ตอนที่ 63 ทองคำ
หลังจากลงทะเบียนเสร็จ เฉียวเวยก็ไปร้านช่างตีเหล็กที่ถนนฉางชิง
โรงตีเหล็กตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ได้ยินเสียงของช่างตีเหล็กแว่วมาแต่ไกล บุรุษเปลือยท่อนบนหลายคนกำลังทยอยขนสินค้าที่ทำเสร็จใหม่ขึ้นรถ ดูท่าทางกิจการการค้าคึกคักดีทีเดียว
เฉียวเวยพาเด็กๆ เข้าไปในโรงตีเหล็ก นางมองชายวัยกลางคนที่กำลังง่วนอยู่กับการดีดลูกคิดแล้วพูดขึ้นว่า “ผู้ดูแล ข้ามาหาหลัวหย่งเหนียนเจ้าค่ะ”
ชายวัยกลางคนตะโกนเสียงดังโดยไม่มองเฉียวเวยด้วยซ้ำ “เจ้าหนุ่มหลัว! มีคนมาหาเจ้า!”
“มาแล้วขอรับ! ผู้ใดหรือ”
หลัวหย่งเหนียนเดินมาจากห้องโถงด้านหลัง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคล ใบหน้าเปรอะเปื้อน ฝ่ามือดำปี๋ แถมยังถือท่อนเหล็กที่ถูกเผาจนแดงเกินครึ่งท่อนออกมาด้วย ครั้นเห็นเฉียวเวยเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านพี่หรือ ท่านนั่นเอง! พวกท่านมาได้อย่างไร” พอดีมีศิษย์อีกคนเดินผ่าน เขาจึงส่งแท่งเหล็กให้ “เอ้านี่ ช่วยรับไปที พี่สาวข้ามาหา”
ชายคนนั้นรับไปโดยไม่อิดออด
หลัวหย่งเหนียนเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่!”
“ท่านน้า” จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเอ่ยทักทายอย่างรู้ความ
อาเซิงเอ่ยทักทายเช่นกัน “พี่หย่งเหนียน”
หลัวหย่งเหนียนยิ้มละไม “เด็กดี!”
เฉียวเวยเห็นว่าเหงื่อเกือบจะไหลเข้าตาของเขาจึงรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้เขา “พวกเขาจะเข้าร่วมการสอบเสินถง ข้าจึงพาพวกเขาไปลงทะเบียนมาแล้วถือโอกาสมาพบเจ้าด้วยเสียเลย ไม่คิดว่าเจ้าจะทำงานหนักขนาดนี้”
หลัวหย่งเหนียนมาร่ำเรียนวิชาได้สองปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนในครอบครัวมาเยี่ยม เขาจึงตื่นเต้นมาก “ท่านพี่ รอข้าประเดี๋ยวเดียว ข้าจะบอกเถ้าแก่! แล้วพาท่านไปเดินเล่นในเมืองหลวง!”
เฉียวเวยกวาดตามอง “เจ้าพักอยู่ที่ใด”
หลัวหย่งเหนียนพาเฉียวเวยไปยังที่พักของเขา เหล่าลูกศิษย์เช่นพวกเขาต่างพักอยู่ห้องละสิบกว่าคน เขาโชคดี เมื่อปีก่อนมีศิษย์พี่คนหนึ่งลาออกไป เขาจึงได้ตำแหน่งของศิษย์พี่คนนั้นแทนและได้ย้ายไปอาศัยในห้องกับศิษย์พี่อีกสามคน แม้ว่าจะเงียบสงบ แต่…
เมื่อมองยังห้องที่รกรุงรัง หลัวหย่งเหนียนก็เกาศีรษะอย่างขัดเขิน
เฉียวเวยคิดอยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ นางหยิบผ้าปูที่นอนกับผ้านวมที่ป้าหลัวมอบให้ก่อนออกเดินทางมาเปลี่ยนให้หลัวหย่งเหนียน นำที่นอนเปียกไปตากที่ลานบ้าน แล้วนำเสื้อผ้า รองเท้า ผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมอันสกปรกไปทำความสะอาดที่บ่อน้ำ เสร็จแล้วจึงนำกระเป๋าเข็มกับด้ายออกมาซ่อมแซมส่วนที่ขาด จากนั้นจัดการเก็บกวาดทั้งภายในและภายนอกห้องอีกครั้ง แล้วเช็ดทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้ทั้งหมด
และแล้วห้องที่รกเหมือนรังหนูจึงถูกทำความสะอาดด้วยประการฉะนี้!
เฉียวเวยหยิบไหสองไหออกจากห่อผ้า “ผักดองที่ข้าหมักเองเหมาะที่จะกินเป็นกับข้าว ไหนี้เป็นเนื้อวัวตุ๋น เก็บไว้นานไม่ได้ วันนี้เจ้าก็เอาไปแบ่งกันกินกับศิษย์พี่ของเจ้า”
หลัวหย่งเหนียนกอดไหและนั่งบนเตียง ขอบตาร้อนผ่าว
ตั้งแต่เด็กจนโตยังไม่มีผู้ใดดีกับเขาขนาดนี้มาก่อน
เขาก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ท่านพ่อท่านแม่ดูแลเขาไม่ไหว จึงส่งเขามาอยู่ที่นี่ ไม่เคยถามเขาว่ามีความสุขหรือไม่ ไม่เป็นห่วงเลยว่าเขาจะสบายดีหรือไม่ ราวกับว่าการที่เขาลำบากนั้นเป็นการสมควรแล้ว
ตัวเขาเองก็รู้ว่ามันสมควรแล้ว แต่ในใจของเขาก็ต้องการคนเป็นห่วงเป็นใยเช่นกัน
เฉียวเวยเห็นว่าจู่ๆ เขาก็มีสีหน้าสลดลง จึงตบไหล่เขา “เป็นอะไรไป ข้าดีกับเจ้าขนาดนี้ ซาบซึ้งใจจนแทบจะร้องไห้เลยหรือ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” หลัวหย่งเหนียนปากแข็งไม่ยอมรับ
เฉียวเวยผูกห่อผ้าเสร็จเรียบร้อย “เอาล่ะ ข้าไม่ได้มาทำดีกับเจ้าโดยไม่หวังผลหรอกนะ ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า” ว่าแล้วนางก็ให้อาเซิงพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปเล่นที่ลานบ้าน ส่วนตัวเองนำแผ่นทองออกมาจากถุงเงินอย่างระมัดระวัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าโรงรับจำนำอยู่ที่ใด ข้าอยากเอามันไปแลก”
หลัวหย่งเหนียนเห็นงานฝีมือและเนื้อสัมผัสของแผ่นทอง จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ของดีเช่นนี้ เอามาจากที่ใดหรือ”
มีบางเรื่องรู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “ข้าเก็บได้ เจ้าคิดว่าจะจำนำได้หรือไม่”
หลัวหย่งเหนียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะได้ แถวนี้มีโรงรับจำนำอยู่ใกล้ๆ ข้าจะพาท่านไปเอง”
“เดี๋ยวก่อน” เฉียวเวยเรียกให้เขาหยุด “เจ้าช่วยหลอมมันก่อน ถ้าเกิดว่า…เจ้าของที่ทำหายไปแจ้งเจ้าหน้าที่ แล้วข้าเอาไปจำนำก็ถูกจับกันพอดี”
หลัวหย่งเหนียนไตร่ตรองดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลที่พึงระวังเช่นกัน “ข้าบังเอิญมีแม่พิมพ์พอดี ให้ข้าหลอมเป็นจี้ทองคำดีหรือไม่”
“ดี!”
ช่วงบ่าย หลัวหย่งเหนียนหลอมแผ่นทองของเฉียวเวยให้กลายเป็นจี้ทองคำเล็กๆ ขณะที่กำลังจะพาเฉียวเวยไปโรงรับจำนำ เฉียวเวยก็ห้ามไว้ก่อน นางถือหลักปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าต้องเสียใจภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็น ‘ของโจร’ นางไม่กล้าให้เขากับลูกๆ ต้องไปเสี่ยงกับนาง
นอกจากนี้นางยังมีปัญหาส่วนตัวที่ไม่สะดวกจะจัดการต่อหน้าลูกๆ
เฉียวเวยมาโรงรับจำนำที่หลัวหย่งเหนียนบอก นางอ้างว่าจี้ทองคำนี้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัว เวลานี้กิจการล้ม เจ้าหนี้มาบีบบังคับถึงหน้าบ้าน นางหมดหนทางจึงนำมันมาแลกเงิน
หลังจากที่เถ้าแก่ร้านตรวจสอบจี้ทองคำ เขาก็มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและพูดว่า “ยี่สิบตำลึง”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “อะไรนะ แค่ยี่สิบตำลึงหรือ นี่เป็นทองคำเชียวนะ!”
ในรัชสมัยนี้ทองคำหนึ่งตำลึงมีค่าเท่ากับเงินสิบตำลึง จี้ทองคำของนางหนักสามตำลึง รวมเป็นราคาประมาณสามสิบตำลึง แต่โรงรับจำนำกลับจะฮุบไปเสียหนึ่งในสามส่วน ชั่วช้าเกินไปแล้ว!
เถ้าแก่พูดตัดรำคาญ “ราคานี้แหละ เจ้าจะแลกหรือไม่”
“ยี่สิบห้า”
“ไม่ได้”
เฉียวเวยกลอกตา “เจ้ายังไม่ได้ค้าขายอะไรมาทั้งวัน มีการค้ามาหาถึงที่เจ้ากลับไม่เอา แสดงว่าที่เจ้าเปิดร้านมิใช่เพื่อทำการค้ากระมัง ถ้าเช่นนั้นเพื่ออะไร คงมิใช่เพื่อฟอกเงินหรอกนะ เบื้องหลังเจ้ามีเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ใช่หรือไม่”
เถ้าแก่ร้านเบิกตาโพลง “แม่นาง อย่าพูดจาเหลวไหล!”
เฉียวเวยเคาะโต๊ะคิดเงิน “ยี่สิบห้าตำลึง จะรับจำนำหรือไม่รับ”
มุมปากของเถ้าแก้ร้านกระตุกอย่างแรง “…เดี๋ยวก่อน”
ตอนแรกเฉียวเวยเพียงจะหลอกเขาเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ เฉียวเวยไม่สนใจว่าเขาจะทำธุรกิจบังหน้าจริงหรือไม่ แค่นางได้เงินก็เพียงพอแล้ว
ขณะที่เถ้าแก่กับเฉียวเวยกำลังจะทำการค้าสำเร็จ มือเรียวข้างหนึ่งก็เอื้อมมากดกล่องเบาๆ “จี้ทองคำนี้ ข้าจะซื้อเอง ราคาตามแต่ฮูหยินต้องการ”
เฉียวเวยได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็พลันขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาก็เห็นเฉียวอวี้ซีในชุดสีขาว ยืนอยู่ตรงหน้านางอย่างสง่างามด้วยท่วงท่าที่ดูเหนือกว่า ความอ่อนโยนนั้นทำให้คนรู้สึกพร่างพราวชั่วขณะ
ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่ได้พบนาง เฉียวเวยมักจะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจ!
อันที่จริงนางก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายนางอย่างแสนสาหัส แต่เฉียวเวยไม่ชอบนาง เมื่อเทียบกับอู๋ต้าจินที่น่ารังเกียจแล้ว เฉียวเวยค่อนข้างเกลียดนางมากกว่า!
เฉียวอวี้ซีกลัวว่าพี่สาวคนโตที่จู่ๆ ปรากฏตัวในเมืองหลวงจะแย่งงานแต่งงานของตัวเองไป จึงยิ่งต้องเอาใจผู้คนรอบกายของหมิงซิว เหมือนเหล่าฮูหยินจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางแล้ว แต่สือชียังคงมีทิฐิสูง ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่น้อย
ในที่สุดนางก็ได้พบกับเพื่อนของสือชีแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ต้องละทิ้งความเกลียดชังครั้งก่อนและซ่อมแซมความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย
“ฮูหยิน ข้าชอบจี้ทองคำนี้มาก เหตุใดฮูหยินไม่ตัดใจขายให้ข้าเล่า” นางทำตัวอ่อนน้อมราวกับว่านางลืมเรื่องไม่สบอารมณ์ระหว่างตัวเองกับเฉียวเวยแล้ว
ความหน้าหนานี้ เฉียวเวยยอมแพ้จริงๆ
เฉียวเวยยิ้มบางๆ แล้วปัดมือนางที่วางบนกล่องออก “คุณหนูเฉียวมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เหตุใดสิ่งของหยาบๆ เช่นนี้ถึงเข้าตาบุตรีจวนเอินปั๋ว เจ้าต้องการจะทำอะไร ว่ามาเถอะ”
เฉียวอวี้ซีลูบเสื้อแขนกว้างที่ทำจากด้ายไหมสีทอง จากนั้นกวาดตามองชุดที่ทำจากผ้าป่านเนื้อหยาบของอีกฝ่ายเงียบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เห็นว่าเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมกับเจ้า ตั้งแต่เกิดความเข้าใจผิดครั้งล่าสุด สือชีก็เหินห่างกับข้ามาก เจ้าเป็นเพื่อนของสือชี ข้าหวังว่าเจ้าจะออกหน้าล้างมลทินให้ข้า”
ว่าแล้วนางก็ยกมือขึ้น
ซิ่งจู๋ถือกล่องหน้าตางดงามเดินเข้ามา
เฉียวเวยเปิดออกดู โอ้โฮ ทั้งกล่องเต็มไปด้วยทองคำ!