บทที่113 ฉลาด

นํ้าเสียงของมู่เทียนซิงมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

เธอกลัวว่าสิ่งนี้มันมีความเกี่ยวข้องกับหลิงเล่!

เด็กคนหนึ่ง เสียแม่ตั้งแต่เด็ก แถมยังถูกพ่อของตัวเองปฏิบัติเช่นนี้ ถ้าหากว่าเชื้อสายของเขายังพบปัญหาอีก นั้นตกลงพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณลุงหายไปไหนเนี่ย?ทำไมถึงปล่อยให้เด็กที่เล็กๆขนาดนี้ต้องทนทุกข์ทรมานในวัยเด็กเช่นนี้ล่ะ?

มู่เทียนซิงนำเจินเจินที่หลับอย่างสนิทวางบนโซฟา จากนั้นก็นั่งยองต่อหน้าหลิงเล่

มือที่เล็กของเธอจับมือของเขาไว้อย่างแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่มีนํ้าตาสะสมไว้อยู่”คุณลุงคะ อย่าเสียใจเลย!ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นมันมีความเกี่ยวข้องกับคุณหรือเปล่า มันก็ไม่สำคัญแล้วค่ะ!เรื่องอดีตที่ไม่ดีล้วนผ่านไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเราก็จะมีชีวิตที่มีความสุขมากๆ พวกเราจะแต่งงานกัน จะมีลูกของตนเอง คุณดูสิ หลายปีนี้ผ่านมาแล้ว พี่น้องตระกูลจั๋วกับพี่อาซือก็ยังคงอยู่ข้างๆคุณ เราทุกคนล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องของคุณ!ไม่ว่าจะยากลำบากเช่นไหน พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป!คุณลุงคะ ไม่ต้องเสียใจเลย!”

เธอใช้มือหนึ่งจับมือของเขาไว้อย่างแน่น อีกมือหนึ่งแตะไปที่หน้าอกของเขาเบาๆ ราวกับว่ากำลังปลอบใจเด็กน้อยอยู่ และดูเหมือนอยากจะคลายความเครียดในใจของเขาออกไปโดยสิ้นเชิง!

หลิงเล่จับมือของเธอที่แตะอยู่ในหน้าอกของเขาอย่างกะทันหัน และจูบลงไปบนนั้น จากนั้นเขาพยักหน้าแล้วพูดว่า”ครับ ฉันก็จะมีครอบครัวของตัวเอง และมีภรรยาและลูกด้วย”

เขาดึงเธอขึ้นมาและสะกิดเธอมานั่งบนขาของเขาและกอดเธอไว้อย่างแน่น

อยู่ดีๆหลิงเล่ก็กลายเป็นสงบมาก เขาหลับตาไว้ ศีรษะฝังอยู่ในไหล่ของเธอ เพื่อแบ่งปันความอบอุ่นซึ่งกันและกัน และไม่พูดอะไรอีกแล้ว

ขอบตาของจั๋วซีบวมแดงเล็กน้อย เขากับพี่ชายและพี่สะใภ้ล้วนเคยสงสัยเชื้อสายของซือซ่าว แต่เพียงแค่ไม่กล้าพูดต่อหน้าเขาเท่านั้น

แม้ว่าพวกเขาหลายปีไม่เคยได้เจอญาติพี่น้องแล้ว แต่พวกเขาล้วนรู้ว่าพ่อแม่เป็นใครและบรรพบุรุษเป็นใคร

แต่หลิงเล่แตกต่างจากพวกเขา เพราะผลของดีเอ็นเอชุดนี้ระบุไว้ว่า เขากับหลิงหยวนไม่ใช่พ่อลูกที่แท้จริง!

พอเป็นเช่นนี้ นั้นปัญหาก็มาแล้ว ตกลงหลิงเล่มาจากที่ไหน เป็นแค่พ่อของเขามีปัญญา หรือว่าพ่อแม่ล้วนมีปัญญาล่ะ?

คำถามทุกอย่างมาพร้อมกับความเศร้าโศกที่หนักอึ้งในหัวใจของทุกคน ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็ไม่มีใครพูดอะไรสักคำอีก

ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง หลิงเล่ถึงขึ้นมาจากไหล่หอมของเธอ แล้วใช้สายตาที่ไร้เดียงสาและเข้าใจง่ายมองไปที่เธอ!

มู่เทียนซิงอึ้งอยู่กับที่ ถ้าหากว่าได้ เธอยอมสละทุกอย่างเพื่อมาแลกกับสายตาที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ ให้มันอยู่คู่ไว้ตลอดไป!

แต่มันเพียงแค่ช่วงเวลาในการกระพริบตาเอง จากนั้นเขาก็บีบคางของเธอแล้วจูบลงไป ในที่สุดสายตาของเขาก็กลายเป็นมืดลึกเช่นเดิม

เขาชี้ไปที่ผลการตรวจสอบซึ่งวางอยู่บนโต๊ะนํ้าชาแล้วพูดว่า”ฉันอาจควรฟังคำแนะนำของคุณ ไปดึงผมของหนีหย่าจูนมา!”

มู่เทียนซิงหัวเราะออกมา”ตอนที่ฉันตื่นมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว”

“เหอะๆ เขาวิ่งหนีแล้ว”หลิงเล่ส่ายหัวพร้อมหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า”เมื่อเวลาที่ฉันลงไปทานอาหารเช้า จั๋วหรันก็บอกกับฉันว่า หนีหย่าจูนเอากระเป๋าเดินทางไปหมดแล้ว แถมยังบอกว่าไม่อยากอยู่ต่อเพราะกลัวว่าจะรบกวนพวกเรา อยากจะให้พวกเรามีเวลาอยู่กันสองต่อสองมากขึ้น”

มู่เทียนซิงหัวเราะออกมา”เห็นได้ชัดว่านี่คือการหนีเพื่อหลีกเลี่ยงพวกเรา!เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ยอมบอก!”

“อาจจะใช่นะ”

“ใช่แน่นอน!”

“เหอะๆ”หลิงเล่หัวเราะออกมาอีก แล้วยกมือขึ้นพร้อมแตะไปที่ปลายจมูกของเธอ จากนั้นเขาหยิบผลการตรวจสอบชุดนั้นขึ้นมา แล้วมองไปที่เธอ”ในนี้มันเขียนว่า ความคล้ายคลึงทางพันธุกรรมของฉันกับหลิงหยวนคือ 5% นี่มันหมายความว่าอย่างไร?’

เมื่อคืนได้ยินสาวน้อยพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับความคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรม แถมพูดอย่างละเอียดรอบคอบมาก ดังนั้นหลิงเล่เลยจำไว้ว่า สาวน้อยคนนี้จบจากคณะแพทยศาสตร์

มู่เทียนซิงมองไปที่ผลการรายงานของการตรวจสอบดีเอ็นเอ แล้วพูดว่า”น่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูกพี่ลูกน้อง! ”

“หรอ?”หลิงเล่หงายคิ้วขึ้นมา”แน่ใจขนาดนี้หรือ?”

“มันก็ประมาณนี้แหละ!สิ่งที่แน่ใจคือต้องเป็นญาติกันอยู่แล้ว และน่าจะเป็นญาติรุ่นที่สามหรือสี่นั่นแหละ เพราะถ้าเป็นญาติกันรุ่นที่หนึ่ง ความคลายคล้ายจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ17.5 นี่มันมีแค่ร้อยละห้าเอง ก็ต้องเป็นลูกหลานของรุ่นที่หนึ่งแน่นอน!ถ้าหากว่าเป็นคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ โดยทั่วไปแล้วความคล้ายคลึงกันจะไม่มากกว่าร้อยละหนึ่ง”

สีหน้าของมู่เทียนซินเปล่งประกายอันบริสุทธิ์ออกมา และจ้องมองเขาอย่างจริงจัง

หลิงเล่นครุ่นคิดซํ้าแล้วซ้ำอีก ดวงตาลึกขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ดึงสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมอกนั้นขึ้นมา ส่วนตนเองก็ผลักรถเข็นกลับไปที่หน้าโต๊ะทำงาน

เขาไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่หยิบกระดาษเปล่ามาแผ่นหนึ่งกับปากกา แล้ววาดอะไรสักอย่างขึ้นมา

มู่เทียนซิงมีความอยากรู้อยากเห็น ก็เลยวิ่งไปดูอย่างใกล้”เอ๊ะ คุณกำลังวาดลำดับวงศ์ตระกูลอยู่หรอ?”

หลิงเล่พยักหน้าพร้อมเรียกจั๋วซีอีกที”ซี!”

จั๋วซีรีบเดินหน้า และจ้องมองไปที่ชื่อในกระดาษที่หลิงเล่เขียนไว้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย”นี่คือ……วงศ์ตระกูลของตระกูลหลิง!”

หลิงเล่พยักหน้า”ฟังจากการวิเคราะห์ของเทียนซิง แม้ว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆของหลิงหยวน แต่บรรพบุรุษของฉันกับหลิงหยวนต้องเป็นญาติกันอยู่แล้ว ดังนั้นหาตามลำดับวงศ์ตระกูลประมาณสามสี่ชั่ว คนที่เป็นญาติกันกับหลิงหยวนก็ล้วนค้นหาออกมาได้แล้ว ถ้าทำด้วยวิธีนี้ แม้ว่ายังไม่สามารถหาพ่อแม่ที่แท้จริงของฉันออกมาได้ แต่ก็สามารถกำหนดขอบเขตประมาณได้”

ห้องทำงานเงียบลงทันที เพราะสีหน้าของหลิงเล่ตั้งใจมากๆ

มู่เทียนซินไม่เคยเห็นลักษณะเวลาที่ทำงานของหลิงเล่ แต่เธอเคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ชายมีเสน่ห์มากที่สุดในเวลาทำงาน ส่วนนับเวลานี้ เขากำลังจับปากกาแซฟไฟร์ของมงต์บลอง และเขียนชื่อที่เธอรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างลงไปในกระดาษแผ่นเปล่า สายตาที่ตั้งใจขนาดนี้ ทำให้หัวใจของมู่เทียนซินละลายลงเพราะเขา!

ชื่อของพี่ชายสามคนจะอยู่ข้างล่างสุดเพราะเป็นรุ่นหลังสุด ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับเขา

หลิงหวิน หลิงหยวน นี่เป็นรุ่นที่สาม

หลิงสวี้ นี่เป็นรุ่นที่สอง

หลิงสุนเห้อ เขาเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหลิง ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้จัดตั้งบริษัทหลิงหวินกรุ๊ปด้วย ซึ่งเขาเป็นรุ่นที่หนึ่ง

ทันใดนั้น ปากกาของเขาก็ไม่เคลื่อนไหวแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่จั๋วซีด้วยสายตาที่แผดเผา เขาพูดว่า”คุณรู้หรือไม่ว่า คนในนี้มีใครบ้างที่เป็นเครือญาติที่ใกล้ชิดกับตระกูลหนีหรือพระราชวงศ์?”

สมองของหลิงเล่ราวกับนาฬิกากลไกของสวิสเซอร์แลนด์ ระดับของการทำงานที่แม่นยำนั้นสะดุดตาทุกคนจริงๆ!

จั๋วซีมองไปที่ตารางนี้อย่างระมัดระวัง แล้วส่ายหัว”ผม ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ครับ”

“คุณไม่รู้เรื่องจริงหรือ?”คำพูดนี้ หนิงเล่ถามออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ตั้งแต่เขาแน่ใจว่าตนเองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับหลิงหยวนแล้ว เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าตนเองนั้นต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับตระกูลหนีหรือพระราชวงศ์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ไม่นั้นคนพิการอย่างเขา ทำไมถึงได้รับความโปรดปรานและความรักใคร่จากคนตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ล่ะ?

ในโลกนี้ไม่มีอาหารมื้อใดที่ได้มาฟรีๆ!

หลิงเล่รู้ว่าคนของตระกูลจั๋วล้วนได้รับคำสั่งจากคุณหญิงเยว่หยาถึงได้มาดูแลอยู่ข้างเขา คุณปู่และคุณพ่อของพวกเขานั้นล้วนเป็นขุนนางในพระราชวัง การให้พวกเขามาช่วยคนพิการเช่นเขานั้น ถือได้ว่าเป็นการ’ขี่ช้างจับตั๊กแตน’จริงๆ!

“ซี!”

หลิงเล่เรียกเขาด้วยนํ้าเสียงอันเศร้าโศก จากนั้นพูดว่า”ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของคุณอย่าเพิ่งไปพูดถึง พวกคุณเป็นพี่น้องที่เติบโตกับฉันมาด้วยกัน!นอกจากพวกคุณแล้ว ยังมีใครอีกที่ฉันไว้ใจได้หรือ?”