ตอนที่ 87 ข่มขู่

“ผู้ใดเจ้าคะ” เมื่อเจียงซื่อกล่าวเช่นนี้ อาหมานจึงตกใจและมองไปรอบๆ อย่างประหม่าทันที

เจียงซื่อมองไปในทิศทางหนึ่ง นางเม้มริมฝีปากสีแดงเข้าหาหัน

ร่างสูงเรียวค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืด

“เหตุใดจึงเป็นท่าน” อาหมานประหลาดใจ

แต่เจียงซื่อดูไม่แปลกใจเลย

นางคุ้นเคยกับกลิ่นของเขาดี ไม่ว่าในชาติก่อนหรือชาตินี้ก็ตาม เมื่อเขาเข้ามาใกล้ มีหรือนางจะไม่รู้ตัว

“อาหมาน เจ้ารออยู่ที่นี่ คุณชายอวี๋เชิญตามข้ามา” เจียงซื่อเดินนำไปข้างหน้า

อวี้จิ่นกัดฟันเดินตามไป ถึงสีหน้าจะแสดงออกมาไม่ชัดนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความงุนงง

เขาซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี แล้วเขาถูกค้นพบได้อย่างไร นางคงไม่ได้เห็นเขาเป็นไอ้โรคจิตที่ชอบสะกดรอยตามหรอกใช่หรือไม่

ทั้งสองเดินไปข้างหน้าประมาณหนึ่งจั้งแล้วหยุดลง

จู่ๆ เจียงซื่อก็หันกลับมาและถามด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบว่า “คุณชายอวี๋สะกดรอยตามข้าด้วยเหตุใดหรือ”

อวี้จิ่นนำมือแตะจมูกเบาๆ

เนื่องจากนางถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาจึงทำได้เพียงใช้ความหน้าด้านหน้าทนอันเป็นพรสวรรค์ของตนแสดงออกมา

“แม่นางเจียงเข้าใจข้าผิดไปแล้ว ข้าหาได้สะกดรอยตาม แต่คอยคุ้มกันแม่นางต่างหาก”

“คุ้มกันข้า?” เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้น “คุณชายอวี๋เห็นข้าเป็นเด็กเล็กๆ หรือไร เจ้ากับข้าหาใช่ญาติกัน และข้าไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากท่าน จู่ๆ ท่านก็ปรากฏกายขึ้นที่นี่แล้วกล่าวว่าปกป้องข้า?”

อวี้จิ่นถอนหายใจเบาๆ

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลึกซึ้งของชายหนุ่ม การถอนหายใจนี้เสมือนกับสายลมยามเช้าที่พัดผ่านหัวใจของนาง

จู่ๆ เจียงซื่อก็นึกถึงช่วงเวลาหลังจากแต่งงานขึ้นมา เขามักกระซิบอยู่ข้างหูนางอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

ในตอนนั้น นางอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงมีเรื่องราวให้กล่าวมากเพียงนั้น เขาสนใจแม้แต่การจะช่วยนางเลือกสีขี้ผึ้งทาปาก แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะขี้ผึ้งทาปากซึ่งทำมาจากสีของเกสรดอกไม้นั่น จึงทำให้นางเสียเปรียบเจ้าหมอนี่…

อวี้จิ่นพบว่าหญิงสาวตรงหน้าดูท่าทางเหม่อลอย

ร่างสูงใหญ่ทั้งคนของเขายืนอยู่ต่อหน้านาง นางยังใจลอยได้อีกหรือ

อวี้จิ่นกระแอมออกมาเบาๆ ดึงความคิดของคนตรงหน้าเขากลับมา กล่าวขึ้นว่า “แม่นางไม่ต้องกังวลใจไป อย่าลืมว่าแม่นางได้จ่ายค่าจ้างในการคุ้มกันให้แก่ข้าแล้ว”

“ค่าจ้างคุ้มกันอะไร”

“ข้ายังติดค้างเงินแม่นางเจียงอยู่หนึ่งพันตำลึงมิใช่หรือ อีกอย่างแม่นางเจียงไม่ยินยอมให้ข้าขายชีวิตเพื่อชดใช้หนี้…” อวี้จิ่นกล่าวออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจ “แต่ตัวข้านั้น หากติดหนี้ผู้ใดก็จะรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจ เช่นนั้นจงคิดเสียว่าเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงนั้นคือค่าคุ้มกันเถิด เช่นนี้เรื่องความปลอดภัยของแม่นางในอนาคตจงมอบให้ข้าเถิด”

เจียงซื่อยิ่งฟัง ดวงตาของนางก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้น

เยี่ยงนี้ก็ได้หรือ

“คุณชายอวี๋เองก็คงเห็นแล้วว่าสาวรับใช้ของข้านั้นมีทักษะที่ดีเลิศ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณชายอวี๋มาคุ้มกันข้า เงินหนึ่งพันตำลึงนั่นท่านติดข้าไว้ก่อนไม่เป็นไร” หลังจากเจียงซื่อกล่าวจบ นางก็หันไปมองอวี้จิ่นอย่างเย็นชา “ข้าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก หากคุณชายอวี๋ยังคอยสะกดรอยตามข้าเช่นนี้ ข้าจะถือว่าท่านเป็นพวกโรคจิต”

อวี้จิ่นมองเจียงซื่ออย่างแปลกใจ

นางยังไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นโรคจิตหรอกหรือ

ช่างเป็นสตรีที่ใจดีและอ่อนโยนเสียจริง

ช้าก่อน! เมื่อครู่เขาคิดว่านางคือสตรีที่อ่อนโยนได้อย่างไร ทั้งๆ ที่นางกำลังจะจัดการตัดอวัยวะสำคัญดุจชีวิตของลูกผู้ชาย!

หึๆ แต่ชายประเภทที่เมาสุราแล้วข้ามกำแพงคิดจะไปทำร้ายหญิงหม้ายในตอนกลางดึก จะเหลือเอาไว้ฆ่าตอนปีใหม่เช่นเชือดหมูหรือไร

“คุณชายอวี๋ ข้าขอตัวก่อน” เจียงซื่อโค้งตัวให้อวี้จิ่นเล็กน้อย จากนั้นกวักมือเรียกอาหมานให้เดินตามมา

ต้องบอกว่านางโชคดีเหลือเกินที่คราวนี้คนที่สะกดรอยตามนางคืออวี้จิ่น จากที่นางรู้จักกับเขามา แม้เขาจะเห็นนางกับอาหมานทำเรื่องราวแปลกๆ เหล่านั้น แต่เขาก็จะไม่นำไปบอกเล่าต่อ ถึงจะรู้สึกประหลาดใจมากก็ตาม

หากว่าเป็นผู้อื่นละก็ เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อนางคิดถึงความเป็นไปได้นี้

หากว่าเปลี่ยนคนอื่น นางคงจะต้องทำงานหนักมากกว่านี้

นางเรียนรู้มนตร์นี้มาจากผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียว และท่านอาวุโสอูเหมียวใช้มนตร์เหล่านี้ในการปกป้องชนเผ่าอูเหมียว

เมื่อเทียบกับกังฟูและดาบแล้ว วิชามนตราสามารถฆ่าคนได้ดุจล่องหน ซึ่งน่าสะพรึงกลัวและลึกลับกว่า

มีสตรีเพียงไม่กี่คนในเผ่าอูเหมียวที่มีพรสวรรค์ด้านมนตร์นี้ ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดจะได้รับยกย่องเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะทายาทของผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียว โดยท่านผู้อาวุโสและสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นเสาหลักฝ่ายวิญญาณของชนเผ่าอูเหมียว

สตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสอูเหมียว แต่ไม่ใช่เพราะนางเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสอูเหมียวจึงทำให้นางกลายมาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้

อาซังกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความสามารถที่โดดเด่นของนาง ดังนั้นหลังจากที่นางตายไป เพื่อเห็นแก่ความมั่นคงของชนเผ่าอูเหมียว จึงไม่ได้ประกาศการตายของนาง จนกระทั่งเจียงซื่อเดินทางไปยังหนานเจียงและบังเอิญรอดชีวิตกลับมาได้ด้วยฐานะของอาซัง

แม้ว่านางจะได้เรียนรู้ทักษะมนตร์ตรา แต่นางก็ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันในชาติก่อน นับประสาอะไรกับการฆ่าคนเพื่อปิดปาก

ค่ำคืนนี้คนที่สะกดรอยตามนางคืออวี้ชี ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้นิสัย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าลดความวุ่นวายลงไม่น้อย

“แม่นางเจียงจะไปแล้วหรือ” อวี้จิ่นถามด้วยรอยยิ้ม

เจียงซื่อก้าวขอไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงมองดูอวี้จิ่นอย่างจริงจัง “คุณชายอวี๋หมายความว่าอย่างไร”

อวี้จิ่นก้าวไปด้านหน้า ลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มเข้าห้อมล้อมนางทันที “ข้าจะบอกเจียงเอ้อร์”

เจียงซื่อที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ บัดนี้ “…” นางจะฆ่าปิดปากเขา!

“ข้าจะบอกเจียงเอ้อร์ว่าน้องสาวที่ดูอ่อนแอของเขา แอบสะกดรอยตามชายเมาสุราท่ามกลางความมืดมิดมาที่หมู่บ้านริมแม่น้ำจินสุ่ย จากนั้นทุบเขาจนหมดสติก่อนตั้งใจจะตัดเจ้านั่นเขาทิ้ง อ้อ แล้วยังแสร้งทำเป็นผีผู้หญิง…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้อวี้จิ่นก็แทบอดหัวเราะไม่ได้

หลายปีมานี้ แม่นางที่เขารักดุจดวงใจยังคงแตกต่างไปจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” เจียงซื่อโกรธมาก

เหตุใดก่อนหน้านั้นนางจึงไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่ไร้ยางอายเช่นนี้ เรื่องการข่มขู่สตรีเขายังกล้าทำออกมาได้

อวี้จิ่นหัวเราะเบาๆ “แม่นางเจียงซื่อ เจ้าดูไม่ออกหรือ ข้ากำลังข่มขู่แม่นางอยู่”

ในเมื่อเขาแสร้งทำเป็นคุณชายผู้จิตใจงดงามแล้วไม่สามารถเอาชนะใจนางได้ เขาคงต้องแสดงธาตุแท้ออกมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการสะกดรอยตามหรือหน้าด้านหน้าทน แต่ชีวิตนี้เขาต้องการแค่เจียงซื่อเพียงคนเดียว

เจียงซื่อกัดริมฝีปากตนเองด้วยความโกรธ

เขาข่มขู่นางอย่างเปิดเผย!

“คุณชายอวี๋ อย่าคิดว่าท่านเป็นสหายของพี่รองข้าแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรกับท่าน!” บัดนี้เจียงซื่อมีความคิดจะให้เขาลิ้มรสความขมขื่นขึ้นมาจริงๆ

“แม่นางจะฆ่าปิดปากข้าหรือ” อวี้จิ่นหยิบมีดสั้นแล้วยัดส่งเข้าไปในมือของเจียงซื่อ ดวงตาดุจดวงดาวยามค่ำคืนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าสัญญาว่าจะไม่ขัดขืน”

เจียงซื่อกำมีดสั้นไว้แน่น

สัมผัสที่เย็นเฉียบของด้ามมีดทำให้นางสงบลง นางเพียงถือมีดไว้ในมือไม่ได้ขยับ

“หากว่าแม่นางเจียงไม่กล้าลงมือ…”

เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าที่กำลังกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ นางสงสัยว่าเขาจะกล่าวว่าหากนางไม่กล้าลงมือ เขาจะเป็นผู้ลงมือเองงั้นหรือ

ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับยิ้มและกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นข้าก็จะข่มขู่แม่นางต่อไป”

เจียงซื่อ “…”

นางหลับตาหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความอยากที่จะฆ่าเขา

“มาเจรจากันเถอะ”

อวี้จิ่นยิ้มอย่างแผ่วเบา “ข้าเองก็ประสงค์เช่นนั้น แม่นางเจียงเชิญตามข้ามาเถิด”

พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกผ่านถนนและตรอกอันเงียบสงบ จากนั้นอวี้จิ่นก็หยุดลง

“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดเขาถึงพาเรามาที่นี่”

สถานที่ที่ทั้งสามหยุดลงก็คือทางเข้าตรอกเชวี่ยจื่อ

“ในเมื่อต้องการเจรจา ข้าว่าที่เรือนคงสะดวกที่สุด หากแม่นางเจียงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จะไปที่เรือนแม่นางก็ย่อมได้” อวี้จิ่นกล่าวออกมาอย่างรอบคอบ

“เจ้า! เจ้าคนโรคจิต” อาหมานชี้ไปยังอวี้จิ่นอย่างกล่าวไม่ออก

คุณหนูของนางตาลายเพราะเห็นชายหนุ่มรูปงามงั้นรึ

เจียงซื่อมองไปทางอวี้จิ่นแล้วเดินเข้าไปในซอย “ไปเรือนท่านเถิด

อาหมาน “…”

อย่าได้กล่าวสิ่งใดต่อนางเลย บัดนี้นางอารมณ์แปรปรวนนัก!