ตอนที่ 62 จำได้
ยิ่นอ๋องเลิกม่านขึ้นแล้วหันไปมองเฉียวเวย เวลานี้รถม้าขับผ่านเฉียวเวยมาแล้ว เขาจึงเห็นเพียงแผ่นหลังอันซอมซ่อ

“เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ขันทีหลิวถามอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขา

เขาลดม่านลง “ไม่มีอะไร ข้าจำคนผิด”

แม้นางจะถูกขับออกจากตระกูล แต่ตระกูลเฉียวก็ให้เงินนางเป็นจำนวนมากเพื่อตั้งตัว ถึงอย่างไรก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ตนต้องฟังผิดแน่

เฉียวเวยสำรวจเด็กคนนั้นอย่างละเอียด พบว่าไม่มีอะไรร้ายแรงนอกจากรอยขีดข่วนบนฝ่ามือของเขา แต่เด็กคนนั้นคงถูกตามใจมามาก เพียงเท่านี้ก็เจ็บปวดจนน้ำตาไหล นึกถึงลูกชายของนาง หกล้มจนหัวเข่าปูดเป็นลูกหมั่นโถวก็ยังกระโดดโลดเต้นได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอาล่ะ เป็นลูกผู้ชาย ไม่ต้องร้องไห้แล้ว!”

เด็กชายค่อนข้างเชื่อฟัง เขาสูดน้ำมูกและหยุดร้องไห้จริงๆ

เฉียวเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าของเขา “เหตุใดเจ้าจึงอยู่คนเดียว บิดามารดาของเจ้าเล่า”

เขาตอบว่า “ข้าออกมากับพ่อบ้านและหวังมามา ข้าหลงทางกับพวกเขา”

“คุณชายน้อย! คุณชายน้อย!” แม่นมวัยกลางคนแต่งตัวดูมีฐานะวิ่งเข้ามากอดคุณชายน้อยที่พลัดหลงไปกลางทาง นางร้องไห้เสียงเครือ “ในที่สุดก็พบท่านแล้ว! บ่าวกลัวแทบตายเจ้าค่ะ!”

คุณชายน้อยยักไหล่อย่างไม่สบายตัวและพูดกับนางว่า “หวังมามา ข้าเพิ่งล้มไปกลางถนน พี่สาวคนนี้ช่วยข้าไว้”

หวังมามาปาดน้ำตา หันกลับมาขอบคุณเฉียวเวย “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชี…”

คำว่า ‘ชีวิต’ ยังไม่ทันพูดจบดี เมื่อนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน นางก็ชะงักกึกตัวแข็งทื่อ

จวนสกุลเฉียว เรือนชิงเหอ

เฉียวอวี้ซีนั่งอยู่ในห้อง กำลังฝึกปรือฝีมือการเย็บปักอยู่กับสวีซื่อผู้เป็นมารดา นางตัดด้ายแล้วส่งงานปักให้มารดาดู “ท่านแม่ ท่านว่าข้าปักเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”

สวีซื่อหยิบงานปักของลูกสาวมาชมและแสดงท่าทางพอใจ “ไม่เลว ปักปีกของเป็ดคู่ได้งดงามราวกับมีชีวิต ฝีมือพัฒนาขึ้นกว่าเดือนก่อน”

เฉียวอวี้ซีดีใจมาก “ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำถุงเงินให้ใต้เท้าหมิงซิว”

“อืม” สวีซื่อพยักหน้า “เจ้าต้องใส่ใจฝั่งใต้เท้าเข้าไว้ จะได้แต่งงานเร็วๆ”

นางเองก็อยากจะแต่งเข้าจวนให้เร็วที่สุดเช่นกัน แม้ยามฝันนางก็ยังอยากเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ได้เป็นคู่สามีภรรยาครองรักกับใต้เท้าอย่างสง่าผ่าเผย แต่ใต้เท้ากลับไม่เคยเอ่ยเรื่องแต่งงานกับนาง นางจะทำเช่นไรได้ หากนางเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาว่าเมื่อใดจะตบแต่งกับนาง ก็คงดูไม่ดีกระมัง

“ท่านแม่ ใต้เท้าเขา…เขาไม่ชอบข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวอวี้ซีก้มศีรษะถาม

สวีซื่อวางงานปักลง แล้วลูบใบหน้าของนางอย่างรักใคร่ “เด็กโง่ เจ้าเกิดมางดงามเพียงนี้ ทั้งยังฉลาดเฉลียว จิตใจบริสุทธิ์งดงาม บุรุษใดจะไม่หวั่นไหวกับเจ้า”

เฉียวอวี้ซีนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้พบจีหมิงซิวมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว นางกัดริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ “แต่ใต้เท้า…”

สวีซื่อปลอบว่า “เขาเป็นคนนิสัยเย็นชา เจ้าไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ พยายามเอาใจเหล่าฮูหยินให้ดี อย่าทำผิดพลาดก็พอแล้ว การแต่งงานระหว่างตระกูลเรากับจวนเสนาบดีถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ฮองเฮาองค์ก่อนยังไม่สิ้นพระชนม์ ต่อให้เขาไม่หวั่นไหวแล้วจะทำเช่นไรได้ สุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับเจ้าอยู่ดี”

เฉียวอวี้ซีขมวดคิ้ว “ถึงจะพูดเช่นนี้ ข้าก็หวังว่าใต้เท้าจะต้องการแต่งงานกับข้าจากใจจริง”

สวีซื่อยิ้ม “เขาต้องเต็มใจแน่”

บุตรีงามเพริศพริ้งเช่นนี้ หากนางไม่ได้เติบโตมาในอารามเต๋าก็คงกลายเป็นคนดังในเมืองหลวงไปนานแล้ว คนมาสู่ขอคงเหยียบประตูสกุลเฉียวจนพัง

ไม่ว่าอัครมหาเสนาบดีจะสูงศักดิ์เพียงไร เขาก็ยังเป็นบุรุษและบุรุษก็ชมชอบสตรีผู้งดงามอ่อนโยน

“ฮูหยิน! ฮูหยิน!” ทันใดนั้นเสียงเจือความกังวลของหวังมามาก็ดังขึ้นด้านนอก

สวีซื่อตบหลังมือบุตรีเบาๆ พลางยิ้มอย่างมีความสุข “น้องชายของเจ้าไปลงทะเบียนกลับมาแล้ว”

แต่กลายเป็นว่าหวังมามาเข้ามาคนเดียว

สวีซื่อมองข้างหลังนางอย่างแปลกใจ “อวี้ฉีอยู่ที่ใด”

“คุณชายน้อยเจอคุณชายรองที่สวนพอดีเจ้าค่ะ ทั้งสองคนกำลังเล่นกัน” หวังมามารายงาน จากนั้นนางจึงหยิบป้ายลำดับที่ประทับตราทางการกับเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้สวีซื่อ “คุณชายน้อยลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

สวีซื่อนำป้ายลำดับกับเอกสารเก็บไว้ในกล่องและปิดไว้อย่างดี เมื่อเห็นหวังมามายังไม่ออกไปจึงถามว่า “ยังมีเรื่องใดอีก”

หวังมามาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “บ่าว…วันนี้บ่าวเห็นคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”

สวีซื่อพูดอย่างขับขัน “คุณหนูใหญ่ก็อยู่ที่นี่มิใช่หรือ เจ้าพูดเหลวไหลอันใด…เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นผู้ใดนะ”

สีหน้าของสวีซื่อค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา

หวังมามาตอบเสียงสั่นเครือ “คะ…คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ…”

สวีซื่อหรี่ตา “ของบ้านใหญ่หรือ”

หวังมามาพยักหน้า!

“ผู้ใดหรือเจ้าคะ ท่านแม่” แววตางุนงงงปรากฏขึ้นในดวงเนตรคู่งามของเฉียวอวี้ซี

สวีซื่อตอบเสียงแผ่วเบา “พี่สาวจากบ้านใหญ่ของเจ้า”

เฉียวอวี้ซีเลิกคิ้ว “นางออกจากเมืองหลวงไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจึงกลับมาอีก”

นางเคยได้ยินเรื่องของพี่สาวคนโตจากผู้อื่นมาบ้าง พี่สาวผู้นี้ทราบอยู่เต็มอกว่าตนเองมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับจวนอัครมหาเสนาบดี แต่กลับมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับยิ่นอ๋อง แล้วคืนก่อนวันหมั้นนั่นเอง นางก็ปีนขึ้นเตียงยิ่นอ๋อง เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนรู้กันทั่ว ทำให้จวนเอินปั๋วขายหน้าหมดสิ้น

หากมิใช่เพราะฮองเฮาองค์ก่อนเป็นผู้ประทานงานสมรสให้ทั้งสองตระกูล จวนอัครมหาเสนาบดีคงตัดสัมพันธ์กับสกุลเฉียวนานแล้ว!

“หวังมามา เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นพี่ใหญ่ เจ้าจำผิดไปแล้วกระมัง” นางถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

หวังมามากล่าวว่า “ถึงแม้นางจะแต่งตัวซอมซ่อ แต่บ่าวจำไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ บ่าวเดาว่า…นางอาจจะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกลำบาก จึงจะกลับมาหาพวกเรากระมัง”

เฉียวอวี้ซีร้อนใจแล้ว นางกอดแขนของสวีซื่อแล้วเอ่ยวิงวอน “ท่านแม่เจ้าคะ รีบให้เงินนางสักหน่อยแล้วไล่นางไปเสียเถิด! อย่าปล่อยให้นางมาทำลายการแต่งงานของข้ากับใต้เท้าหมิงซิว!”

สวีซื่อยิ้มหยัน “นางเป็นเพียงรองเท้าขาดๆ คู่หนึ่ง มีคุณสมบัติอันใดมาแย่งคู่หมั้นของเจ้า นางคิดว่าตัวเองยังเป็นคุณหนูใหญ่เฉียวคนเดิมเหมือนสมัยก่อนเช่นนั้นหรือ นางอย่าได้ฝันเฟื่อง ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเป็นของเจ้า ผู้ใดก็มาแย่งไม่ได้! หวังมามา”

หวังมามาค้อมกาย “เจ้าค่ะ ฮูหยิน”

“เจ้าพบนางที่ใด” สวีซื่อถามเสียงเข้ม

หวังมามาตอบว่า “ที่ถนนฉางอันเจ้าค่ะ คุณชายน้อยบอกว่านางไปสมัครสอบเสินถงด้วย”

สวีซื่อชะงัก “นางมีลูกหรือ”

หวังมามารีบพูดทันที “เรื่องนี้…บ่าวก็ไม่เห็นเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่านางจะจำบ่าวได้จึงรีบพาคุณชายน้อยออกมาเจ้าค่ะ”

เฉียวอวี้ซีเขย่าแขนสวีซื่อแล้วออดอ้อน “ท่านแม่เจ้าคะ”

สวีซื่อตบหลังมือของนางเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อนางมาลงทะเบียน นางต้องมาปรากฏตัววันสอบแน่ นางจะมาไม้ไหน ประเดี๋ยววันนั้นก็จะได้รู้กัน!”

เฉียวเวยพาเด็กๆ ไปหาเสี่ยวอู่ พวกเขากินบะหมี่เนื้อสามชามกับเกี๊ยวเนื้อแพะสองชามที่ร้านบะหมี่ใกล้ๆ ทั้งหมดเป็นเงินห้าร้อยอีแปะ นางปวดใจจริงๆ

ข้าวของในเมืองหลวงราคาแพงนัก อย่าบังคับให้นางต้องขายไข่เยี่ยวม้าราคาห้าร้อยอีแปะต่อลูกเชียวนะ!

“ตอนแรกข้าคิดว่าค่าลงทะเบียนหนึ่งตำลึงแพงไปหน่อย แต่หลังจากกินบะหมี่ถึงรู้ว่านั่นราคาถูกแล้ว” อาเซิงพูดอย่างปลงๆ เขาร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาในตัวเมือง ค่าเล่าเรียนหนึ่งเดือนเพียงสองตำลึง ค่าอาหารในเมืองหลวงเพียงมื้อเดียวก็ราคาเกือบจะเท่ากันแล้ว

บริเวณรอบๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาลงทะเบียนจากใกล้ไกล แต่คนที่ดูซอมซ่อเหมือนพวกเฉียวเวยกลับมีไม่กี่คน

พวกเฉียวเวยอาศัยอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก มาลงทะเบียนวันนี้ก็กลับวันนี้ได้ รอสิ้นเดือนค่อยเดินทางมาสอบอีกหน แต่หากเป็นคนมาจากถิ่นไกลก็ได้แต่พักในเมืองหลวงเท่านั้น ดูจากค่าครองชีพในเมืองหลวง คนยากคนจนคงจะลำบากอยู่บ้าง

สายตาหลากหลายแบบมองมายังพวกเฉียวเวย

เฉียวเวยไม่สนใจ รอจนเสี่ยวอู่กับเด็กๆ กินเสร็จก็จ่ายเงินออกมาจากร้านบะหมี่

เฉียวเวยต่อแถวตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดก็ได้รับหนังสือเข้าสอบของเด็กทั้งสามคน บนหนังสือระบุชื่อแซ่ของเด็ก อายุ สถานที่เข้าสอบ ลำดับที่นั่งสอบเอาไว้ คล้ายกับบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบสมัยปัจจุบันอยู่เล็กน้อย