บทที่ 76 ฟืนไฟชั้นดี

เจ้าของร้านพิศวง

เฮริสวางมือแตะบนหน้าต่าง ก้มมองเหล่านักล่าเบื้องล่างที่กำลังขนย้ายศพกันอย่างเร่งรีบ

กลิ่นเหม็นหืนจากซากศพเน่าเฟะลอยฟุ้งไปทั่วพื้นที่แออัดนี้

น้ำสีเขียวอื๋อไหลผ่านช่องทางตามขอบมุมต่าง ๆ พัดพาทั้งฝูงหนู กระดูก เลือด และอีกหลายอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

คราบเลือดและชิ้นส่วนร่างกายต่างกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดทั่วพื้น นักล่าต่างวุ่นกับการจำแนก โยนชิ้นส่วนเน่าลงไปในท่อ ส่วนชิ้นที่ยังมีสภาพดีก็โยนให้หมาล่าเนื้อทั้งหลายกิน

พวกหมาเห่าหอนพลางรุมทึ้งชิ้นส่วนเหล่านั้นอย่างมูมมาม สร้างเสียงกระดูกแตกกร้วมกร้ามอันน่าสยดสยอง

หมาล่าเนื้อที่กัดกินเนื้อมนุษย์มีดวงตาสีโลหิตและฟันอันแหลมคมพร้อมน้ำลายไหลย้อยออกมาไม่หยุด อีกทั้งกลิ่นตัวของพวกมันก็ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าอะไรดี

นักล่าที่ยังอยู่ที่นี่ ซึ่งกำลังป้อนอาหารหมาล่าเนื้อ ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์อสูรเลยสักนิด

เนื่องจากการฉีดเลือดอสูรเกินกว่าเกณฑ์ไปมาก ตอนนี้พวกเขาจึงหันมาพึ่งพาวิธีของนักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดเพื่อให้ยังคงสติไว้ได้

ทั้งร่างกายและจิตใจพวกเขาบิดเบี้ยวเหมือนกันทั้งคู่ ภายใต้ผ้าพันแผลคือขนเส้นหยาบเป็นหย่อม ๆ และอวัยวะที่เป็นของสัตว์อสูร ดวงตาของพวกเขาเหลืองซีดจนสติจะฟั่นเฟือนไปตอนใดก็ไม่อาจรู้ได้เลย

มองอีกแง่หนึ่ง ตอนนี้พวกเขาไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

ในตู้ฟักข้างบน กระจกมนตราที่เคยมีสภาพคล้ายอัญมณี ตอนนี้กลายเป็นบุปผาอัญมณีพร้อมแก่นเพรียวบางคล้ายกระจก คริสตัลรอบด้านคือก้อนเนื้อบวมเป่งที่กำลังขยายตัวออกไป

ด้านล่างตู้ฟักคือ ‘แท่นบูชา’ ขนาดใหญ่ เขตแดนซึ่งถูกย้อมด้วยโลหิตที่ถูกละเลงลงบนพื้น จะแผดเผาพลังชีวิตให้กลายเป็นเชื้อเพลิง และที่นี่คือสถานที่ซึ่งซากศพถูกจัดการ

‘แท่นบูชา’ นี้ไม่ต่างอะไรกับกองไฟขนาดมหึมา เผาผลาญมนุษย์ต่างเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็ว

ทุกอย่างนี้จะถูกดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีพลังงานฟักกระจกมนตราได้เพียงพอ

“ไม่นานแล้ว…อีกแค่นิดเดียว…”

เฮริสพึมพำอย่างหลงใหลพลางจ้องมองไปยังตู้ฟักซึ่งถูกตรึงไว้กลางอากาศ

แค่ตอนนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นอีเธอร์ซึ่งเล็ดรอดออกมาจากกระจกมนตราที่กำลังขยายตัว ก่อนจะกระแทกเข้ากับเขตแดนโดยรอบและหลอมรวมกัน ทำให้บริเวณนั้นสั่นระริกเล็กน้อย ราวกับ…หัวใจเต้น

“งดงามเหลือเกิน อีกแค่นิดเดียว ‘เขา’ ก็จะถือกำเนิดแล้ว”

เฮริสแหงนหน้ามองขึ้นไป นัยน์ตาฉายแววแค้นเคืองอันเย็นยะเยือกยามมองไปยังเพดานซีเมนต์ด้านบน

ข้างบนนั้นคือแผ่นดินนอร์ซิน

พวกอัศวินแห่งหอพิธีกรรมต้องห้ามยังไล่ตามพวกเขาไม่ลดละ

ตั้งแต่มอร์เฟย์สิ้นไป สถานการณ์ของหมาป่าขาวและลัทธิสีชาดต่างพุ่งลงเหวกันทั้งคู่

ตอนแรกพวกเขายังใช้ความรู้เชิงโครงสร้างของนอร์ซินได้ แต่ความเชี่ยวชาญในการไล่ตามของหอพิธีกรรมต้องห้าม ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ต่างกับโดนดึงพรมจากใต้เท้า [1]จนกลายเป็นหมาจนตรอก

หมาป่าขาวไม่มีทางเลือก ต้องแยกย้ายกันหนีลงใต้ดินราวกับหนูท่อ

ทว่าสถานการณ์ของนักล่าหมาป่าขาวถือว่ายังดีกว่านักเวทมนตร์ดำแห่งลัทธิสีชาดมาก

นักเวทมนตร์ดำกลุ่มนั้นไม่ได้เป็นลัทธิของจริงแค่มีความสนใจในแง่ ‘การบูชาเลือด’ เหมือนกันเฉย ๆ แต่ด้วยพลังอำนาจของมอร์เฟย์ พวกเขาจึงทำตัวไม่ต่างกับลัทธิสักเท่าไร

แกนกลางของพวกเขาเป็นมอร์เฟย์มาโดยตลอด

และตอนนี้มอร์เฟย์ตายแล้ว ศูนย์รวมจิตใจอันสำคัญที่สุดถูกทำลายลง กลายเป็นหมัดฮุกที่ทำให้นักเวทมนตร์ดำผู้เคยน่าชื่นชมกลับมาอ่อนแอถึงขั้นด้อยกว่าหมาป่าขาวเสียอีก

“แต่ไม่ว่ายังไง พวกนักเวทมนตร์ดำพวกนั้นก็ถือว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีประโยชน์จริง ๆ…” เฮริสพึมพำกับตัวเองพลางมองนักล่าโยนศพของนักเวทมนตร์ดำเข้าไปใน ‘แท่นบูชา’

ตูม! เกิดการระเบิดของอีเธอร์ขึ้น และเขตแดนที่กางไว้ก็ส่องแสงลึกลับออกมา

ราวกับฟืนไฟถูกเติมลงไปในกองเพลิง อีเธอร์ไร้รูปร่างปะทุขึ้น เผาผลาญทั้ง ‘วิญญาณ’ และชิ้นเนื้อของศพ กลายสภาพพวกมันเป็นเถ้าธุลีทีละเล็กละน้อย

ก้อนเนื้อสด ๆ เริ่มเติบโตขึ้นล้อมรอบกระจกมนตราเบื้องบน ติดหนึบเข้ากับตู้ฟักและกำลังปีนป่ายขึ้นไป

ดอกไม้คริสตัลได้เติบโตขึ้นจนหนึ่งใน ‘กลีบ’ ของมันค่อย ๆ คลี่ออกพร้อมเสียงกรอบแกรบสดใส

เฮริสอยากจะระเบิดหัวเราะร่า เหล่านักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดนั้นไม่ต่างกับไก่ไร้หัว เฮริสแค่เจรจานิดหน่อย ก็ปลุกปั่นพวกนั้นได้ และใช้พวกเขาเป็นโล่กันการไล่ล่าของหอพิธีกรรมต้องห้ามเรียบร้อย

พวกเขาจึงล่มสลายทันที

ความหวาดกลัวส่งผลให้จำเป็นต้องมีเสาหลักคนใหม่ หมาป่าขาวที่ยังดูพอจะมีวิธีดิ้นรนยามเผชิญหน้ากับหอพิธีกรรมต้องห้ามนั้น จึงเป็นความหวังสุดท้าย

น่าเศร้าที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจนี้ทำให้พวกเขาตกหลุมพรางของนักล่าซึ่งถูกวางเอาไว้อย่างพิถีพิถัน

“การฟักตัวคืบหน้ากว่าปกติไปตั้งสองเท่าแน่ะ ต้องขอบคุณฟืนไฟชั้นดีเลยนะเนี่ย”

นักเวทมนตร์ดำต่างมีความเกี่ยวข้องกับอีเธอร์อย่างใกล้ชิดเพื่อใช้เวทมนตร์ และร่างกายของพวกเขาเป็นภาชนะกักเก็บอีเธอร์ได้ดีที่สุด พวกเขาจึงเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับพิธีกรรมนี้

เฮริสไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชายปริศนาผู้มีดวงตาดั่งอสรพิษคนนั้นถึงมาช่วยเขา

ทว่าพวกเขาก็จนตรอกเกินกว่าจะมีทางเลือกอื่น

พิธีกรรมนี้ได้ผลดีกว่าหาวิธีมาดูดพลังชีวิตเสียอีก อีกอย่าง แผนผังของนอร์ซินก็ได้รับมาจากชายปริศนาผู้นี้ด้วย

ราวกับคำพูดของเขายังคงกระซิบในหูของเฮริสอยู่เลย ‘เผาซะ ผลาญไปเท่าที่ต้องการเลย เลือดสด ๆ และพลังชีวิตคือสารอาหารที่ดีที่สุด นายจะนำฝันร้ายและความเจ็บปวดมายังพวกมัน…’

ดังนั้น เฮริสจึงเผาพวกลัทธิสีชาดและสร้างความปั่นป่วนในนอร์ซินเสีย

แต่…มันยังไม่พอ

“คุณเฮริสครับ พวกเราใช้ศพของนักเวทมนตร์ดำหมดแล้วครับ” ลูกน้องเข้ามารายงาน “พวกเราต้องตามล่าต่อรึเปล่าครับ สมาชิกลัทธิสีชาดไม่ได้เหลือเยอะขนาดนั้น แถมยังหนีไปหมดแล้วด้วย ถ้าจะไปตามจับคงไม่ง่ายเท่าไรและอาจเสี่ยงเกินไปด้วยครับ”

ลัทธิสีชาดมีนักเวทเยอะออกปานนั้น และในเวลาไม่กี่วัน พวกเขาก็กลายเป็นสารอาหารไปหมดแล้ว

เฮริสหันไปมองลูกน้องก่อนวางมือลงบนบ่า และเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องหรอก อีกไม่นาน พวกนายก็ไม่ต้องกังวลและจนมุมแบบนี้อีกแล้ว”

ตอนนั้นเองที่ลูกน้องอีกคนเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง เขามีสภาพที่แปลงกายเป็นอสูรไปแล้ว รูปร่างส่วนสูง 2.5 เมตรทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขน และเขากำลังลากศพเข้ามาเพื่อโยนลงบนพื้น

“พวกแมงมุม…เจอพวกเราแล้วครับ…ซอย 52…อยู่ไม่ไกล…จากที่นี่…” นักล่าคนนั้นหอบแฮก

แมงมุม เป็นนักล่ากลุ่มใหม่ที่นำโดยจี้จือซู่ซึ่งแตกคอกับหมาป่าขาว

เฮริสตอบกลับอย่างเยือกเย็น “จี้จือซู่…ยัยนั่นน่าขยะแขยงกว่าอัศวินของหอพิธีกรรมต้องห้ามนั่นซะอีก ถ้าฐานในซอย 52 เราถูกพบแล้ว ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยแล้วละ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว…ก็ปล่อยให้มันมาเลยสิ ใกล้ถึงเวลาทำลายฐานตรงนี้แล้วด้วย”

เฮริสเหลือบมองลงต่ำแล้วยกเท้าขึ้นเหยียบหัวศพนั้น ในพริบตานั้นเอง เขาก็แปลงกายเป็นหมาป่าขาวตัวเขื่องยืนสองขาพร้อมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “พอดีว่าเจ้าแมงมุมตัวจ้อยพวกนั้นจะเป็นฟืนไฟชั้นดีซะด้วยซี่”

[1]เป็นสำนวน ให้นึกถึงว่ามีใครมาดึงพรมใต้เท้าโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้เราตกใจ