ตอนที่ 85 วิญญาณกลับมาหา

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 85 วิญญาณกลับมาหา

แม้จะมีม่านบังเอาไว้ แต่ก็สามารถฟังได้ชัดเจนว่าสตรีนางนั้นลุกขึ้นยืนที่พื้น

อาหมานตกตะลึงทำตัวไม่ถูก

เจียงซื่อชี้ไปยังห้องทางขวา

อาหมานจึงได้แบกชายผู้สลบไสลวิ่งหนีไป

ห้องทางขวาไม่ได้แตกต่างจากห้องทางซ้ายเท่าไรนัก ไม่มีแม้แต่ผ้าม่านมาปิดบัง โชคดีที่มีเตียงเก่าๆ อยู่ข้างหน้าต่างเช่นกัน จึงพอมีที่หลบซ่อนตัว

อาหมานแบกชายหนุ่มวางไว้ตนเตียงนั้นก่อนจะได้สติกลับคืนมา ตายแล้ว นางทิ้งคุณหนูเอาไว้!

แต่เจียงซื่อมีสติมากกว่านาง เมื่อได้ยินเสียงสตรีผู้นั้นลงจากเตียง นางก็หยิบของบางอย่างเอามาวางไว้บนพื้นแล้วรีบหลบไปตรงกำแพง

สตรีผู้นั้นเดินงัวเงียตรงออกมา ปากของนางกล่าวไม่หยุดว่า “ลูกแม่ ลูกสาวแม่ เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เต้าหู้ไซซีผู้มีเสน่ห์กลับกลายเป็นกระดูกเดินได้

นางดูเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่รู้ตัวว่าเจียงซื่อยืนอยู่ใกล้เพียงเอื้อม นางเดินตรงออกไปเช่นนั้นจนกระทั่งเท้าไปสัมผัสเข้ากับของที่เจียงซื่อวางเอาไว้เมื่อครู่

เกิดเสียงดังขึ้นชัดเจนแจ่มแจ้ง

ซิ่วเหนียงจื่อจึงได้ก้มตัวลงมาเก็บของนั้นขึ้นไป

ท่ามกลางความมืดนี้ ซิ่วเหนียงจื่อหยิบมันขึ้นมาลูบคลำแต่ก็สามารถแยกแยะได้โดยง่ายถึงรูปร่างของนั้น

มันคือปิ่นอันหนึ่ง

เจียงซื่อไม่แน่ใจว่าปิ่นนั้นเป็นของบุตรสาวซิ่วเหนียงจื่อทิ้งเอาไว้หรือไม่ แต่อาจมีความเป็นได้สูง

ปิ่นปักผมทองแดงหล่นอยู่ท่ามกลางดอกโบตั๋น มันอาจเป็นปิ่นของบุตรสาวซิ่วเหนียงจื่อ หรืออาจเป็นของหญิงสาวที่ถูกทำร้ายก่อนหน้าก็เป็นได้

เจียงซื่อใช้ปิ่นปักผมทองแดงนี้เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของซิ่วเหนียงจื่อ

หากปิ่นปักผมเป็นของบุตรสาวนางจริงๆ ก็จะเอื้อต่อการใช้แผนภาพลวงตานี้ให้ราบรื่นมากขึ้น

ซิ่วเหนียงจื่อมองยังปิ่นปักผมทองแดงในมืออยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็เกิดอุทานขึ้นว่า “ลูกแม่ ลูกสาวแม่กลับมาแล้ว!”

ดูเหมือนซิ่วเหนียงจื่อตื่นขึ้นจากภวังค์อย่างกะทันหัน นางรีบวิ่งออกไปเหมือนเป็นบ้า นางมองไปซ้ายขวาในลานอันว่างเปล่า

“ลูกสาวแม่ เจ้าออกมาเถิด! ลูกสาวของแม่ แม่คิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน…แม่รู้ว่าเจ้าจะต้องกลับมา…”

อาหมานคืบคลานเข้าไปตรงด้านข้างของเจียงซื่อ นางมองดูซิ่วเหนียงจื่อที่กำลังบ้าคลั่งด้วยความเห็นอกเห็นใจ

เจียงซื่อถอนหายใจเบาๆ ออกมา

นางเห็นใจผู้เป็นบิดามารดาเหลือเกิน บุตรสาวของซิ่วเหนียงจื่อหลับใหลไปท่ามกลางดอกโบตั๋นนั้นโดยไม่อาจตื่นฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้ว

แม้นางจะไม่อาจนำบุตรสาวที่ยังมีชีวิตมามอบคืนให้ซิ่วเหนียงจื่อได้ แต่อย่างน้อยนางก็สามารถแก้แค้นให้ซิ่วเหนียงจื่อได้!

ซิ่วเหนียงจื่อร้องไห้อยู่ที่ลานพักหนึ่ง จู่ๆ นางก็เปิดประตูและวิ่งออกไป แม้จากระยะไกลก็ยังได้ยินเสียงตะโกนของนางที่น่าสังเวชว่า “ลูกสาวแม่ เจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดจึงหลบซ่อนแม่เช่นนี้ เพียงแค่เจ้าออกมาพบแม่ เจ้าอยากได้อะไรแม่จะให้เจ้าทั้งสิ้น”

กลางดึกเช่นนี้ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของซิ่วเหนียงจื่อแผ่ออกไปเกือบครึ่งหมู่บ้าน ไม่นานก็มีเพื่อนบ้านออกมาตะโกนด้วยความไม่พอใจว่า “ซิ่วเหนียงจื่อ หยุดสร้างเสียงรบกวนเสียทีเถอะ บุตรสาวของเจ้าไม่กลับมาแล้ว เอะอะเสียงดังทุกวันน่ารำคาญสิ้นดี!”

“เหตุใดเจ้ากล่าวไร้สาระว่านางไม่อาจกลับมาได้อีก นางกลับมาแล้ว! เมื่อครู่นางกลับมาแล้ว!”

ด้านนอกจึงเกิดความโกลาหลเกิดขึ้น บางคนก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เอาเถอะ ช่างเถิด ซิ่วเหนียงจื่อน่าสงสารยิ่งนัก จะไปทะเลาะกับนางทำไมกัน นางอยากจะโวยวายก็ให้นางโวยวายไปเถิด ประเดี๋ยวนางเหนื่อยก็กลับไปนอนเอง”

จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจอย่างหนักออกมา

อาหมานที่ซ่อนตัวอยู่ตรงประตูลานบ้าน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวว่าซิ่วเหนียงจื่อคงเสียสติไปแล้ว คุณหนูจะตามหานางเพื่อสิ่งใด”

“อีกประเดี๋ยวเจ้าไม่ต้องกล่าวสิ่งใดออกมา คอยดูเถอะ” ในความมืดไม่ด น้ำเสียงของหญิงสาวดูสงบเป็นพิเศษ แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอันน่าฉงน ทำให้คนมองรู้สึกประหลาดใจ

ซิ่วเหนียงจื่อวิ่งเท้าเปล่าวนไปวนมาอยู่หลายรอบ “ลูกแม่ต้องรอแม่อยู่ในเรือนแล้วแน่ๆ เจ้าบอกว่าจะออกไปซื้อขนมกุ้ยฮวาให้แม่…”

อย่าเห็นว่าอาหมานสามารถโค่นล้มชายสองสามคนได้โดยง่าย แต่แท้จริงจิตใจของนางอ่อนแอยิ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นน้ำตานางก็ไหลริน

ที่แท้บุตรสาวของซิ่วเหนียงจื่อออกไปซื้อขนมกุ้ยฮวามาให้นางจึงได้หายตัวไป ซิ่วเหนียงจื่อช่างน่าสงสารเสียจริง…

เมื่อเห็นว่าซิ่วเหนียงจื่อกำลังจะวิ่งเข้าไปในลาน เจียงซื่อก็รีบกลับไปยังเรือนด้านขวากับอาหมาน

อาหมานรู้สึกประหม่ามาก “คุณหนูเจ้าคะ หากว่าซิ่วเหนียงจื่อมายังห้องนี้จะทำเยี่ยงไร”

นางสามารถจัดการลงมือกับพวกอันธพาลได้ แต่นางไม่สามารถลงมือกับซิ่วเหนียงจื่อผู้น่าสงสารนี้ได้เลย

เจียงซื่อไม่ได้ตอบคำถามของอาหมาน แต่กลับยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมออก ปล่อยให้ผมยาวของนางร่วงหล่นลงมา

“คุณหนู?”

เจียงซื่อยืนจับตรงขอบประตูและมองออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ

ซิ่วเหนียงจื่อวิ่งเข้ามาด้วยผมที่ยุ่งเหยิงด้วยความรีบ เมื่อก้าวขาขึ้นบันได นางก็พุ่งตรงไปข้างหน้าสะดุดล้มลงที่ทางเข้าห้องโถง

ปิ่นทองแดงในมือของนางร่วงหล่นลงพื้นกระเด็นไม่ไกลมาก

“ปิ่น ปิ่นของลูกแม่…” ซิ่วเหนียงจื่อยื่นมือคลานออกไปด้วยใบหน้าขาวซีดสับสน ดุจดั่งวิญญาณที่หลุดออกมาจากนรก ซึ่งพยายามปีนขึ้นมาบนโลกอย่างสิ้นหวัง

อาหมานถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง

เจียงซื่อพลิกฝ่ามือ จากนั้นมีลำแสงเล็กๆ ของหิ่งห้อยมายาออกมาจากฝ่ามือของนาง แสงนั้นแนบไปกับพื้นแล้วพุ่งไปทางซิ่วเหนียงจื่ออย่างรวดเร็ว

หิ่งห้อยมายาบินเข้าไปในหูข้างซ้ายของซิ่วเหนียงจื่อ แล้วทะลุออกมาทางหูด้านขวา ก่อนจะบินกลับไปยังฝ่ามือของเจียงซื่อ

ขั้นตอนทั้งสิ้นอันรวดเร็วนี้มีเพียงเจ้าของหิ่งห้อยมายาเท่านั้นที่รับรู้

ซิ่วเหนียงจื่อยังคงพยายามจะเอื้อมมือไปคว้าปิ่นทองแดงอันนั้นเอาไว้ ส่วนอาหมานได้แต่อ้าปากค้างราวกับตกใจสุดขีด

ขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ท่านแม่…”

อาหมานเอามือขึ้นปิดปากแทบจะร้องไห้ออกมา นางมองไปยังเจียงซื่อที่กำลังเดินไปทางซิ่วเหนียงจื่ออย่างช้าๆ

คุณหนู ต้องทำให้น่ากลัวขนาดนี้ด้วยหรือ!

แต่ผู้ที่มีปฏิกิริยามากกว่าอาหมานก็คือซิ่วเหนียงจื่อ

นางลืมเรื่องที่จะพยายามเอื้อมมือไปคว้าปิ่นทองแดงไปจนสิ้น จู่ๆ นางก็เงยหน้าขึ้นจ้องไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

หญิงสาวนางนั้นมีผมยาวถึงเอว เนื่องจากไม่มีแสงไฟส่อง จึงเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดพร่ามัวในความมืด

“ลูกแม่” ซิ่วเหนียงจื่อรีบปีนป่ายขึ้นมาจากพื้น

น้ำเสียงของหญิงสาวดูนิ่งสงบ “ท่านแม่ อย่าได้เข้ามาใกล้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องจากไปแล้ว”

ซิ่วเหนียงจื่อเดิมทีที่จะพุ่งเข้ามาหานางจึงชะงักลง กล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ได้ แม่ไม่เข้าใกล้เจ้า ลูกแม่อย่าไปจากแม่เลย…”

ผ่านไปสักพัก ซิ่วเหนียงจื่อจึงได้เหม่อมองบุตรสาวกล่าวว่า “ลูกแม่ หลายวันมานี้เจ้าไปอยู่ที่ใดมา แม่คิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน ช่างทรมานยิ่งนัก…”

หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ “ท่านแม่ ข้า แท้จริงข้าตายไปแล้ว”

อาหมานที่หลบอยู่ในเรือนขวา “…”

ซิ่วเหนียงจื่อยกมือขึ้นปิดปาก ร่างกายนางสั่นสะท้านทันที

มองไปแล้วนางอยากจะโผเข้ากอดบุตรสาวที่นางโหยหามาหลายวันมากนัก แต่เมื่อนึกถึงคำบุตรสาวเมื่อครู่ นางจึงไม่กล้าขยับเขยื้อน

“ท่านแม่ ท่านจงฟังข้าให้ดี”

ซิ่วเหนียงจื่อพยักหน้าไปร้องไห้ไป

แม้เจียงซื่อแทบทนดูไม่ได้ แต่นางรู้ว่าฉากนี้จำเป็นต้องดำเนินต่อไป

นางเชื่อว่านี่คือสิ่งที่บุตรสาวของซิ่วเหนียงจื่อคงต้องการบอกกับมารดาของนาง

“ท่านแม่ ข้าถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อฆ่าตาย ฉังซิงโหวซื่อจื่อเห็นว่าข้ามีรูปงามยิ่ง จึงได้นำตัวข้าไปยังจวนฉังซิงโหว หลังจากเขาย่ำยีข้าแล้วจึงได้ฆ่าข้า นำศพข้าฝังไว้ใต้สวนดอกโบตั๋นของพวกเขา ข้านอนอยู่ใต้พื้นดิน ตลอดทั้งวันคืนได้ยินเสียงท่านแม่ร้องเรียก จึงได้เดินทางมาพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย…”

ซิ่วเหนียงจื่อกัดริมฝีปากตนเองแล้วส่งเสียงครวญครางออกมา

น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาของหญิงสาว “ท่านแม่ ข้า ข้าตายอย่างน่าเวทนาเหลือเกิน ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า”

“ล้างแค้นงั้นหรือ” ดวงตาของซิ่วเหนียงจื่อค่อยๆ เปลี่ยนไป ลำแสงที่เย็นชาแผ่ออกมา “แม่จะไปฆ่าไอ้สัตว์นรกนั่น แม่จะข้ามันเพื่อล้างแค้นให้เจ้า!”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านไม่สามารถไปล้างแค้นฉังซิงโหวซื่อจื่อได้อย่างโจ่งแจ้งหรอก จวนฉังซิงโหวไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนธรรมดาสามารถต่อกรด้วยได้ หากท่านถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อทำร้ายอีกคนละก็ ข้าคงตายตาไม่หลับ…”

ซิ่วเหนียงจื่อชะงักลงเล็กน้อย จากพึมพำออกมาว่า “เช่นนั้นแม่จะช่วยเจ้าแก้แค้นได้อย่างไร”