ตอนที่ 36

The simple life of the emperor

เทียนหลางจ้องมองการต่อสู้ระหว่างสมาคมเงากับเหล่าสี่สำนักอย่างใจเย็นก่อนจะเดินไปหยิบซุปมานั่งกินพร้อมกับจ้องมองการต่อสู้อย่างสบายใจ

‘คนพวกนี้มีพื้นฐานที่ดีแต่น่าเสียดายที่ความหนาแน่นของพลังนั้นน้อยเกินไป เนื่องจากเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขา’

เทียนหลางคาดว่าการต่อสู้จะจบลงในไม่ช้าเพราะดูเหมือนว่าฝ่ายสมาคมเงานั้นไม่ได้มาโจมตีอย่างจริงจังนักเพราะพวกเขาขนมาเพียงพวกที่อยู่ในระดับแปรเปลี่ยนขั้นปลาย กับปฐพีขั้นต้นเท่านั้นการที่พวกเขาไม่ได้ส่งพวกระดับสวรรค์มาด้วยนั่นแสดงว่านี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้เทียนหลางหงุดหงิดนั้นไม่ใช่ความไม่จริงจังของพวกสมาคมเงา แต่เป็นการต่อสู้ของพวกระดับสวรรค์ของสี่สำนักมากกว่าเพราะตลอดการต่อสู้นั้นพวกเขาไม่ได้แสดงทักษะอะไรมากมายเลย พวกเขาต่อสู้โดยการใช้ยันต์อักขระกับยันต์ลงอาคมเท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความล้าหลังในด้านการบ่มเพาะมากแค่ไหน แถมอาคมและอักขระที่พวกเขาใช้ยังเป็นเพียงระดับหนึ่งกับสองยิ่งทำให้เทียนหลางรู้สึกทนไม่ได้อย่างแท้จริง

ความรู้สึกของเทียนหลางตอนนี้คือเขาอยากจะกระโดดออกไปและฉีกยันต์พวกนั้นออกเป็นชิ้น ๆ และขังพวกเขาอยู่ในหอตำราเพื่อเรียนเรื่องอักขระและอาคมใหม่ในนั้นสักพันปี

ในระหว่างที่เทียนหลางกำลังนั่งมองการต่อสู้ที่แสนน่าเบื่ออยู่นั้นก็ได้มีคนหนึ่งเข้ามาทักเขา

”นายไม่ไปเข้าร่วมต่อสู้ด้วยงั้นเหรอ ?”

เมื่อเทียนหลางหันกลับไปก็พบว่าเป็นศิษย์หญิงจากสำนักวารีพิสุทธิ์เมื่อก่อนหน้านี้

”ไม่หล่ะ ดูเหมือนไม่ใช่การต่อสู้ที่รุนแรงอะไรและดูเหมือนว่าพวกเซียนของสำนักต่างๆ จะรับมือได้อีกด้วยดังนั้นคนที่ติดสอยห้อยตามมาแบบผมคงไม่มีความจำเป็น”

เทียนหลางตอบกลับไปอย่างง่าย ๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้าเบา ๆ เทียนหลางเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม

”แล้วเธอหล่ะ ไม่ไปร่วมต่อสู้กับเพื่อนร่วมสำนักงั้นเหรอ ?”

เมื่อเธอได้ยินคำถามของเขา เธอก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้น

”ไม่จำเป็นหรอก เพราะจากที่ดูแล้วดูเหมือนพวกพี่ ๆ ของฉันจะรับมือได้แล้วอีกอย่างจำนวนคนของทางฝั่งเราก็เยอะกว่าด้วยจึงไม่น่าจะมีปัญหา”

เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาสบัดที่ด้านข้างเบาๆ ครั้งนึง เธองุนงงกับการกระทำของเทียนหลางเมื่อครู่เป็นอย่างมากว่าเขานั้นทำอะไร แต่ไม่นานนักเธอก็ได้คำตอบ เมื่อไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของชายที่สวมผ้าคลุมสีดำคนหนึ่งได้ล้มลงพร้อมกับเลือดที่ไหลอาบเต็มคอ

”กะ… แกรู้ได้ยังไง”

เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะสิ้นลมหายใจไปในที่สุด เธอตกใจเป็นอย่างมากพร้อมกับจ้องมองเทียนหลางด้วยสายตาหวาดกลัวพร้อมกับหวาดระแวง ตลอดเวลาเธอไม่รู้เลยว่ามีคนคอยซุ่มดูพวกเธออยู่ในระยะใกล้เพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น

หากว่าไม่มีเทียนหลางอยู่ด้วยตรงนี้ละก็ป่านนี้เธอคงกลายเป็นผีเฝ้าอยู่ที่นี้ไปแล้ว

เธอมองศพของชายตรงหน้าพร้อมกับลูบไปที่คอของตัวเองก่อนจะคิดถึงช่วงเวลาที่เทียนหลางโจมตีชายคนนั้นด้วยช้อนตักซุป มันทั้งรวดเร็ว เฉียบคมเขาสามารถฆ่าคนได้ด้วยช้อนธรรมดาๆ มันทำให้เธอหวาดกลัวเทียนหลางไม่น้อย

เธอมองเทียนหลางพร้อมกับถามออกมา

”นายเป็นใครกันแน่”

เทียนหลางจ้องมองเธอก่อนจะโยนช้อนเปื่อนเลือดทิ้งพร้อมกับตอบกลับคำถามด้วยรอยยิ้ม

”ผมก็แค่คนที่ติดสอยห้อยตามมาเท่านั้นเอง”

”ให้ตายสิแย่จังต้องหาช้อนใหม่อีกแล้ว”

เทียนหลางเดินกลับมาที่เต็นท์ของเขาพร้อมกับค้นหาช้อนใหม่พร้อมกับตักอาหารมาเพิ่มและมายืนอยู่ที่จุดเดิมที่ชมการต่อสู้อันน่าเบื่อ แต่ถึงมันจะน่าเบื่อแต่อย่างน้อยก็ดีกว่ามองวิวทะเลทรายที่ไกลสุดสายตาตลอดทั้งคืน

ในขณะที่เทียนหลางกำลังเฝ้ามองอยู่นั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็ว เทียนหลางคาดว่าพวกเขาคงนั่งรถตามมา ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงและเข้าร่วมต่อสู้โดยที่พวกเขานั้นมาช่วยพวกคนจากสี่สำนักต่อสู้กับสมาคมเงา

เทียนหลางรู้สึกสงสัยถึงกองกำลังที่มาเสริมไม่น้อยทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงปรากฏตัวออกมาในตอนนี้เทียนหลางจึงหันไปหาศิษย์หญิงคนนั้นอีกครั้งพร้อมกับถามถึงเรื่องพวกเขา

”เธอรู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร ?”

เธอส่ายหน้าพร้อมกับตอบคำถามของเขา

”ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันหวังว่าพวกเขาคงบอกเราในไม่ช้า”

……………………………………………………

หลังจากที่มีกองกำลังปริศนามีช่วยเหลือการต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดกลับมาที่ค่ายพร้อมกับคนเจ็บจำนวนหนึ่ง โชคดีที่ไม่มีคนตายเทียนหลางเลิกสนใจพวกเขาและกลับไปที่เต็นท์ของตัวเองเพื่อรอการกลับมาของหลินจินทงและพ่อบ้านเหลา

เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงเทียนหลางก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาอยากรู้ทันที

”คนพวกนั้นคือใครงั้นเหรอครับปู่หลิน ?”

หลินจินทงที่ได้ยินก็ตอบคำถามของเขาแต่โดยดี

”พวกนั้นคือพรรคอสรพิษหน่ะ พวกเขามาเพื่อร่วมเดินทางไปกับพวกเรา”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะครุ่นคิดเล็กน้อยถึงความน่าสงสัยของพรรคอสรพิษ เพราะตั้งแต่ที่เทียนหลางได้ยินชื่อพรรคของพวกเขาเทียนหลางก็ฟันธงได้เลยว่าพวกนั้นไม่ได้มาด้วยเจตนาดีอย่างแน่นอน

ทั้งการปรากฏตัวที่น่าสงสัยแถมเวลาการมาของพวกเขาก็ยังไม่น่าไว้ใจอีกด้วย หากเขาพวกต้องการจะร่วมเดินทางจริงๆ พวกเขาควรจะเข้าร่วมตั้งแต่อยู่ที่เมืองแล้ว และอีกอย่างการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่น่าจะใช่ความลับอะไรมากนักเพราะเป็นการร่วมมือของทั้งสี่สำนักจึงไม่มีทางที่ศิษย์ในสำนักคนอื่นจะไม่รู้และแน่นอนว่าในสำนักย่อมมีสายลับจากสำนักอื่นปะปนด้วยอยู่แน่นอนจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้ข่าวการร่วมมือนี้

และที่สำคัญที่ทำให้เทียนหลางไม่ไว้ใจพวกเขาก็คือชื่อสำนักของพวกเขา

”คนของโลกนี้ไม่มีเซนส์ในการตั้งชื่อเลยหรือไง แค่ชื่อพรรคก็ไม่น่าไว้ใจแล้ว”

เทียนหลางพูดพร้อมกับลูบคางตัวเองเบา ๆ

”แต่ช่างมันเถอะ ! เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรต่อให้พวกมันคิดไม่ซื่อจริง ๆ ก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไรกับเราอยู่ดี”

เทียนหลางเลิกคิดถึงเรื่องของพรรคอรสพิษก่อนจะเดินออกไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักและยืนมองวิวทะเลทรายที่แสนไกล ไม่นานนักเทียนหลางก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเดินมาทางเขาพร้อมกับเสียงหวานใสที่พูดขึ้น

”ชมวิวทะเลทรายยามดึกงั้นเหรอ ?”

เมื่อเทียนหลางหันไปก็พบว่าเป็นศิษย์คนหนึ่งจากสำนักวารีพิสุทธิ์

”เธอเป็นใครงั้นเหรอ ?”

เมื่อเธอได้ยินคำถามของเทียนหลางเธอก็แนะนำตัวเองทันที

”ฉันชื่อเสวียโหรว ฉันแค่จะมาขอบคุณเรื่องที่คุณช่วยศิษย์น้องของฉันเอาไว้เมื่อครู่”

ทันทีที่เทียนหลางได้ยินคำอธิบายของเธอเขาก็คิดถึงผู้หยิงที่เขาได้คุยด้วยเล็กน้อยก่อนหน้านี้ เทียนหลางได้แต่ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น

”ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นคำตอบแทนเรื่องคุยแก้เบื่อก็แล้วกัน”

เมื่อเธอได้ยินคำตอบของเทียนหลางเธอก็ได้แต่ยิ้มส่วนเทียนหลางก็จ้องมองเธอเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับที่พัก เพราะตอนนี้เขาเริ่มง่วงแล้วในขณะที่เทียนหลางกำลังจะเดินจากไปเธอก็พูดขึ้น

”นายมีเหตุผลอะไรที่ต้องเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้งั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็หันกลับมาเธอก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

”นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องรู้หรอกนะ ผมว่าเธอควรจะระวังพวกพรรคอสรพิษไว้สักหน่อยน่าจะดีกว่า”

เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินจากไปทิ้งให้เธองุนงงอยู่กับคำพูดของเขาเพียงผู้เดียว