ตอนที่ 131 ทํายังไงดี?

ด้านนอกห้องไอซียู ของโรงพยาบาลตี้อี้เหยิน..

“เสี่ยวยู่ ลุงของผมเพิ่งจะบอกว่า อาการของแม่คุณจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดด่วน ก่อนอื่นคุณต้องไปวางเงินมัดจําค่าผ่าตัดก่อน ขึ้นล่าช้าไปกว่านี้อาการของแม่คุณก็จะยิ่งแย่!”

“ยิ่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ การผ่าตัดก็จะยิ่งล่าช้า และยิ่งการผ่าตัดล่าช้ามากเท่าไหร่แม้แต่แพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดสมอง ก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของแม่คุณได้!”

“แต่แม่ฉันอายุหกสิบกว่าแล้ว ยิ่งอายุมาก การผ่าตัดก็จะยิ่งเสี่ยงไม่ใช่เหรอ?” ฉินเสี่ยวยู่พูดไปก็ร้องไห้ไป

แม่ของฉินเสี่ยวยู่ตั้งท้องเธอในวัยสี่สิบ ซึ่งนับว่ามีลูกในวัยที่อายุมากแล้ว ส่วนพ่อของเธอก็ป่วยตายตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับแม่สองคนตามลําพังมาโดยตลอด และทั้งคู่ต่างก็รักและผูกพันกันมากอีกด้วย

และเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับแม่เช่นนี้ ฉินเสี่ยวยู่ก็แทบหัวใจสลาย และร้องห่มร้องไห้อย่างสิ้นหวัง!

“เสี่ยวยู่ ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งกังวลเรื่องพวกนั้นในเวลานี้ คุณลุงของผมบอกว่า ตอนนี้แม่ของคุณมีเลือดคั่งในกะโหลกศรีษะ ถ้าไม่รีบผ่าตัดจะมีอันตรายถึงชีวิตได้!” ชายหนุ่มร่างอ้วนบอกกับฉินเสี่ยวยู่ พร้อมกับถอนหายใจออกมา

“หลี่เฟิง.. แต่เมื่อวานแม่ของฉันยังดีๆอยู่เลยนี่ แล้วทําไมจู่ๆถึงเป็นแบบนี้ได้?” ฉินเสี่ยวยู่ยังคงร่ำไห้สะอึกสะอื้น

ชายหนุ่มรูปร่างอ้วนเตี้ยชื่อว่าหลี่เฟิง ตอบกลับฉินเสี่ยวยู่พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “แม่ของคุณถูกรถชนนะ แต่เรื่องนั้นไม่สําคัญ สิ่งสําคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรีบผ่าตัดด่วน..”

“รออีกหน่อยจะได้มั้ย? ฉันโทรเรียกเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาแล้ว เขา เขาต้องช่วยแม่ของฉันได้แน่!” ฉินเสี่ยวยู่ตอบกลับไปพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา

หลี่เฟิงกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ทําไมต้องไปรบกวนคนอื่นด้วยล่ะ? พวกเราทั้งคู่ต่างก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ผมให้คุณยืมเงินก่อนก็ได้ ต้องการเท่าไหร่ก็บอกมา…”

ระหว่างที่พูดนั้น หลี่เฟิงก็ถือวิสาสะเอื้อมมืออวบอ้วนของตนเอง ไปวางไว้บนไหล่บอบบางของฉินเสี่ยวยู่ ฉินเสี่ยวยู่เห็นเช่นนั้น ก็รีบสะบัดออกเบาๆ และก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวเพื่อให้อยู่ห่างจากชายหนุ่มร่างอ้วนมากขึ้น แล้วจึงตอบกลับไปว่า

“ไม่ดีกว่า! นายเองก็เพิ่งจะเปิดบริษัท จําเป็นต้องมีเงินหมุนเวียน ฉันไม่ต้องการรบกวนนาย อีกอย่าง หลินหนานต้องมีหนทางช่วยฉันได้แน่!”

ดูเหมือนหลี่เฟิงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ฉินเสี่ยวยู่ยืมเงินให้ได้ แต่เมื่อถูกปฏิเสธ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันที

“หลินหนาน?! เพื่อนร่วมงานที่ไปเก็บเงินกับเธอครั้งก่อนน่ะเหรอ?” หลี่เฟิงเอ่ยถาม

ฉินเสี่ยวยู่พยักหน้า และตอบกลับไปทันที “ใช่แล้ว เขาเอง!”

“นี่เธอเชื่อใจหมอนั่นมากกว่าฉัน ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนอีกเหรอ? เสี่ยวยู่ ยังไงๆ หมอนั่นก็เป็นแค่คนนอกไม่ใช่เหรอ?”

สีหน้าของหลี่เพิ่งเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยผิดหวัง ในขณะเดียวกัน ระหว่างที่พูดเขาก็พยายามเดินเข้าไปใกล้ฉินเสี่ยวยู่ให้มากขึ้น แววตาที่มองเรือนร่างเย้ายวนของหญิงสาวนั้น บ่งบอกถึงอารมณ์บางอย่างที่พุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย

“หลินหนานเป็นเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนนอก…”

ฉินเสี่ยวยู่กระเถิบถอยหนี พร้อมตอบกลับไปเสียงเบา ความจริงเธอเองก็ไม่รู้ว่า ทําไมเธอถึงต้องระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่ออยู่กับหลี่เฟิง และรู้สึกไว้ใจหลินหนานมากกว่า เธอมั่นใจว่า หลินหนานจะไม่เป็นอันตราย และเอาเปรียบเธอในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ต่างจากหลี่เฟิงที่ดูเจ้าเล่ห์ ยากที่จะเชื่อใจได้

“ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันก็จะไม่บีบบังคับ! แต่ถ้ารู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ก็เอ่ยปากได้ทันที ผมยินดีช่วยคุณเสมอ!” ในเมื่อทําไม่สําเร็จ หลี่เฟิงจึงได้แต่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“รอหลินหนานมาถึงก่อนจะดีกว่า! ฉันไม่ต้องการรบกวนนายจริงๆ!” ฉินเสี่ยวยู่ปฏิเสธอย่างสุภาพ

“หลินหนานอีกแล้ว? หมอนั่นมีอะไรดีกว่าฉัน ฉันไม่เชื่อว่าแค่พนักงานขายกระจอกๆ จะมีเงินทองมากมายกว่าฉันได้!”

หลังจากที่ถูกฉินเสี่ยวยู่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่เฟิงก็อดที่จะหงุดหงิดจนต้องบ่นออกมาไม่ได้ ส่วนฉินเสี่ยวยู่ก็ได้แต่ยืนก้มหน้าไม่ตอบโต้ เพราะเธอเองก็ไม่ต้องการที่จะทําให้หลี่เฟิงโมโหเพราะเรื่องนี้

อีกอย่าง.. หลี่เฟิงก็เป็นคนที่ช่วยพาแม่ของเธอมาที่โรงพยาบาล อีกทั้งยังหาศัลยาแพทย์ผ่าตัดสมองที่เก่งที่สุดมาให้ด้วย

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ! ฉันยังหน้าตาหล่อกว่านายมากด้วย!”

หลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นหู ฉินเสี่ยวยู่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

ในที่สุดเขาก็มาแล้ว!

หลินหนานก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่ไม่เร็วไป แต่ก็ไม่ช้าไป เขาเดินมาตามทางเดินด้วยสีหน้าท่าทางที่ปราศจากความร้อนรน หรือกระวนกระวายใจ

ฉินเสี่ยวยู่ร้องตะโกนถามออกไปด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ “หลินหนาน… ทําไมมาถึงเร็วจัง?”

“คนสวยขอความช่วยเหลือทั้งที ผมจะทําเป็นไม่สนใจได้ยังไงกันล่ะ?” หลินหนานยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว

ฉินเสี่ยวยู่รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

มือของเธอบีบชายเสื้อไว้แน่น ในขณะที่พูดกับหลินหนานไปว่า “เอ่อ.. ฉัน ที่ฉันขอให้นายมาที่นี่ก็เพราะว่า แม่ของฉันต้องได้รับการผ่าตัดด่วน แต่ฉันมีเงินไม่พอ ก็เลยอยากจะ…”

“ได้เลย! ผมอาจจะไม่มีเงินมากนัก แต่มีไม่น้อย..” หลินหนานตอบฉินเสี่ยวยู่กลับไป พร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าอกด้วยท่าทางมั่นใจ

“หึ! ถ้าคนอย่างนายมีเงินล้าน คนอย่างฉันคงจะเรียกว่าเศรษฐีพันล้านสินะ”

หลี่เฟิงที่อิจฉาความสนิทสนมระหว่างหลินหนานกับฉินเสี่ยวยู่ จึงได้แต่พูดกระแนะกระแหนออกไป และยิ่งได้เห็นท่าทางโอ้อวดของหลินหนาน เขาก็ยิ่งนึกรังเกียจมากขึ้น

นี่น่ะเหรอคู่แข่งของฉัน?

ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสําเร็จคนหนึ่ง หลี่เฟิงจึงค่อนข้างดูถูกผู้คน และไม่ค่อยเห็นคนที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา

ตั้งแต่หัวจรดเท้าของหลินหนานนั้น การแต่งตัวก็แสนจะธรรมดา นาฬิกาสักเรือนยังไม่มี หากหลินหนานร่ำรวยมีเงินล้านจริง เขา.. หลี่เฟิงจะไม่กลายเป็นผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศหรือยังไง?

“อ่อ.. ก็ถ้านายร่ำรวยขนาดนี้ ทําไมเสี่ยวยู่ถึงไม่ยืมเงินนายล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าเงินของนายมันสกปรก!” หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ

“นี่แก..”

หลี่เฟิงถึงกับอึ้งพูดจาตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาแดงกําด้วยความโกรธ “ถ้าแกปากดีขนาดนี้ ก็จัดการจ่ายค่าผ่าตัดสมองเองก็แล้วกัน แต่ถ้าแกไม่มีปัญญา ก็อย่ามาคุกเข่าขอร้องฉันก็แล้วกัน!”

“ผ่าตัดสมองงั้นเหรอ?”

หลินหนานหันไปถามฉินเสี่ยวยู่ด้วยสีหน้างุนงง และต้องการที่จะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ แต่ในระหว่างนั้น ประตูห้องไอซียูก็เปิดออก แล้วเสียงตวาดก็ดังขึ้น

“ทําไมยังยืนอยู่ตรงนี้กันอีก? ฉันบอกให้ไปจัดการเรื่องค่าผ่าตัดให้เรียบร้อยไม่ใช่เหรอ?”

แพทย์สวมเสื้อกาวน์สีขาว พร้อมหน้ากากปิดปากและจมูกก้าวเดินออกมาจากห้อง

“คุณหมอหลี่คะ … แม่ของฉันเป็นยังไงบ้าง?” ฉินเสี่ยวยู่วิ่งเข้าไปหาแพทย์ที่เพิ่งก้าวเดินออกมา ด้วยสีหน้าแววตาร้อนรน

นายแพทย์หลี่ท่านนี้ เป็นศัลยแพทย์สมองชื่อดัง เขายกมือขึ้นดึงหน้ากากที่ปิดปากลง พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เสี่ยวยู่ แม่ของเธออาการหนักมาก หากไม่ได้รับการผ่าตัดสมองภายในหนึ่งชั่วโมง แม่ของเธอคงต้องมีสภาพไม่ต่างจากผักแน่!”

“เป็นไปได้ยังไงคะคุณหมอหลี? ตอนที่แม่ถูกนําตัวมาแอดมิด ก็แค่มีอาการสมองกระทบกระเทือนเล็กน้อยเท่านั้น จู่ๆจะกลายเป็นผักไปได้ยังไง?”

คําบอกเล่าของคุณหมอหลี่ ไม่ต่างจากสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของฉินเสี่ยวยู่ เวลานี้หัวใจของเธอได้ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว

“แต่ถ้าได้รับการผ่าตัดทันเวลา ฉันมั่นใจว่าแม่ของเธอจะหาย และกลับมามีสภาพดีขึ้นถึง 90% เลยทีเดียว!”

หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าซีดเซียว และสีหน้าสิ้นหวังของฉินเสี่ยวยู่ คุณหมอหลีก็รีบพูดปลอบประโลมเพื่อให้เธอมีกําลังใจ

ฉินเสี่ยวยู่ได้ยินแบบนั้น จึงรีบบอกกับหมอหลี่ไปว่า “คุณหมอหลี่คะ ขอแค่ช่วยแม่ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ฉันก็ยอม!”

“เธอไม่ต้องวิตกกังวลอะไรมากนัก ความเสี่ยงในการผ่าตัดครั้งนี้มีน้อยมาก และผลข้างเคียงที่จะตามมาก็แทบไม่มีเลย แต่การผ่าตัดครั้งนี้จะต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์หลายชิ้นและยาที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ค่าใช้จ่ายคงจะต้อง” คุณหมอหลี่เปรยขึ้นมา

ฉินเสี่ยวยู่เม้มริมฝีปากแน่น แล้วจึงตอบหมอหลีกลับไปว่า “คุณหมอหลี่คะ พอจะประเมินราคาค่าผ่าตัดคร่าวๆได้มั้ยคะ? ฉันจะได้หาทางรวบเงินค่ารักษาให้ได้!”

“ความจริงก็ไม่ได้สูงอะไรมากนัก ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดก็น่าจะอยู่ที่..” คุณหมอหลี่เอ่ยตอบพร้อมกับนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว

ฉินเสี่ยวยู่ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ห้าหมื่นเหรอคะ? ฉันพอมีคะ..”

“เสี่ยวยู่ เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ! ไม่ใช่ห้าหมื่น แต่เป็นห้าแสนต่างหาก!”

“ครึ่งล้านเชียวเหรอ?!”

ฉินเสี่ยวยู่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ และเวลานี้ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นชุดขาว เธอเพิ่งจะเริ่มทํางานได้ไม่นาน และมีเงินเก็บในธนาคารแค่หนึ่งแสนหยวนเท่านั้น ต่อให้เธอยืมเงินรางวัลที่หลินหนานเพิ่งได้มาอีกหนึ่งแสน ก็ยังไม่ถึงครึ่งของค่ารักษาอยู่ดี

หรือจะขายบ้านกับรถดี?

แต่.. ก็ต้องใช้เวลากว่าจะขายได้

คุณหมอหลี่เพิ่งจะบอกว่า ต้องผ่าตัดภายในหนึ่งชั่วโมง?

แล้วนี่ฉันจะไปหาเงินครึ่งล้านจากที่ไหนได้ทัน?

“นี่ฉันจะทํายังไงดี?” ฉินเสี่ยวยู่พิมพ์ออกมาด้วยสีหน้าแววตาสิ้นหวัง