ตอนที่ 114 คนไร้ประโยชน์

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 114 คนไร้ประโยชน์

หลี่ปิ้งถิงนำดินยาดับร้อนในมาชามหนึ่ง พร้อมทั้งปรนนิบัติองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่เสวยด้วยตนเอง

แต่เซียวเฉิงเย่กลับผลักนางออกไป พลันตะหวาด

“ร้อนในของข้าดื่มยาแล้วจะมีประโยชน์หรือ”

หลี่ปิ้งถิงผงะไปเล็กน้อย พลันวางชายมลง เอ่ยขึ้น “แต่หากพระองค์ไม่เสวยยา อาการร้อนในของพระองค์จะยิ่งรุนแรงขึ้น เสวยยาอย่างน้อยก็ทำให้อาการบรรเทาลงได้”

เซียวเฉิงเย่ทำหน้ารังเกียจปนรำคาญ “เจ้าออกไป! อย่างไรแล้วเจ้าก็ช่วยเหลือข้าไม่ได้”

หลี่ปิ้งถิงยืนนิ่ง แม้ว่าจะน้อยใจ แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกมาแม้แต่น้อย

นับตั้งแต่ที่นางรู้เรื่อง นางก็ใฝ่ฝันที่จะได้อภิเษกกับเซียวเฉิงเย่

วันนี้ความปรารถนาของนางเป็นจริง แต่ชีวิตสมรสกลับไม่ได้สวยงามอย่างที่นางจินตนาการไว้

หรืออาจเรียกได้ว่าแย่มาก แย่อย่างถึงที่สุด

เยียนอวิ๋นฉีอภิเษกกับองค์ชายสองจนถึงเวลานี้ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่ก็เป็นเพราะร่างกายขององค์ชายสองอ่อนแอ สมเหตุสมผล

แต่นางที่อภิเษกก่อนเยียนอวิ๋นฉีก็ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ สาเหตุก็เป็นเพราะเซียวเฉิงเย่เข้าห้องของนางน้อยครั้งมาก ทำให้นางไม่มีโอกาสตั้งครรภ์

เรื่องแบบนี้ไม่อาจพูดออกมาได้ แม้แต่กับมารดาผู้ให้กำเนิดก็ตาม

พูดแล้วจะทำอย่างไรได้

คนในตระกูลไม่อาจบังคับเซียวเฉิงเย่ร่วมหอกับนางได้

นาบงถอนหายใจ “องค์ชายสามเสด็จไปฝึกฝนที่กองทัพเหนือ พระองค์ก็สามารถขอพระราชโองการไปฝึกฝนได้เช่นเดียวกัน พระองค์เอาแต่ถอนหายใจอยู่ในจวน เรื่องก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

“เจ้าหุบปาก!”

เซียวเฉิงเย่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังจคลุ้มคลั่ง

เขาบ่น “ระยะนี้ เมื่อข้าเข้าเฝ้าในวังหลวง ท่าทีของเสด็จพ่อที่มีต่อข้านั้นเฉยชา อีกทั้งทรงไร้ความสนใจที่จะฟังข้าพูด เสด็จพ่อทรงมีท่าทีต่อข้าเช่นนี้ เจ้าว่าข้าเลียนแบบเจ้าสาม ขอพระราชโองการไปฝึกฝนในกองทัพเหนือ เสด็จพ่อจะทรงอนุญาตหรือไม่ ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจทรงต่อว่าข้า หรือทรงลงโทษข้า พระองค์อาจทรงหาว่าข้าแย่งชิงเจ้าสาม แต่ไร้ความสามารถเหมือนเจ้าสาม”

พูดจบ เขากุมหัวด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ช่างเหมือนกับสัตว์ที่ถูกขัง หาทางออกไม่เจอ

หลี่ปิ้งถิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่หากพระองค์ไม่ทรงลองขอพระราชโองการ พระองค์จะทรงรู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทจะลงโทษ พระองค์ควรจะเข้มแข็งขึ้นมา อย่างน้อยพระองค์ต้องทรงทำให้ฝ่าบาทเห็นถึงความพยายาม พระองค์เอาแต่บ่นอยู่ในจวนไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดได้”

ใบหน้าของเซียวเฉิงเย่แดงก่ำ เขาตะหวาด “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ แต่เจ้าต้องรู้ เรื่องบางเรื่องบนโลกนี้ยิ่งทำยิ่งผิด หาไม่ทำย่อมไม่ผิด ข้าไม่ไปขอพระราชโองการ เสด็จพ่อย่อมไม่ทรงเกิดความไม่พอใจต่อข้า อย่างมากก็แค่สูญเสียโอกาสที่จะไปฝึกฝนในกองทัพเหนือ แต่หากข้าไปขอพระราชโองการ สิ่งที่ต้องสูญเสียคงไม่ใช่แค่โอกาสในการฝึกฝน แต่ยังมีความคาดหวังสุดท้ายที่เสด็จพ่อทรงมีต่อข้า ข้าไม่อาจเสี่ยงได้”

“แต่…” หลี่ปิ้งถิงไม่เห็นด้วยกับความคิดของเซียวเฉิงเย่ “หากพระองค์ไม่ทรงทำสิ่งใด ฝ่าบาทจะทรงมีความหวังต่อพระองค์ได้อย่างไร ถึงแม้ทำน้อยผิดน้อย แต่ก็ไม่อาจไม่ทำสิ่งใดเลย! อย่างน้อยพระองค์ควรแสดงท่าทียินยอมแบ่งเบาความกังวลให้ฝ่าบาท”

เซียวเฉิงเย่เงียบ

หลี่ปิ้งถิงเกลี้ยกล่อมเขาต่อ “เรื่องใดล้วนต้องพยายามไขว่คว้า! ที่ผ่านมา พระองค์อาจใช้ผิดวิธี ทำให้ผลกลับตาลปัตร ครั้งนี้พระองค์ทรงเข้มแข็งขึ้นมา ไตร่ตรองให้รอบคอบว่าเมื่อเข้าเฝ้าจะทรงรับมืออย่างไร บางทีอาจมีผลที่ดีเกินคาดก็เป็นได้”

เซียวเฉิงเย่โบกมือส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว! เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

หลี่ปิ้งถิงถอนหายใจด้วยสีหน้าผิดหวัง

นางพูด “ข้าวางยาไว้ตรงนี้ พระองค์เสวยเสียเถิด ไม่มีผลเสีย”

พูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไป

เซียวเฉิงเย่ทำในสิ่งที่สัตว์ที่ถูกกักขังควรทำ

คำราม ฉีกกัด บ่น แต่ไม่ยอมเคลื่อนไหว

เขาก็เป็นแค่คนขี้ขลาด!

คนที่ขลาดอย่างสมบูรณ์แบบ!

หลี่ปิ้งถิงมองดูด้วยความผิดหวังปนดูถูก

คนที่เคยเปรียบเสมือนเทพในใจของนางนั้นได้ตายไปแล้ว!

ตายจากไปอย่างสิ้นเชิง

อันที่จริง นับแต่นาทีที่เซียวเฉิงเย่ลงมือบีบคอให้นางตายนั้น บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของนางก็ได้ตายไปแล้ว

เพียงแต่นางไม่มีความกล้าที่จะถอนหมั้น จึงต้องอภิเษกกับเขาเหมือนที่วางแผนเอาไว้

เขาไม่บีบคอของนางอีก ไม่คิดจะฆ่านางอีก

แต่เขาก็ไม่ใช่บุรุษผู้มีความรับผิดชอบคนนั้นอีกต่อไป

นอกจากถอนหายใจ หลี่ปิ้งถิงไม่อาจทำสิ่งใดได้

นางไม่อาจขอความช่วยเหลือจากตระกูล ทำได้เพียงมององค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ไปฝึกฝนในกองทัพเหนือ ได้รับการชื่นชมและความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก

ทำได้เพียงมองเซียวเฉิงเย่คำรามด้วยความโกรธ แต่ไม่ยอมทำสิ่งใด

นางมักจะครุ่นคิด “หากข้าเป็นชาย ข้าย่อมไม่ยอมเป็นสัตว์ที่ถูกขัง แผ่นดินกว้างใหญ่ เมื่ออยู่บนแผ่นดินย่อมต้องสร้างฟ้าดินของตนเอง”

บุรุษผู้หนึ่งยังไม่อาจมีความทะเยอทะยานเทียบสตรีได้ จะให้นางพูดอย่างไร พูดสิ่งใด

จวนองค์ชายสอง

ขุนนางฝ่ายใน เฟ่ยกงกงเดินทางมาถึงห้องตำรา โน้มตัวรอคอย

ตัวอักษรขององค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินแสดงออกถึงบารมีอันน่าเกรงขาม

เมื่อเขียนเต็มกระดาษหนึ่งแผ่น เขาก็ขยำผลงานการเขียนที่เปรียบเหมือนงานศิลปะเป็นก้อน จากนั้นโยนลงตะกร้ากระดาษ

เฟ่ยกงกงคุกเข่าลง เก็บกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนโยนลงในเตาอั้งโล่ มองดูกระดาษใบนั้นถูกเผาจนหมด

เมื่อองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินหมดสนุก เขาก็เดินขึ้นหน้าปรนนิบัติอีกฝ่ายล้างมือ

เวลานี้เขาถึงได้พูดขึ้น

“ทูลองค์ชาย สายที่แทรกอยู่ในจวนองค์ชายใหญ่รายงาน ระยะนี้องค์ชายใหญ่ทรงเอาแต่บ่นอยู่ในจวน เสวยสุราบรรเทาความวิตก”

เซียวเฉิงเหวินส่งเสียงในลำคอ “นอกจากบ่นแล้ว ไม่ทำเรื่องอื่นเลยหรือ”

เฟ่ยกงกงส่ายหน้า “นอกจากบ่นแล้ว ไม่ทรงทำอย่างอื่น แม้แต่ประตูใหญ่ยังไมเคยก้าวออกไปพ่ะย่ะค่ะ”

“งานในสำนักหยาเหมินเขาก็ไม่สนใจหรือ” เซียวเฉิงเหวินประหลาดใจเล็กน้อย

เฟ่ยกงกงโน้มตัวทูล “ตามที่กระหม่อมรู้มา องค์ชายใหญ่ขอลาพักตั้งแต่เดือนสิบสองปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่เสด็จไปทรงงานที่สำนักหยาเหมินอีกพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวเฉิงเหวินก็หัวเราะขึ้นมา “เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์แล้ว! ข้าไม่คิดว่าเขาจะทนแรงกระทบแค่นี้ไม่ได้ เพียงแค่ใช้กลอุบายให้เขาประสบอุปสรรคเล็กน้อย เขาก็ไม่อาจเข้มแข็งขึ้นมาได้อีก ทำได้เพียงเอาแต่บ่น วิธีกำจัดเซียวเฉิงเย่ของเสด็จแม่ช่างถูกต้องเสียงจริง ทำให้เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”

เฟ่ยกงกงทูลถาม “พระองค์ยังทรงต้องการให้จับตาดูจวนองค์ชายใหญ่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเฉิงเหวินพยักหน้า “จับตาดูต่อเถิด! อย่างไรก็ไม่สิ้นเปลืองแรงนัก อีกอย่าง มีท่านอ๋องจำนวนไม่น้อยชื่นชมเขา หากมีวันหนึ่งบรรดาท่านอ๋องบุกเข้าเมืองหลวง ไม่แน่ว่าเขาอาจมีโอกาสพลิกตัวกลายเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน”

เฟ่ยกงกงได้ยินก็ตกใจไม่น้อย “พระองค์ทรงล้อเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ บรรดาท่านอ๋องก็เป็นเพียงพวกหัวมังกุท้ายมังกร พวกเขาจะบุกเข้าเมืองหลวง ยกยอให้องค์ชายใหญ่กลายเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินได้อย่างไร”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะร่า “ข้าบอกแล้วว่าหาก! เป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ดูเจ้าทำท่าตกใจเข้า พี่ใหญ่เป็นคนดื้อรั้น แต่กลับไร้ความรับผิดชอบ คนแบบนี้เหมาะสมกับการเป็นหุ่นเชิดอย่างมาก เนื่องจากเป็นคนดื้อรั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทำผิดได้ หากประหารก็ไม่มีคนสงสัย หากให้องค์ชายที่มีชื่อเสียงดีมาเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินคงจะประหารได้ยาก ชื่อเสียงดี ประหารไม่ได้ ยุ่งยากนัก!”

เฟ่ยกงกงเหงื่อออกเต็มหน้าผาก “วันนี้พระองค์ทรงอารมณ์ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”

มีอารมณ์หยอกล้อด้วย

เซียวเฉิงเหวินยิ้มพลันพยักหน้า “พี่ใหญ่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ข้าย่อมอารมณ์ดี”

เฟ่ยกงกงพูดอย่างกังวล “แต่องค์ชายสามเสด็จไปฝึกฝนในกองทัพเหนือ ก่อนหน้านี้เนื่องจากการตายของท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาจึงสูญเสียใจคนไปจำนวนมาก แต่เวลานี้ราวกับมีแนวโน้มจะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง”

เซียวเฉิงเหวินดื่มชา พลันพูด “ทางเจ้าสามไม่ต้องกังวล! สิ่งที่เป็นของเขาย่อมต้องเป็นของข้า สิ่งที่เป็นของข้ายังคงเป็นของข้า”

คำพูดนี้ฟังดูประหลาด

แต่เฟ่ยกงกงไม่กล้าถาม

องค์ชายของตนเองมีความคิดลึกล้ำแต่เด็ก ไม่มีคนรู้ว่าในใจของเขาคิดเรื่องใด

เขารู้เพียงว่าปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ชายก็พอ

เซียวเฉิงเหวินถามขึ้นอย่างกะทันหัน “คนที่แทรกแซงอยู่ในเรือนพักร่ำรวยถอนกลับมาหมดแล้วหรือไม่”

เฟ่ยกงกงรีบตั้งสติ “ตามรับสั่งของพระองค์ คนที่แทรกแซงอยู่ในเรือนพักร่ำรวยส่วนใหญ่ล้วนถอนกำลังออกมาแล้ว เหลือไว้เพียงหมากที่สำคัญหนึ่งหมากกับหมากที่ไม่สำคัญจำนวนน้อย”

เซียวเฉิงเหวินรับสั่งทันที “ให้พวกเขาอยู่นิ่งๆ อย่าเสนอตัว หากให้เยียนอวิ๋นเกอพบตัวตนของพวกเขา เกรงว่าข้าจะต้องเลือดออก หรือไม่ก็ชีวิตของพวกเขาจะไม่ปลอดภัย”

“เหตุใดพระองค์ต้องเกรงกลัวเยียนอวิ๋นเกอ นางเป็นแค่หญิงสาวตัวน้อย จะทำสิ่งใดได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฟ่ยกงกงไม่พอใจเยียนอวิ๋นเกอมานานแล้ว ความแค้นที่มีมากราวกับน้ำทะเล

เพียงแค่เรื่องที่เยียนอวิ๋นเกอลากองค์ชายของตนเองเข้าไปพัวพัน บัญชีนี้เขาก็จดจำไว้เสมอมา

นางยังบังอาจรีดไถองค์ชาย จะมากเกินไปแล้ว

จากความคิดเห็นของเฟ่ยกงกง องค์ชายควรส่งคนไปจัดการเยียนอวิ๋นเกอให้สิ้นซาก

เยียนอวิ๋นเกอจะมีกำลังมากเพียงใดก็ไม่อาจสู้จำนวนคนที่มากได้

แต่องค์ชายไม่ยอม

เสบียงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ

เซียวเฉิงเหวินพูด “ข้าไม่ได้กลัวเยียนอวิ๋นเกอ หากแต่เป็นท่านหญิงจู้หยางที่อยู่เบื้องหลังนาง หากข่าวลือไม่ผิด ในมือของท่านหญิงจู้หยางมีพระราชโองการที่ฮ่องเต้จงจ้งทิ้งเอาไว้ เนื้อหาภายในไม่แน่ชัด

ข้าเป็นคนที่อยากรู้อย่างมาก ข้าอยากรู้เนื้อหาในพระราชโองการฉบับนั้น พระราชโองการฉบับนั้นเป็นอย่างไร เหตุใดจึงทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าประหารท่านหญิงจู้หยาง ทำได้เพียงพระราชทานสมรสให้นาง ส่งนางจากไปไกล”

เฟ่ยกงกงครุ่นคิด “พระองค์ทรงหมายความว่า ฮ่องเต้จงจ้งทรงทิ้งพระราชโองการฉบับนั้นเอาไว้ แต่ฮ่องเต้จงจ้งสวรรคตไปยี่สิบกว่าปีแล้ว พระราชโองการของเขาคงไม่มีประโยชน์แล้ว”

เซียวเฉิงเหวินไม่เห็นด้วย เพียงแค่กล่าว “ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น! แต่เจ้าต้องรู้ว่าขุนนางของราชวงศ์จงจ้งยังไม่ตายหมดสิ้น มีคนจำนวนมากที่ยังครอบครองตำแหน่งสำคัญ พระราชโองการที่ทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนเกรงกลัว มีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับขุนนางบางคนในราชสำนัก หรืออาจเกี่ยวข้องกับแม่ทัพที่ถือครองกองทัพเอาไว้ เจ้าว่าข้าจะไม่ให้ความสำคัญได้หรือ”

เฟ่ยกงกงเสนอความคิด “หากพระองค์ทรงต้องการรู้เนื้อหาในพระราชโองการ เหตุใดจึงไม่ลองถามฮูหยิน ฮูหยินกับพระองค์เปรียบเสมือนร่างเดียวกัน กระหม่อมคิดว่าฮูหยินต้องยินดีช่วยเหลือ”

เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้าระรัว “ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ เยียนอวิ๋นเกอเก็บไว้ยังมีประโยชน์ เจ้าอย่ามัวแต่คิดจะเอาชีวิตของนาง อย่าคิดว่าจะทำให้นางตายอย่างไร ทำให้นางตาย ข้าย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์ ทางกลับกันไว้ชีวิตนาง ข้าอาจได้รับสิ่งที่เหนือความคาดหมาย”