ตอนที่ 132 แผนการชั่วร้าย

หึ! นี่มันโรงพยาบาล หรือโรงเชือดกันแน่?

อย่าว่าแต่ฉินเสี่ยวยู่เลย แม้แต่หลินหนานที่ได้ยินว่าค่าผ่าตัดสูงถึงห้าแสนหยวน เขาเองก็ยังตกใจจนอ้าปากค้างไปเหมือนกัน

หากไม่มีป้ายโรงพยาบาลแขวนอยู่ด้านนอกอาคาร หลินหนานคงจะอดสงสัยไม่ได้ว่า เขากําลังอยู่ในคลินิกเถื่อนตามข้างทางแน่!

“คุณลุงครับ อย่าพูดจาข่มขู่เสี่ยวยู่แบบนั้นสิ! พวกเธอมีกันแค่สองคนแม่ลูก คนหนึ่งต้องกําพร้าพ่อ ส่วนอีกคนก็ต้องเป็นหม้ายเลี้ยงลูกมาเพียงลําพัง แล้วสองแม่ลูกจะหาเงินตั้งมากมายขนาดนั้นมาเป็นค่ารักษาได้ยังไงกัน?”

แต่ก่อนที่หลินหนานจะทันได้พูดอะไร หลี่เฟิงที่ยืนอยู่ข้างฉินเสี่ยวยู่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียก่อน

ผู้จัดการหลี่ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันพร้อมกับตอบหลานชายไปว่า “ไอ้ ด็กคนนี้นี่! แกถึงกับกล้าตําหนิฉันเชียวเหรอ? ฉันเป็นคนตั้งราคาค่าผ่าตัดหรือยังไง? ในเมื่อเป็นแบบนี้ แกก็ไม่ควรส่งตัวคนไข้มาที่นี่ตั้งแต่แรก!”

คุณหมอหลี่ท่านนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลุงแท้ๆของหลี่เฟิง ชื่อว่าหลีชางไห่..

เขาเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมประสาทของโรงพยาบาลตี้ขี้เหยินแห่งนี้ และในบรรดาแพทย์ด้านศัลยกรรมประสาทในเมืองเจียงไฮวนั้น หลี่ชางไห่นับว่าเป็นแพทย์ที่เก่งที่สุดในเวลานี้

“เอ่อ.. ลุงครับ! ผมไม่ได้ตําหนิลุง แล้วก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วย เพียงแต่ผมกับเสี่ยวยู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก คุณลุงจะช่วยทําการผ่าตัดแม่ของเสี่ยวยู่ให้พ้นขีดอันตรายก่อนไม่ได้เหรอครับ?” หลี่เฟิงเอ่ยถามผู้เป็นลุงอีกครั้ง

หลังจากที่ฉินเสี่ยวยู่ได้ยินหลี่เฟิงต่อว่าผู้เป็นลุงเช่นนั้น เธอก็เริ่มรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่คิดระแวงว่า หลี่เพิ่งจะมีเจตนาไม่ดีที่ยื่นมือมาเข้ามาช่วยเหลือเธอแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิดเลย

สีหน้าของหลีชางไห่เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็อธิบายให้หลานชายฟังว่า

“นี่เจ้าเฟิง ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่คลินิกส่วนตัวที่ฉันจะทําอะไรตามใจชอบได้โรงพยาบาลมีกฏระเบียบ ใช่ว่าเป็นหลานชายของฉันแล้วก็จะไม่ต้องทําตามกฏ…”

“หลี่เฟิง ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือ แต่อย่าไปตําหนิ หรือทําให้คุณหมอหลี่ลําบากใจเลย คุณหมอหลี่ต้องทําตามหน้าที่และกฎระเบียบของโรงพยาบาล ฉันเข้าใจดี!”

ฉินเสี่ยวยู่จ้องมองหลี่เฟิงด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ ก่อนจะหันไปบอกกับหลีชางไห่ว่า “คุณหมอหลีคะ กรุณาอย่าโมโหไปเลยนะคะ! ต่อให้ต้องขายสมบัติทุกชิ้นที่มี ฉันก็จะทําเพื่อรักษาชีวิตของแม่ไว้ให้ได้ แต่ขอเวลาฉันสักหน่อยนะคะ?”

หลี่ชางไห่ได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะตอบไปว่า “เฮ้อ.. เสี่ยวยู่ ใช่ว่าฉันไม่อยากจะให้เวลาเธอ! แต่อาการของแม่เธอไม่ดีเลย แล้วก็ไม่สามารถรอนานได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินเสี่ยวยู่ก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม นั่นเพราะหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไป ย่อมเท่ากับว่าโอกาสรอดของแม่เธอนั้นก็ยิ่งลดลงไปด้วย!

แต่แล้วจู่ๆ หลีชางไห่ก็ทําเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบร้องบอกกับฉินเสี่ยวยู่ว่า “เสี่ยวยู่…เธอกับอาเฟิงเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? ทําไมไม่ขอยืมเงินจากอาเฟิงก่อนล่ะ?”

หลังจากพูดจบ หลี่จางไร่ก็หันไปมองหลี่เฟิง และแกล้งทําเป็นพูดกับเขาว่า “เจ้าเฟิง.. แกตําหนิฉันว่าไม่ช่วยเพื่อนแก แล้วทําไมแกถึงไม่ให้เพื่อนยืมเงินมาจ่ายค่าผ่าตัดก่อนล่ะ?”

หลี่เฟิงคิดไม่ถึงว่าลุงของเขาจะมาไม้นี้ จึงรีบตอบกลับไปว่า “คุณลุง.. ทําไมผมจะไม่ให้ยืม? ผมยินดีที่จะให้เสี่ยวยู่ยืมเงินอยู่แล้ว ไม่เชื่อคุณลุงถามเสี่ยวยู่ดูก็ได้!”

ทั้งลุงทั้งหลานเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ! รับส่งเข้าขากันแนบเนียนเชียว!

หลินหนานที่ได้แต่นิ่งเงียบ และเฝ้าสังเกตดูลุงหลานคู่นี้แสดงละครรับส่งกันได้อย่างแนบเนียนจนอดที่แอบหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้

สองคนนี้น่าจะได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม!

จู่ๆ คนหนึ่งก็ไม่มีเงินจ่ายค่าผ่าตัด ส่วนอีกคนก็มีเงินให้ยืมขึ้นมาทันที!

ช่างบังเอิญจริงๆ ลุงก็เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดสมอง ส่วนหลานก็เป็นนักธุรกิจร่ำรวย!

กิ๊ว… กิ๊ว… หน้าไม่อาย ทุกอย่างลงตัวเหมาะเจาะ อย่างกับเขียนบทมาเลยเชียว!

“หลี่เฟิง ฉันขอโทษที่เข้าใจนายผิดไป! ฉันคิดไม่ถึงว่านายจะเป็นคนที่มีจิตใจเป็นธรรมขนาดนี้!” ฉินเสี่ยวยู่หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเอ่ยขอบคุณหลี่เฟิงจากใจจริง

ใบหน้าอวบอ้วนของหลี่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็นเบิกบาน และฉาบด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้นมาทันที เขารีบตอบฉินเสียวยู่กลับไปเช่นกัน

“เสี่ยวยู่ พวกเราสองคนเป็นเพื่อนนักเรียนกันมานะ ถ้าฉันไม่ช่วยเธอแล้วใครจะช่วยเธอล่ะ? อย่าได้ไปคาดหวังความช่วยเหลือจากพวกที่ดีแต่ปาก!”

ระหว่างที่พูดประโยคสุดท้าย หลี่เฟิงก็เหลือบมองไปทางหลินหนาน และเมื่อเห็นสายตาของหลี่เฟิง คิ้วของหลินหนานก็เลิกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับคิดในใจว่า

พ่อดอกทานตะวัน. ได้รับแสงแดดนิดหน่อย ก็หน้าบานเชียวนะ!

แต่หลินหนานก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เขาเพียงแค่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับจ้องมองการแสดงของลุงและหลานชายคู่นี้อยู่เงียบๆ เพราะอยากจะรู้ว่า ทั้งสองคนกําลังวางแผนที่จะทําอะไรกันอยู่แน่?

“ตายแล้วเสี่ยวยู่! ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เงินส่วนตัวของฉันทั้งหมดเอาไปลงทุนกับบริษัทหมดแล้ว ถ้าต้องการจะโยกย้ายเงินจากบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัว คงต้องใช้เวลาอย่างต่ำสามสี่ชั่วโมง” จู่ๆ หลี่เฟิงก็ทําสีหน้าตกอกตกใจ เหมือนเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

ฉินเสี่ยวยู่ถึงกับหน้าซีดเผือด “แล้วฉันจะทํายังไงดีล่ะ? พอมีหนทางอื่นอีกมั้ย?”

หลี่เพิ่งทําท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาดูลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็ตัดสินใจบอกกับเฉินเสี่ยวยู่ไปว่า

“ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่นเอาซะเลย! เพียงแต่ต้องขอให้เธอเอาทรัพย์สินไปจํานองกับบริษัทของฉันไว้ก่อน จะได้สามารถนําเงินออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ!”

“เอาทรัพย์สินไปจํานองงั้นเหรอ? แต่โฉนดที่ดินบ้านตอนนี้เป็นชื่อแม่ของฉันน่ะสิ ฉันเกรงว่า…” สีหน้าของฉินเสี่ยวยู่ดูกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น

หลี่เฟิงทําท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบร้องตะโกนบอกไปว่า “เสี่ยวยู่! ฉันจําได้ว่าเธอมีบ้านเก่าอยู่ที่ชานเมืองหลังหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ ทําไมถึงไม่เอาบ้านหลังนั้นมาจํานองแทนล่ะ?”

ฉินเสี่ยวยู่มีสีหน้าลังเล “แต่.. บ้านหลังนั้นเป็นสมบัติที่พ่อของฉันทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ฉันไม่อยากจะ…”

“เสี่ยวยู่ แต่ตอนนี้แม่ของเธอกําลังอยู่ระหว่างความเป็นความตายนะ! อีกอย่าง ที่เธอต้องทําแบบนี้ก็เพราะต้องการช่วยชีวิตแม่ ฉันเชื่อว่าถ้าวิญญาณของพ่อเธอบนสรวงสวรรค์รู้เข้า ย่อมจะต้องเข้าใจและไม่ตําหนิเธอแน่!” หลีชางไห่ที่ยืนนิ่งเงียบมานาน รีบเอ่ยสนับสนุน

“ตกลง! ฉันจะรีบกลับไปเอาโฉนดที่บ้านเดี่ยวนี้ นายรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะ!”

ฉินเสี่ยวยู่ไม่มีทางเลือกอื่นอีก เธอจําเป็นต้องช่วยชีวิตแม่ของเธอก่อน

“เสี่ยวยู่ พวกเราต้องทําทุกอย่างแข่งกับเวลา เอาอย่างนี้ดีกว่า.. ฉันจะขับรถพาเธอกลับไปเอาโฉนดที่บ้านเอง จะได้รีบเอาโฉนดไปที่บริษัทของฉัน ยิ่งได้เงินมาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่แม่ของเธอจะรอดก็มีสูงมากขึ้น!” หลี่เพิ่งเร่งเร้าฉินเสี่ยวยู่ต่อ

“เสี่ยวยู่ ฉันเองก็ใช่ว่าจะไร้มนุษยธรรม ฉันจะยอมทําผิดกฏของโรงพยาบาลสักครั้ง ระหว่างที่เธอออกไปจัดการเรื่องโฉนดบ้าน ฉันก็จะเริ่มลงมือผ่าตัดแม่ของเธอให้ก่อน ฉันเชื่อว่าเธอกับเจ้าเฟิงคงไม่ทําให้ฉันต้องเดือดร้อนแน่!”

เมื่อเห็นว่าฉินเสี่ยวมีท่าทางลังเล หลีชางไห่จึงรีบแสดงความมีน้ำใจออกมา และแทบไม่รอให้ฉินเสี่ยวยู่ได้พูดอะไรต่อ หลีชางไห่ก็เดินเปิดประตูห้องไอซียู และกลับเข้าไปข้างในทันที

“ขอบคุณลุงหลี่มากนะคะ!”

ฉินเสี่ยวยู่เอ่ยขอบคุณหลีชางไห่ พร้อมกับโน้มตัวลงคํานับ จากนั้นจึงหันไปบอกกับหลี่เฟิงว่า “พวกเรารีบไปกันดีกว่า ไม่มีเวลาแล้ว!”

เมื่อเห็นว่าฉินเสี่ยวยู่ตกหลุมพรางแล้ว หลี่เฟิงก็ถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว โดยหารู้ไม่ว่าสีหน้าท่าทางของเขานั้น ได้ถูกหลินหนานมองเห็นจนหมด

ที่แท้ลุงหลานชั่วร้ายครู่นี้ ก็ได้สมคบคิด และวางแผนไว้แล้วนี่เอง!

หลังจากเฝ้าสังเกตการอยู่เงียบๆมาตลอด ในที่สุด หลินหนานก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายหนุ่มร่างอ้วนนี้!

แท้จริงแล้ว เป้าหมายของหลีเฟิงก็คือบ้านที่เป็นชื่อของฉันเสียวยู่นี้เอง!

การแอบอ้าง และทําการผ่าตัดโดยที่ไม่แจ้งเคสให้ทางโรงพยาบาลรับทราบเช่นนี้ หากถูกเปิดเผยออกไป แน่นอนว่าอาชีพแพทย์ของหลี่ชางไห่ต้องจบสิ้นลงอย่างแน่นอน!

แต่คนอย่างหลี่ชางไห่ก็ไม่ได้โง่ หากไม่มั่นใจ เขาคงจะไม่กล้าทําเรื่องที่เสี่ยงต่ออาชีพของตนเองแบบนี้แน่

การแสดงออกว่าอยากจะช่วยเหลือของหลี่เฟิงนั้น ดูออกจะมากผิดปกติ ในขณะที่การปฏิบัติของหลี่ชางไห่ ก็ดูขัดแย้งกับคําพูดมาก ทําให้หลินหนานมั่นใจว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ได้ถูกเตรียมการมาล่วงหน้าก่อนแล้ว

และเป้าหมายก็คือบ้านเก่าหลังนั้นของฉินเสี่ยวยู่!

เฮ้อ.. แผนการตื้นๆ!

ในเมื่อหมอหลี่ก็รู้อยู่แล้วว่าหลานชายของตนเองมีเงิน ทําไมยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ฉินเสี่ยวยู่ จนต้องถึงกับเร่งเร้าให้หญิงสาวไปหาเงินมาจ่ายค่าผ่าตัดก่อนด้วยล่ะ?

ฉินเสี่ยวยู่เองก็มัวแต่ห่วงความปลอดภัยของแม่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติเหล่านี้

“หลินหนาน.. ขอโทษด้วยที่ต้องให้นายมาเสียเที่ยว! นายกลับไปบริษัทก่อนนะ หลังจากฉันจัดการเรื่องแม่เสร็จแล้ว จะเลี้ยงอาหารเย็นนายแทน…”

ฉินเสี่ยวยู่หันไปขอโทษหลินหนาน ก่อนจะรีบหันหลังก้าวเดินจากไป..

ยัยโง่เอ๊ย! ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากําลังถูกหลอก!

หลินหนานได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาส่ายหน้ายิ้มๆ และพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน!”