดเดินไปทางลิฟต์

วารุณีเม้มริมฝีปากแดงเอาไว้ มองพิชญาที่เดินจากไปด้วยสายตาที่มืดมน โกรธอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ

สักพักใหญ่ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ตบแก้มของตัวเอง ปรับอารมณ์เข้าสู่โหมดปกติ ถึงได้เคาะประตูของท่านประธาน “ประธานนัทธี”

“เข้ามา” เสียงที่เย็นชาของนัทธีดังมาจากข้างใน

วารุณีผลักประตูเข้าไป “ท่านประธานนัทธี เรียกหาฉันมีเรื่องอะไรคะ?”