ตอนที่ 86 ผู้ตามอยู่เบื้องหลัง
คำถามเกี่ยวกับวิธีการล้างแค้นยากที่จะกล่าว
หากการแก้แค้นนี้ทั้งผู้กระทำและเหยื่อตายตกไปตามกัน เจียงซื่อมองว่ามันเป็นความล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการแก้แค้นนี้มีนางเป็นผู้บงการ นางไม่อาจให้มีผู้อื่นต้องถูกทำร้ายได้อีก
นี่คือขีดสุดของนาง
การแก้แค้นคือการทำให้ชีวิตของนางราบรื่นขึ้น ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงแลกทุกสิ่งเพียงเพื่อต้องการแก้แค้นจึง
“ในวันที่สิบเก้าเดือนห้า ใต้เท้าเจิน ใต้เท้าชิงเทียนที่เตรียมจะเข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งพระนคร จะพำนักที่อี้จ้าน ห่างออกไปจากเขตชานเมืองประมาณสามสิบลี้ หากท่านได้พบกับใต้เท้าเจิน จงกล่าวกับเขาเรื่องที่ข้าถูกทำร้ายจนสิ้นชีวิต แล้วเขาจะช่วยท่านจัดการเอง”
ตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งพระนครสูงกว่านายอำเภอธรรมดาสองสามขั้น ฟังไปแล้วดูเหมือนจะดี แต่แท้จริงกลับร้อนรนดุจไฟ ก่อนหน้านี้มีผู้ตรวจการมากมายที่นั่งได้ไม่กี่ปี บ้างก็ดำรงตำแหน่งเพียงสองสามเดือนจากนั้นก็ลาออก
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งพระนครจึงหมุนเวียนไปดุจสายน้ำ เมื่อถึงรัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบแปด ท่านเจินซื่อเฉิงในตำแหน่งอันฉาสื่อ[1]ได้ถูกโยกย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งพระนคร ที่นั่งนี้จึงได้สงบลงในที่สุด
เมื่อตอนที่เจินซื่อเฉิงอยู่ในท้องที่นั้น ได้รับสมญานามว่าใต้เท้าใหญ่ชิงเทียน เมื่อตอนที่เดินทางจากไปก็มีชาวบ้านมากมายเดินทางไปส่ง คนผู้นี้ในสมัยราชวงศ์ต้าโจวมีชื่อเสียงยิ่งนักในด้านความซื่อตรง รับผิดชอบต่อประชาชน
อวี้ชีเคยกล่าวให้นางฟังมาก่อนว่าเจินซื่อเฉิงเป็นผู้ที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง
บุคคลเช่นนี้อาจไม่สามารถพลิกให้ราชวงศ์ซึ่งใกล้ล่มสลายให้รุ่งเรืองได้ แต่เขาก็เรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของประชาชน
เหตุผลที่เจียงซื่อจำวันที่ใต้เท้าเจินจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันนั้น
ในสถานที่ที่ใต้เท้าเจินพักเท้าลงมีคนเสียชีวิตลงกะทันหัน และคนผู้นั้นคือพี่ชายของพระสนมคนใหม่ ผู้นามว่าหยางเฟย
แม้ว่าฮ่องเต้จิ่งหมิงจะสามารถควบคุมราชสำนักได้อย่างเต็มที่ แต่เขามีข้อเสียเล็กน้อยตรงที่หูเบา ไม่สามารถทนต่อมารยาคำรบเร้าของพระสนมคนโปรดในวังหลังได้
สังเกตให้ดี คำว่ามารยาคำรบเร้าของพระสนมคนโปรดในวังหลัง กุญแจสำคัญก็คือ พระสนม ‘คนโปรด’
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากฮ่องเต้ไม่พอพระทัยกับการกระทำของพระสนมเช่นนี้ ก็คงจะเพียงแค่พระสรวลออกมา
แต่หลังจากที่หยางเฟยก่อความวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น การตายของหยางกั๋วจิ้วก็กลายเป็นจุดสนใจจากทั่วเมืองหลวง
คดีแรกของที่ใต้เท้าเจินเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงก็คือการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของหยางกั๋วจิ้ว หลังจากคดีถูกเปิดเผยออกมา เขาจึงได้คลี่คลายสถานการณ์อย่างราบรื่นและนั่งในตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งพระนคร
แต่ก่อนที่คดีจะคลี่คลาย ใต้เท้าเจินก็เป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อตอนที่หยางกั๋วจิ้วเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พวกเขาอยู่ในที่พักเดียวกัน ดังนั้นหยางเฟยจึงโกรธใต้เท้าเจินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิดการต่อต้านอย่างมากในการคลี่คลายคดี ซ้ำในตอนแรกใต้เท้าเจินยังถูกสงสัยใส่ร้ายจากผู้คน
“ท่านแม่จงจำเอาไว้ หากต้องการพบใต้เท้าเจินในวันนั้น ท่านต้องไปรอที่ถนนก่อนที่ใต้เท้าเจินจะเดินทางมาถึงที่พัก มิฉะนั้น หากรอให้ใต้เท้าเจินเดินทางมาถึงที่พัก จะมีคนคอยคุ้มกันใต้เท้า และท่านแม่จะมิอาจพบกับใต้เท้าได้…” เสียงของหญิงสาวแผ่วเบาแต่กล่าวอย่างละเอียดว่าต้องทำอย่างไร
หากว่าซิ่วเหนียงจื่อสามารถหยุดใต้เท้าเจินไว้ล่วงหน้าได้ ใต้เท้าเจินก็จะหลีกเลี่ยงเวลาในการตายอย่างกะทันหันของหยางกั๋วจิ้วได้ ทำให้ชีวิตของเขาไม่ต้องพบกับเรื่องที่ยุ่งยากมากมายเพียงนั้น
“ท่านแม่เข้าใจแล้วหรือไม่”
ซิ่วเหนียงจื่อพยักหน้าซ้ำๆ “แม่เข้าใจแล้ว”
เจียงซื่อยังคงกังวลเล็กน้อย นางกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านแม่ โปรดอย่าหุนหันพลันแล่นไป ไม่เช่นนั้นหากท่านเป็นอะไรไป ผู้ใดเล่าจะแก้แค้นแทนข้าได้”
“แม่เข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ลูกสาวแม่ แม่จะทวงความยุติธรรมให้ลูกอย่างแน่นอน”
สายลมกระโชกแรงพัดเข้ามาในเรือนหลัก ผ้าม่านครึ่งผืนนั้นแกว่งไปมา แสงสว่างภายในห้องก็มืดลง
หญิงสาวก้าวถอยหลังอย่างแผ่วเบา
ซิ่วเหนียงจื่อแตกตื่น “ลูกแม่…”
“ท่านแม่เจ้าคะ ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว ท่านแม่นอนหลับพักผ่อนเถิด อย่าลืมดูแลตนเองให้ดี…”
“ลูกแม่ ลูกแม่! เจ้าจะยังกลับมาหาแม่อีกหรือไม่” ซิ่วเหนียงจื่อเหมือนจะร้องไห้ออกมา แต่นางได้แต่กัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาด้วยเกรงว่าลูกสาวของนางจะหายไปในพริบตา
แต่อาการง่วงเหงาหาวนอนหลับปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เปลือกตาของนางหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดนางก็ไม่สามารถฝืนได้จึงหลับตาลง
เจียงซื่อเข้าไปประคองซิ่วเหนียงจื่อที่หลับไปอย่างรวดเร็วเอาไว้
“อาหมาน พยุงนางเข้าไป”
ด้านอาหมานยังคงมึนงง
“อาหมาน” เจียงซื่อรู้สึกเบื่อหน่ายจึงได้เพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น
“เจ้าค่ะ!” อาหมานราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน นางเดินโอนเอนเข้ามาแล้วนำมือสอดไปใต้แขนของซิ่วเหนียงจื่อ
หลังจากที่นางวางซิ่วเหนียงจื่อลงแล้ว เจียงซื่อจึงหยิบปิ่นทองแดงนั้นมาวางใต้หมอนนาง
ท้ายที่สุดก่อนจะเหลือบไปมองสตรีที่นอนหลับใหล เจียงซื่อถอนหายใจและเดินไปทางเรือนด้านขวา
ภายในนั้นยังมีชายผู้ที่พยายามจะเข้ามาทำร้ายย่ำยีซิ่วเหนียงจื่อยามค่ำคืนนอนอยู่
“คุณหนูเจ้าคะ ควรจัดการอย่างไรกับคนผู้นี้ดี” อาหมานกระซิบถาม
“มีดทำครัวนั่นอยู่ที่ใด”
อาหมานกลับไปยังห้องเมื่อครู่แล้วหยิบมีดทำครัวออกมา
เจียงซื่อหยิบมีดทำครัวและชี้ไปที่ร่างกายส่วนล่างของชายผู้นั้น ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตัดมันเสีย”
“เจ้าคะ?” อาหมานนำมือขึ้นมากุมปากเอาไว้ด้วยน้ำเสียงแหลมสูง
ในวันนี้นางถูกเรื่องต่างๆ รุมเร้าค่อนข้างมาก เบื้องบนเป็นพยานได้ นางเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาผู้อ่อนแอเท่านั้นเอง!
อวี้จิ่นผู้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและพร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือนางในดวงใจของเขาได้ทุกเมื่อ เขายื่นมือออกมาสัมผัสไปที่เป้าอย่างไม่รู้ตัว เขาสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่ตรงเป้า
เขาคงได้ยินผิดไปเอง
“ยังไม่ลงมืออีก?”
“คุณหนู คุณหนูสั่งให้บ่าวตัดอะไรนะเจ้าคะ”
หญิงสาวดูสงบและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิมคล้ายกับกำลังสนทนากันถึงเรื่องจะกินอะไรในวันนี้ “แน่นอนว่าต้องตัดสิ่งที่เขาใช้ย่ำยีสตรีทิ้งน่ะสิ”
อวี้จิ่น “…”
เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อาซื่อกล่าว
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไปเองเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นคุณหนูของตนกำลังจะเข้าไปลงมือ นิ้วอันสั่นเทาของอาหมานจึงรีบเข้าไปคว้ามีดทำครัวขึ้นมา
นางมองดูชายผู้ไร้เดียงสาและโง่เขลาที่หลับอยู่ อาหมานก็เกิดความอิจฉาเล็กน้อยขึ้น จากนั้นนางก็ยกมีดทำครัวขึ้นมา
อวี้จิ่นแทบไม่กล้าหายใจ
“ช้าก่อน”
อาหมานถอนหายใจอย่างโล่งอก
“หากลงมือที่นี่จะทิ้งคราบเลือดเอาไว้ พาเขาออกไปก่อนเถอะ”
อาหมานรีบเก็บมีดทำครัวและแบกชายผู้นั้นขึ้นมา
เจียงซื่อเดินตรวจดูทั้งภายในและภายนอก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือแล้วจึงเดินทางออกมาจากเรือนของซิ่วเหนียงจื่อ
ทั้งหมู่บ้านยังคงปกคลุมไปด้วยความมืด สามารถมองเห็นแสงไฟบนแม่น้ำจินสุ่ยได้จากระยะไกล
เจียงซื่อเดินไปข้างหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ โดยมีอาหมานที่แบกชายผู้นั้นไว้เดินตามหลังมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเจียงซื่อก็หยุดลง
นางหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนแห่งหนึ่ง แสงจากดวงดาวจางๆ ทำให้เห็นได้ว่ากำแพงเรือนนี้สูงกว่าหลังอื่นๆ อิฐยังคงเป็นสีขาวสะอาดคาดว่าเพิ่งจะสร้างได้ไม่กี่ปี
เจียงซื่อชี้ไปที่ประตูบ้านนี้และโบกมือให้อาหมานวางเขาลง
“ถอดกางเกงออกสิ”
อาหมานกะพริบตาแต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้กล่าวเล่นๆ นางจึงหลับตาลงและดึงกางเกงของชายผู้นั้นออก มาเผยให้เห็นบั้นท้ายสีผ่องขาวของเขา
อวี้จิ่นที่เดินตามนายบ่าวทั้งสองมาได้แต่เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วถอนหายใจเบาๆ
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ดีว่าเขาต้องควบคุมตนเองมากเพียงใดเพื่อเอาชนะความต้องการจะเข้าไปหยุดพวกนางไว้
คุณหนูน้อยไม่รู้หรือไรกัน การแอบมองก้นชายคนอื่นจะเป็นตากุ้งยิง!
“เอามีดทำครัวมา”
อาหมานทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ “คุณหนูเจ้าคะ ให้บ่าวทำเองเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำให้มือคุณหนูต้องแปดเปื้อนเลย”
“เอามีดแทงก้นเขาให้ตายไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
เนื่องจากไร้ประสบการณ์ จึงเป็นปัญหายิ่งในการตัดเจ้าสิ่งนั้น หากทำให้เขาตายขึ้นมาก็คงลำบาก เจียงซื่อคิดอยู่ในใจ
“ไปกันเถอะ” เมื่อมองดูว่าอาหมานน่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว เจียงซื่อจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ
นายบ่าวทั้งสองค่อยๆ เดินห่างออกไปจากหมู่บ้านหวังจยา แต่เจียงซื่อก็หยุดลงกะทันหัน
“เจ้าจะตามไปถึงเมื่อไร”
[1] อ้านฉาสื่อ ตำแหน่งในหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความยุติธรรม ความมั่นคงภายใน คล้ายกรมตำรวจ