ตอนที่ 84 คนร้าย
จากแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่อง ทำให้พอจะมองออกว่าเป็นชายรูปร่างไม่สูงใหญ่แต่รากฐานมั่นคง อายุราวๆ สี่สิบปี
ชายผู้นั้นหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะถือมีดทำครัวเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางความมืดไม่ด
“คุณ คุณหนูเจ้าคะ เขาผู้นั้นจะไปฆ่าใครงั้นหรือ” อาหมานกระซิบถามด้วยน้ำเสียงอันเบาและตระหนก “หรือว่า…เขาฆ่าคนในเรือนนี้ไปสิ้นแล้ว…”
“ไม่มีกลิ่นคาวเลือด” เจียงซื่อตอบกลับพร้อมมองไปยังชายหนุ่มซึ่งกำลังจะหายลับไปในความมืด
อาหมานกัดริมฝีปากตนเอง “เช่นนั้นหมายความว่า…เขากำลังจะไปฆ่าคนสิเจ้าคะ!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น อาหมานก็มีทีท่ากังวลใจขึ้นมา จู่ๆ นางก็ดึงชายเสื้อของเจียงซื่อเอาไว้แน่น “คุณหนูเจ้าคะ ครานี้เราจะทำอย่างไรกันดี”
จู่ๆ เหตุการณ์ก็กลับกลายเป็นเช่นนี้ เจียงซื่อเองก็คาดไม่ถึง
การออกมาสำรวจหมู่บ้านหวังจยายามค่ำคืน นางได้วางแผนมาก่อนแล้วมากมาย เพียงแต่ไม่คาดว่าจะพบเจอเข้ากับฆาตกรที่กำลังจะลงมือเช่นนี้
“อาหมาน เจ้าสามารถจัดการกับคนคนนั้นได้หรือไม่”
“บ่าวสามารถจัดการได้เจ้าค่ะ มองไปอาจเห็นว่าเขาร่างสูงใหญ่ แต่ดูจากท่าทางการเดินแล้ว คาดว่าไม่ได้เป็นผู้ศึกษาวิทยายุทธ คนเช่นนี้บ่าวจัดการพร้อมกันสองสามคนก็ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งชายผู้นั้นหายลับตาไป ก่อนจะตัดสินใจออกมาว่า “พวกเราเดินตามไปดูกันเถอะ”
เมื่อนางพบเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ หากจะให้ทำเป็นมองไม่เห็นก็คงจะใจจืดใจดำเสียเกินไป แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ต้องแน่ใจว่านางสามารถปกป้องคนได้หรือไม่
เรื่องนี้เจียงซื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หากว่าเกินความสามารถของตนละก็ ความหวังดีคงจะกลายเป็นความไม่ดีไปได้ และความโง่เขลาอาจทำให้คนรอบกายต้องลำบากไปด้วย เช่นนั้นคงจะโง่เง่ายิ่งกว่าเดิม
“เจ้าค่ะ!” เมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าวเช่นนั้น สีหน้าอาหมานก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ถึงอย่างไรอาหมานก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยผู้ไม่เคยเผชิญหน้ากับลมฟ้าอากาศฝน แม้นางจะมีวิชากังฟู แต่เมื่อพบเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะลุกลี้ลุกลนแต่มันหาได้เป็นเพราะความกลัวไม่
สำหรับสาวน้อยผู้มีความสามารถและใจกล้าหาญเช่นนี้ การให้ไปค้นหาที่อยู่ของเต้าหู้ไซซีท่ามกลางความมืด สู้ติดตามฆาตกรที่กำลังจะลงมือเสียคงตื่นเต้นกว่า
“คุณหนูเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเขาเดินไปทางไหนแล้ว” เมื่อเดินมาได้เพียงไม่กี่ก้าว อาหมานก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสับสน
“ทางโน้น” เจียงซื่อชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
อาหมานมองไปรอบๆ แล้วกระซิบว่า “คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เขาดื่มสุรา”
กลิ่นของสุราอันแรงฉุนนี้ ต่อให้มีความมืดไม่ปิดบังเอาไว้ ก็ไม่อาจทำให้นางหลงทิศทางได้
คำตอบของเจียงซื่อทำให้สาวน้อยงุนงงสงสัยมากขึ้น
คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นั้นดื่มสุรา
เอาเถิด เดินไปตามที่คุณหนูกล่าวคงไม่ผิดแน่
นายบ่าวทั้งสองคนพากันจับมือเดินตรงไปข้างหน้า ไม่นานต่อมาเจียงซื่อก็หยุดฝีเท้าลง
อาหมานที่เดินตามมาก็หยุดลงเช่นกัน นางชี้นิ้วออกไปว่า “คุณหนูเจ้าคะ ดูนั่น! มีคนอยู่ตรงนั้น!”
ชายผู้นั้นอยู่ห่างจากนั้นสองประมาณหนึ่งจั้ง บัดนี้เขากำลังเดินวนเวียนไปมาด้านนอกเรือนแห่งหนึ่ง
อาหมานจูงมือเจียงซื่อเดินเข้าไปหลบหลังต้นไม้ แล้วจับจ้องไปที่ชายผู้นั้นอย่างเงียบๆ
ในที่สุดเขาก็เริ่มลงมือทำบางสิ่ง นั่นคือการนำอิฐมาก่อตัวกันให้สูงขึ้น จากนั้นปีนเข้าไปบริเวณที่มีช่องโหว่
นายบ่าวทั้งสองสบตากันก่อนจะตามไปอย่างเงียบๆ
“คุณหนูเจ้าคะ เรือนนี้ดูไปแล้วเก่ากว่าเรือนเมื่อครู่อีกนะเจ้าคะ” อาหมานซึ่งยืนอยู่ตรงช่องโหว่ของกำแพงเอ่ยขึ้น
เจียงซื่อเองก็ทำสีหน้าซับซ้อนประหลาดใจ
แม้จะมีกำแพงมากั้น แต่นางก็สามารถได้กลิ่นของเต้าหู้ กลิ่นนี้ดูเหมือนจะซึมเข้าไปอยู่ในอิฐและกระเบื้องของเรือนไปแล้ว ด้วยเวลาอันสั้นไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้แน่นอน
หากหมู่บ้านหวังจยาไม่มีครัวเรือนที่สองค้าขายเต้าหู้ เช่นนั้นเป็นไปได้เสียจริงว่าที่นี่คือเรือนของเต้าหู้ไซซีซิ่วเหนียงจื่อ
บัดนี้เจียงซื่อมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
การที่ทำดีได้ดีมีอยู่จริงเสียด้วย
หากว่าเมื่อครู่นางไม่ได้ติดตามเขามาเพราะความกลัวจะลำบากตน เมื่อรอให้ตามหาเต้าหู้ไซซีพบแต่เกิดเรื่องขึ้นก่อนเสียแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่นางจะจัดการคงยากขึ้นไปมาก
“อาหมาน เจ้าเข้าไปก่อน จากนั้นไปเปิดประตูด้านโน้นให้ข้า เร็วเข้า!” เจียงซื่อรีบกำชับ
อาหมานพยักหน้าตอบรับ นางเหยียบไปยังก้อนอิฐที่ชายเมื่อครู่วางเอไว้ แล้วใช้มือทั้งสองข้างค้ำเอาไว้ ร่างของนางก็ลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงสู่พื้นอีกฟากในกำแพงอย่างไร้ซึ่งเสียงใด
ในไม่ช้าประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ เจียงซื่อที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงรีบเข้าไปทันควัน
“คุณหนูเจ้าคะ เขาเข้าไปในเรือนแล้ว!” อาหมานรีบกระซิบบอก
เจียงซื่อจึงได้เร่งฝีเท้าตามเข้าไปโดยมีอาหมานตามติด
ภายในเรือนไม่มีแสงไฟ แม้แต่แสงจากดวงจันทร์บนฟากฟ้าก็หลบเข้ากลีบเมฆ ดวงดาวมืดมน ทำให้ท้องนภาดูมืดยิ่งกว่าเดิม เฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ในจิตใจของสองนายบ่าวนี้
จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น ทำให้ทั้งสองหยุดลงทันทีแล้วหันมามองหน้ากัน
“ปัดโธ่ มืดฉิบหายมองไม่เห็นอะไรเลย!” น้ำเสียงสบถนั้นแม้จะไม่ดัง แต่ทั้งสองนางก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ที่แท้ชายผู้นั้นเดินไปชนกับบางสิ่งเข้าอย่างไม่ทันระวังนี่เอง
ประตูหลักใหญ่เปิดกว้างไว้ มีเพียงผ้าม่านครึ่งผืนแขวนกั้นที่ด้านใน ชายผู้นั้นเดินเข้าไปจากนั้นนิ่งเงียบ
บัดนี้อาหมานไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา นางทำเพียงส่งสายตาไปถามเจียงซื่อเท่านั้น
แต่ดูเหมือนเจียงซื่อจะไม่เป็นกังวลเท่าไร นางเปิดม่านเข้าไปดูด้านใน
ท่ามกลางห้องต่ำและมืดมิด ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างเตียงกำลังมองผู้ที่อยู่บนเตียงโดยไม่ได้ขยับเขยื้อน
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงพลิกตัวกลับมาพอดี นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ลูกแม่…”
อาหมานเบิกตากว้าง ดวงตาอันเป็นประกายของนางท่ามกลางความมืดนี้ดุจดั่งดวงดาว
ที่นี่คือเรือนของเต้าหู้ไซซีจริงๆ!
นางอดไม่ได้ที่จะดึงชายเสื้อของเจียงซื่อด้วยท่าทางดูตื่นเต้นเล็กน้อย
เจียงซื่อส่ายศีรษะช้าๆ เป็นความหมายว่าอย่าส่งเสียงออกไป
อาหมานพยักหน้าตอบรับ
ทันใดนั้นเอง ฉากที่ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องชวนสยองขวัญจนขนลุกขนพองก็ปรากฏขึ้น
สตรีที่กำลังนอนอยู่ท่ามกลางความฝัน ด้านข้างมีชายคนหนึ่งถือมีดทำครัว ห่างออกไปจากม่านประตูเพียงสิบก้าวมีหญิงสาวสองคนยืนดูเงียบๆ
บรรยากาศอันแปลกประหลาดเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเยือกเย็น
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะมึนเมาจากสุรา ขณะนี้เขาไม่สังเกตเห็นว่านายบ่าวทั้งสองอยู่ที่นั่นด้วย
เขาหันหน้าไปทางแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ใบหน้าดูหมกมุ่น จับจ้องดุจจะกลืนกินผู้ที่อยู่บนเตียงอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปสักพัก ชายผู้นั้นก็ได้หยิบมีดทำครัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงอกแล้ววางลงตรงข้างเตียงก่อนจะยกมือขึ้นถูไถไปมา
อาหมานมองไปยังมีดทำครัวเล่มนั้นอย่างกังวลใจ
เขาจะฆ่าคนไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงวางมีดลงเล่า
แต่ในไม่ช้าอาหมานก็ได้คำตอบนั้น
จู่ๆ ชายผู้นั้นก็เปิดผ้าห่มที่ห่มบนร่างของสตรีผู้นั้นออกแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน
เจียงซื่อรีบส่งสัญญาณทางมือให้แก่อาหมานอย่างรวดเร็ว
อาหมานเข้าใจในทันใด นางดึงเสื้อของชายผู้นั้นจากด้านหลังก่อนจะลงมือทุบลงตรงคอของเขาอย่างแรง
ชายผู้นั้นส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะสลบหมดสติไป อาหมานจึงใช้มือเพียงข้างหนึ่งลากเขาลงมาจากเตียง
เจียงซื่อชี้ไปยังด้านนอกประตู อาหมานพยักหน้ารับแล้วโยนชายผู้สลบไสลราวกับหมูนอนตายออกไปที่ห้องโถง
เจียงซื่อเดินตามออกมา นางดีดปลายนิ้วเบาๆ ผงขนาดเล็กซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยเข้าไปในจมูกของชายผู้นี้
เมื่อได้สูดดมผงสยบวิญญาณนี้เข้าไป ชายผู้นี้คงจะนอนหลับเป็นตายได้ถึงย่ำรุ่ง
ในขณะเดียวกัน สตรีที่นอนอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นมาทันใด นางตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ลูกแม่ ลูกสาวแม่!”