ตอนที่ 104 เรียกเขาว่าเยี่ยเถาจื่อ
มู่เถาเยาจับชีพจรของผู้บาดเจ็บทั้งสองในรถพยาบาล
แพทย์และพยาบาลจ้องมองเธอด้วยสายตาที่วาววับ
เทคนิคการฝังเข็มและการจับชีพจรโบราณแบบนี้ ปัจจุบันมีเพียงสำนักแพทย์โบราณเท่านั้นที่ยังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“สาวน้อย เธอเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์โบราณเหรอ”
“ใช่ค่ะ” มู่เถาเยาตอบในขณะที่ยังให้ความสนใจกับผู้บาดเจ็บ
“หัวหน้าชิง หัวหน้าแผนกแพทย์โบราณของโรงพยาบาลเราก็มาจากสำนักแพทย์โบราณเช่นกัน เธอน่าทึ่งมาก!”
“ใช่ๆ”
“หัวหน้าชิงเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยวน! สาวน้อย หรือว่าเธอเป็นศิษย์ของลูกศิษย์คนใดคนหนึ่งในศิษย์ทั้งแปดของหมอเทวดาหยวน?”
อายุยังน้อยแต่มีความสามารถมากขนาดนี้ คงมีเพียงศิษย์สายตรงของศิษย์ทั้งแปดเท่านั้นที่จะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้จริงไหม
แพทย์และพยาบาลมองไปที่มู่เถาเยาอย่างสงสัย
“ฉันเองก็เป็นศิษย์ของหมอเทวดาหยวนเหมือนกันค่ะ” มู่เถาเยาตอบตามความจริง
“…สาวน้อย หมอเทวดาหยวนมีลูกศิษย์เพียงแปดคนเท่านั้น…เดิมมีเก้าคน แต่หนึ่งในนั้นถูกขับไล่ออกจากสำนักแพทย์โบราณ” นี่คือสิ่งที่แพทย์ทุกคนรู้
“ยังมีลูกศิษย์ปิดสำนักอีกคนหนึ่งค่ะ”
“???”
หมอและพยาบาลต่างมองเธอด้วยความไม่เชื่อ
มู่เถาเยาไม่คิดจะอธิบายอะไรมาก
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายหาศิษย์พี่หญิงห้าขอให้เธอมารับที่หน้าประตูถ้าเธอว่าง
เนื่องจากในโลกนี้การจะรักษาใครสักคนจำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ เธอกังวลว่าโรงพยาบาลจะไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วย
เมื่อรถพยาบาลมาถึงโรงพยาบาลประชาชนเมืองเย่ว์ตู ผู้บาดเจ็บก็ถูกส่งเข้าห้องผ่าตัด
ศิษย์พี่หญิงห้าชิงหลินรับรองมู่เถาเยาและปล่อยให้เธอเข้าไปช่วย
เนื่องจากความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องมีการให้การรักษาแบบสหสาขาวิชาชีพ
เมื่อเข็มทองถูกดึงออกมา ศัลยแพทย์ก็เข้ารับช่วง ดำเนินการรักษาต่อทันที
มู่เถาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้หยุดเขา
ในระหว่างการผ่าตัด มีหลายครั้งที่ช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตายของผู้บาดเจ็บสลับคาบเกี่ยวกัน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนได้รับการช่วยเหลือโดยเทคนิคเข็มทองของมู่เถาเยา
หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น เสื้อผ้าของแพทย์และพยาบาลก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
ยกเว้นมู่เถาเยา ทุกคนดูเหมือนจะมีประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายที่น่าระทึก
“นี่คือคนที่ตายไปแล้วแต่เราช่วยเขาไว้ได้! ความรู้สึกนี้มันดีมาก!” แพทย์ชายที่พูดอายุประมาณสี่สิบปี เขาสวมแว่นตาขอบทอง
ต่อให้จะเป็นคนที่เผชิญหน้ากับความตายมาบ่อยครั้งและเห็นจนชินตา แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นกับทุกเคสที่พวกเขาช่วยเหลือเอาไว้ได้
แพทย์หญิงวัยสามสิบปีที่ชื่อเจียงหลันกล่าวว่า “สาวน้อย เธออายุเท่าไรแล้ว ทักษะการฝังเข็มของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก และการผ่าตัดเองก็ลื่นไหลทำได้เยี่ยมมากเช่นกัน จิตใจของเธอมั่นคงหนักแน่น มันทำให้ฉันรู้สึกละอายใจมากจริงๆ !”
ใช่ การผ่าตัดเปิดกะโหลกถูกดำเนินการโดยมู่เถาเยา
กะโหลกร้าว และด้านในกะโหลกศีรษะก็ได้รับบาดเจ็บจนห้อเลือด…ทุกอย่างร้ายแรงมาก โดยปกติแล้วผู้ที่มีอาการบาดเจ็บในระดับนี้จะมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำมากๆ
ไม่ตายเสียเดี๋ยวนั้น ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหาได้ยากแล้ว
แต่หลังจากที่มู่เถาเยาเข้าช่วยฝังเข็มให้อย่างทันท่วงที แม้ว่าสัญญาณชีพของผู้บาดเจ็บจะอ่อนแอ แต่พวกเขาก็สามารถยื้อเวลาช่วยเหลือออกไปได้อีกนิด
แต่เป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับผู้บาดเจ็บร้ายแรงที่จะเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัด
ดังนั้นความเป็นความตายจึงถูกตัดสินในชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น
มู่เถาเยาผ่าระบายเลือดที่อยู่ในกะโหลกศีรษะออก เปิดกะโหลกศีรษะเพื่อลดความดัน และฟื้นฟูโครงสร้างปกติของกะโหลกศีรษะ…คืนชีวิตให้คนที่ควรจะจบชีวิตไปแล้ว
แม้แต่ผลสืบเนื่องที่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด อาทิเช่นการติดเชื้อในกะโหลกศีรษะ หนองไหล แขนขาเป็นอัมพาต อุปสรรคทางภาษา สมองบวม ภาวะน้ำในสมองบวม ฯลฯ ล้วนถูกลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดให้เหลือน้อยที่สุด
คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอาจไม่เข้าใจถึงอันตรายเหล่านี้ แต่พวกเขาเป็นหมอ และพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของเทพแห่งความตายหลายต่อหลายครั้ง
เธอได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้น!
แพทย์ชายสวมแว่นวัยสี่สิบปีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “คนหนุ่มรุ่นหลังช่างน่ากลัวจริงๆ !”
แพทย์หญิงเจียงหลันกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “เยาวชนยิ่งแข็งแกร่งสิคะยิ่งดี ประเทศของเราจะได้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”
พยาบาลกล่าวต่อ “การแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับนานาชาติกำลังจะเริ่มต้นขึ้นใช่ไหม ครั้งนี้ประเทศเหยียนหวงของเราก็จะยังได้ครองอันดับที่หนึ่งอีกตามเคย”
“ยังไงก็ตาม สาวน้อย อายุเพียงเท่านี้เธอน่าจะยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่ไหม แต่ด้วยระดับของเธอแล้ว เธอสามารถเป็นหมอได้โดยตรงแล้วนะ!”
เดิมทีการผ่าตัดเปิดกะโหลกนี้ควรเป็นหน้าที่ของเจียงหลัน
แม้ว่าเธอจะผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้ง แต่เธอก็ยังกลัวว่าคนไข้จะเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด ดังนั้นมือของเธอจึงสั่น
มู่เถาเยาหยิบมีดผ่าตัด และก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะทันได้สติกลับคืนมา ทุกอย่างมันก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ!
แพทย์ชายสวมแว่นเอ่ยถามว่า “สาวน้อยเธอเรียนอยู่ที่ไหน”
“ฉันเป็นนักศึกษาภาควิชานิติวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูค่ะ”
“!!!”
“นิติเวชศาสตร์? แพทย์โบราณ? แล้วทำไมเธอถึงผ่าตัดสมองเป็นล่ะ…นี่ มันจะกระโดดข้ามกว้างเกินไปหน่อยแล้ว!”
พยาบาล “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเทคนิคการผ่าตัดเปิดกะโหลกของเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้ดูคุ้นตามาก”
ทุกคนมองไปที่หมอศัลยแพทย์สมองเจียงหลัน
“เหมือนเทคนิคของฉัน พูดให้ถูกคือเหมือนเทคนิคของอาจารย์ฉัน” เธอทำให้ฉายามีดหัตถ์เทวะของอธิการบดีเจียงอาจารย์ของเธอต้องเสียหน้าแล้ว
อันที่จริงเทคนิคของเธอเองก็ดีมาก แต่จิตใจของเธอยังไม่หนักแน่นมั่นคงพอ
“หมอเจียง ถ้าจำไม่ผิดคุณจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ อธิการบดีเจียงเป็นอาจารย์ของฉัน”
มู่เถาเยามีสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “เทคนิคของฉันก็เรียนมาจากอธิการบดีเจียงเหมือนกันค่ะ”
“เธอไม่ได้เรียนคณะนิติเวชศาสตร์เหรอ อธิการบดีเจียงไม่ได้สอนสาขานั้น!”
“เขาเป็นอาจารย์อาเล็กของฉันค่ะ เลยได้เรียนรู้จากเขามาบ้าง”
แพทย์ชายสวมแว่นถามอย่างสงสัย “อาจารย์อาเล็ก? สาวน้อย เธอเป็นลูกศิษย์คนที่เท่าไรของหมอเทวดาหยวนเหรอ ฉันจำไม่ได้ว่าหมอเทวดาหยวนมีลูกศิษย์ที่อายุน้อยขนาดนี้เลยนะ”
“เป็นศิษย์ปิดสำนักที่รับเมื่อสิบแปดปีก่อนค่ะ” มู่เถาเยาวางแผนที่จะเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนในไม่ช้านี้แล้ว
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบอะไรที่มันเอิกเกริกและวุ่นวาย แต่เธอยังต้องการค้นหาลู่จือฉินอาจารย์ของเธอ
แทนที่จะงมเข็มในมหาสมุทรเพื่อตามหาใครซักคน จะเป็นการดีกว่าหากจะให้อาจารย์เห็นเธอแล้วมาหาเธอเอง
อาจารย์เป็นคนไม่ค่อยแยแสอะไรโดยธรรมชาติและไม่ชอบการมีชื่อเสียง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะตามหาอาจารย์ให้พบในโลกนี้
ในชาติที่แล้วเพื่อช่วยเธอ อาจารย์ถึงได้ยอมกระโดดลงมาร่วมจมน้ำโคลนในวังวนของอำนาจ
และที่กลายมาเป็นอาจารย์ขององค์หญิงคนหนึ่ง ก็เพราะเธอเป็นเพื่อนกับลุงเล็กของเธอ
“!!!”
เจียงหลัน “แต่เธอดูเหมือนเพิ่งจะอายุแค่สิบห้าหรือสิบหกปีเองนะ”
“…ฉันอายุสิบแปดปีแล้วค่ะ” มู่เถาเยาทำอะไรไม่ถูกกับเรื่องนี้เหมือนกัน
หน้าเด็ก จะทำยังไงได้
แพทย์ชายที่สวมแว่นพูดว่า “หมายความว่าเธอติดตามอยู่ข้างกายหมอเทวดาหยวนมาตั้งแต่เกิดแล้ว? มิน่าเล่าถึงได้เก่งกาจราวกับปีศาจขนาดนี้ ฉันยอมรับ!”
แพทย์และพยาบาลทั้งหมดที่ได้ยลการผ่าตัดครั้งนี้กับตา เข้ามาล้อมรอบมู่เถาเยาและยกย่องเธอ
คำสรรเสริญชื่นชมนับร้อยประโยค ไม่มีที่ซ้ำกันแม้แต่ประโยคเดียว!
ศิษย์พี่หญิงห้าชิงหลินเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และช่วยชีวิตศิษย์น้องหญิงของเธอจากการถูกเพื่อนร่วมงานรายล้อมที่บัดนี้ไม่รู้วิญญาณหลุดลอยออกไปไหนต่อไหนแล้ว
“เอาล่ะๆ ศิษย์น้องหญิงของฉันทนรับลูกกระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลของทุกคนไม่ไหวหรอกนะ มีอะไรต้องไปทำก็รีบแยกย้ายไปทำซะ”
ทุกคนแตกกระเจิงไปเหมือนฝูงนกที่พบเจอสัตว์ร้าย
“ศิษย์พี่หญิงห้า คนไข้ทางฝั่งศิษย์พี่เป็นยังไงบ้างคะ”
เข็มทองบนร่างกายของผู้เข้าสอบหญิงคนนั้นถูกดึงออกโดยศิษย์พี่หญิงห้า
“ไม่ต้องห่วง ยังมีชีวิตอยู่”
“ญาติ…”
ชิงหลินดีดหน้าผากของเธอ “เธอกังวลมากขนาดนี้ตั้งแต่อายุน้อยได้ยังไง! ญาติของคนไข้เธอก็ยื่นมือเข้าไปยุ่ง? เห็นโรงพยาบาลเป็นอะไรไปแล้วจ๊ะ”
มู่เถาเยา “…”
ช่างเถอะ ตราบใดที่คนไข้ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ไม่ควรสนใจส่วนที่เหลือจริงๆ
ไหนว่าตัวเองมีหัวใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าไง! จะตบหน้าตัวเองตลอดเวลาไม่ได้จริงไหม!
ฮึ่ม ไม่สนใจแล้ว!
ศิษย์พี่หญิงห้าพูดกับมู่เถาเยาด้วยรอยยิ้มลึกลับ “เสี่ยวเยาเยา ไปนั่งพักที่ห้องทำงานของฉันสักหน่อยดีไหม ฉันมีบางอย่างที่ต้องการได้รับคำยืนยันจากเธอ เสร็จแล้วเราค่อยกลับบ้านไปกินข้าวเย็นกัน”
“ได้สิคะ แต่เดี๋ยวฉันขอโทรศัพท์ก่อน” เดิมทีก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวด้วยกันหลังสอบเสร็จ
แต่เมื่อดวงตาของเธอหันไปเห็นม้วนเข็มทองคำ มู่เถาเยาก็จำสิ่งที่เธอลืมได้ในทันที
ใบหน้าเล็กซีดลงด้วยความละอายใจ
“เป็นอะไรไปเสี่ยวเยาเยา”
“…ฉันลืม…พ่อไว้ที่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล”
มู่เถาเยากลับมามีสติอีกครั้ง ดูเหมือนเธอจะเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อหลายครั้งแล้วในวันนี้?
“พ่อของเธอ? เย่ว์หลั่งมาหาเธอแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ พี่ใหญ่เองก็มาด้วย ยกเว้น…แม่ ทุกคนมากันหมดแล้ว”
“เสี่ยวเยาเยา เธอชอบพวกเขาหรือเปล่า”
“น่าจะชอบนะคะ ไม่รู้สิ…”
“แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง เสี่ยวเยาเยา อย่าบังคับตัวเอง”
“อืม ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝืนใจอยู่นะคะ” ยกเว้นบุคลิกของพ่อที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงซึ่งมันก็มักทำให้เธอไปไม่เป็นอยู่บ่อยครั้ง อย่างอื่นล้วนปกติดี
“ดีแล้ว ถ้างั้นทำไมเธอไม่โทรชวนพ่อเธอให้มานั่งพูดคุยกันที่แผนกแพทย์โบราณล่ะ”
“อืม เดี๋ยวโทรถามก่อน”
มู่เถาเยากดหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเย่ว์หลั่ง ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลพร้อมกับกล่องยาขนาดเล็กและก้มลงมองมือถือในมืออย่างกระตือรือร้น
“…พ่อคะ หนูทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว แต่ศิษย์พี่หญิงห้าบอกว่ามีธุระจะคุยกับหนู พ่ออยากเข้ามานั่งที่แผนกแพทย์โบราณด้วยกันกับเราไหม”
“…”
“โอเคค่ะ งั้นพ่อไปรอหนูที่รถนะ”
“…”
มู่เถาเยาวางสาย
“พ่อเธอจะมาไหม”
“ไม่มาค่ะ”
“โอเค งั้นเรารีบไปทำธุระกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสองคนมาถึงออฟฟิศส่วนตัวของชิงหลินในแผนกแพทย์โบราณ ชิงหลินก็วางข้อมือของเธอลงบนหมอนรองชีพจรเสร็จสรรพ
“เสี่ยวเยาเยา ช่วยดูให้ฉันหน่อยสิว่าฉันท้องแล้วหรือยัง”
“ศิษย์พี่หญิงห้า ลองจับชีพจรของตัวเองดูแล้วเหรอคะ”
“ใช่ ชีพจรลื่น แต่ฉันกลัวว่าตัวเองจะตื่นเต้นเกินไปจนวินิจฉัยพลาด”
มู่เถาเยาวางสามนิ้วลงบนแอ่งชีพจรบนข้อมือของชิงหลินแล้วยิ้ม
“จับได้ชีพจรลื่นเหมือนกันค่ะ ศิษย์พี่หญิงห้า ยินดีด้วยที่ได้เป็นแม่คนแล้ว”
“ฮ่าฮ่า ฉันมีลูกสาวแล้ว! ฉันจะตั้งชื่อเธอว่ามู่เถาจื่อ!”
มู่เถาเยาตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงห้า พี่ต้องให้ฉันเตือนไหมว่าแซ่ของพี่เขยห้าคือเยี่ย”
“…ถ้าอย่างนั้นใช้ชื่อเยี่ยเถาจื่อ”
“…แล้วถ้าเป็นเด็กผู้ชายล่ะคะ”
“โปรดเรียกเขาว่าเยี่ยเถาจื่อ!”
“…” เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่าเยี่ยเถาจื่อมันจะดีจริงๆ เหรอ
“ไม่สิ! เถาจื่อเยาเยา เถาจื่อเยาเยา ต้นท้องามสะพรั่ง…อีกฝ่ายเกิดหลังเธออีก จะให้ชื่อมาก่อนเธอได้ยังไง!”
“ต้นท้องามสะพรั่ง ดอกเถารำไพ…ศิษย์พี่หญิงห้า ให้ชื่อว่าเยี่ยจั๋ว จั๋วที่มาจากอักษรไฟในวรรคดอกเถารำไพดีไหมคะ ใช้ได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเลย” อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่าเยี่ยเถาจื่อตั้งเยอะ
“โอเค! งั้นตั้งชื่อว่าเยี่ยจั๋ว! ฮ่าฮ่า…”
“ศิษย์พี่หญิงห้า คุณควรรีบบอกเรื่องนี้กับพี่เขยไหม อย่ามัวแต่มีความสุขคนเดียวสิ”
“จริงด้วย! เยี่ยหนานเฉินจะต้องมีความสุขเหมือนฉันแน่นอน ยังมีอาจารย์และพวกศิษย์พี่ใหญ่ด้วย”
มู่เถาเยาพยักหน้า ดวงตาลูกกวางสดใสของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ศิษย์พี่หญิงห้ากดเบอร์โทรหาสามี วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หันไปคลำๆ จับๆ แอ่งชีพจรบนข้อมือซ้ายและขวา ทำเช่นนั้นสลับกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากอีกฝั่งหนึ่งรับโทรศัพท์ ศิษย์พี่หญิงห้าก็ถามอย่างมีความสุขว่า “เยี่ยหนานเฉิน ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่”
“ที่รัก ผมกำลังจะเตรียมทำมื้อเย็น มีหมูผัดเปรี้ยวหวานของโปรดของคุณด้วย”
“เยี่ยหนานเฉิน ฉันมีข่าวดีจะบอกคุณ เตรียมใจหรือยัง”
“ข่าวดีเหรอ ข่าวดีอะไรกัน พ่อตากับแม่ยายกลับมาจากเที่ยวต่างประเทศแล้วเหรอครับ”
“…ไม่ มันเกี่ยวกับคุณและฉัน”
“คุณได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว?”
“เปล่า!”
“งั้นภาพวาดที่ผมวาดได้รับรางวัลเหรอ”
“ไม่ใช่! เยี่ยหนานเฉินทำไมคุณถึงได้โง่ขนาดนี้!” ศิษย์พี่หญิงห้าโกรธจัด
มู่เถาเยาอดหัวเราะไม่ได้
เธอรู้สึกมีความสุขกับศิษย์พี่หญิงห้าจริงๆ
หากเปลี่ยนเป็นในแผ่นดินจงโจว ผู้หญิงวัยสี่สิบปีที่ยังไม่มีลูกคงจะถูกสาปแช่งอย่างหนักไปแล้ว!
คำด่าที่ว่าเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงรู้สึกด้อยค่าตัวเองและคิดว่าการไม่มีลูกเป็นปัญหาของพวกเธอ
ดังนั้นโลกนี้จึงเป็นมิตรกับผู้หญิงมากกว่าชาติที่แล้วมากๆ !
“ที่รัก บอกผมเถอะว่ามีเรื่องดีๆ อะไร!”
“ฮึ่มๆๆ ก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่งฉันกำลังยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไร”
“คุณก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ!”
“…”
ศิษย์พี่หญิงห้าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อคำนึงว่าศิษย์น้องหญิงเล็กเพิ่งจะอายุสิบแปดเท่านั้น จึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป ยังไงซะคงไม่ดีหากให้เธอได้ฟังคำพูดหยาบคายแบบนี้…
“เยี่ยหนานเฉิน ฉันท้องแล้ว!”
ได้ยินเพียงเสียงดัง เพี๊ยะ หนักๆ ดังส่งมา
“…เยี่ยหนานเฉิน นั่นเสียงอะไร”
“…อ้าาา ที่รัก เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ชัด!”
“ฉันบอกว่าฉันท้องลูกสาวของคุณแล้ว เธอชื่อว่าเยี่ยจั๋ว! เสี่ยวเยาเยาเป็นคนตั้งชื่อให้เธอเองเลยนะ!”
“ที่…ที่…ที่รัก คุณพูดจริงเหรอ”
“จริง เสี่ยวเยาเยาเองก็ช่วยจับชีพจรให้ฉันแล้วเหมือนกัน ผลออกมาเหมือนกัน ไม่ผิดแล้ว”
“อ้าาา ผมเป็นพ่อคนแล้ว ผมได้เป็นพ่อคนแล้ว!”
“…เยี่ยหนานเฉิน คุณชอบเด็กมากขนาดนี้เลยเหรอ ถ้างั้นทำไมคุณถึงสัญญาว่าจะใช้ชีวิตโดยไม่มีลูกกับฉันก่อนที่เราจะแต่งงานกันล่ะ”
“ที่รัก ที่ผมรักเด็กคนนี้เป็นเพราะเขาคือลูกที่คุณให้ผมมา อันดับแรกสุดคือคุณ แล้วจึงเป็นลูก ดังนั้นสัญญาที่ผมให้ไว้ก่อนที่จะแต่งงานกันคือผมเลือกคุณ”
“สามี คุณดีที่สุดในโลกเลย!”
“ที่รัก คุณเองก็เป็นภรรยาที่ดีและสวยที่สุดในโลกเหมือนกันครับ! คุณคู่ควรที่ผมจะมอบความรักและใช้ชีวิตด้วยกันไปจนลมหายใจสุดท้าย!”
“…”
มู่เถาเยาถูกยัดด้วยอาหารสุนัขชามโตจนจุกไปหมดแล้ว!
ศิษย์พี่หญิงห้าลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเธอยังอยู่ตรงนี้!
ฆ่ากันชัดๆ เลย
ทั้งสองคนคุยโทรศัพท์กันนานกว่าสิบนาทีก่อนที่จะวางสายด้วยความพึงพอใจ
“ศิษย์พี่หญิงห้า ตอนนี้พาฉันกลับไปกินข้าวเย็นได้แล้วใช่ไหม”
แม้ว่าฝีมือการทำอาหารของพี่เขยห้าจะดี แต่ตอนนี้เธอชักไม่อยากไปแล้วสิ!
“ไปสิ! พาพ่อของเธอไปด้วย! ฉันเพิ่งบอกพี่เขยของเธอว่าให้เตรียมกับข้าวเพิ่มอีกสองสามอย่าง”
“…โอเคค่ะ”
อันที่จริง เรื่องไปกินข้าวเย็นอะไรนั่นเธอไม่ได้ใส่ใจสักนิด เธอแค่ไม่วางใจให้ศิษย์พี่หญิงห้าที่กำลังตื่นเต้นคึกคักอยู่ในตอนนี้ ขับรถกลับบ้านคนเดียวมันก็เท่านั้น!