บทที่ 102 ผึ้งต่อยหัวขโมย
บทที่ 102 ผึ้งต่อยหัวขโมย
เมื่อคนบนอาคารเห็นแม่นางน้อยที่อยู่ด้านข้างหนานกงหลีก็รู้ตัวว่าเผลอพลั้งปากไปเสียแล้ว หลายคนส่งสายตาอย่างเป็นนัยไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ทว่าก็ยังมีคนที่ไม่เต็มใจจะยอมแพ้ ยังต้องการให้หนานกงหลีไปกับพวกเขา
เนื่องจากหนานกงหลีใช้จ่ายอย่างไม่ตระหนี่ ซ้ำยังดูดี แม้ว่าภายในใจของของพวกเขาจะแอบริษยา แต่หนานกงหลีนั้นสามารถดึงดูดหญิงงามได้ พวกเขาย่อมได้รับอานิสงค์จากการอยู่ข้างกายบ้างไม่มากก็น้อย
ชายผู้หนึ่งส่งรอยยิ้มมีเลศนัยให้เขา “พี่หลีจะไม่ไปจริงหรือ คืนนี้มีเซียนผีผา สาวงามผู้นั้นมีทั้งรูปร่างหน้าตางดงาม หากพี่หลีไป…”
“หุบปากไปเสีย ปากเจ้าช่างยื่นยาวกล้าพูดจา ไม่เห็นหรือว่ามีเด็กอยู่ด้วย ครอบครัวเลี้ยงดูเจ้ามาด้วยอาหารสุนัขหรืออย่างไร?”
หนานกงหลีที่กำลังอุ้มเสี่ยวเป่าอารมณ์แปรเปลี่ยนโดยทันใด เขารำคาญผู้ไม่รู้จักแยกแยะ ซ้ำยังถือตนอวดดีเป็นที่สุด
“เจ้า!”
เห็นได้ชัดเจนว่าชายบนอาคารผู้นั้นไม่คิดว่า คนที่มักพูดคุยง่ายจะโกรธขึ้นมาฉับพลัน สีหน้าของชายผู้นั้นแดงก่ำ จ้องมาทางเขาด้วยความขุ่นเคือง
คนที่อยู่ด้านข้างรีบดึงชายผู้นั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว “พี่โหว พี่หลีพาเด็กมาด้วย ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร”
พวกเขาต่างรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่มีตามองหรืออย่างไร เห็นได้ชัดว่าคนเขาพาเด็กมาด้วย ไม่เหมาะจะไปสถานที่แบบนั้นกับพวกเขา สมองมีปัญหาหรือถึงได้เอ่ยรบเร้าต่อ
“ฮึ่ม! คิดจริง ๆ หรือว่าแค่มีเงินแล้วจะวิเศษวิโสกว่าผู้อื่น!”
พูดจบ เจ้าตัวก็ชักสีหน้าสะบัดแขนเสื้อจากไป
หนานกงหลีกลอกตาอย่างไม่คิดสุภาพ ตัดสินใจว่าต่อไปจะออกห่างจากบุคลลผู้นี้เสีย
เขาไม่อยากเจอคนโง่เขลาเช่นสุกรแบบนี้อีกแล้ว
เดิมที ตนคบค้าไปมาหาสู่กับสหายกินดื่มเหล่านี้ก็เพียงเพื่อร่ำสุราหาความสำราญ ดังนั้นถึงได้ปกปิดทั้งตัวตนและชื่อแซ่จริง ๆ ของตัวเอง
เขาเพียงแค่ต้องการผ่อนคลายใจหาความสำราญ หากออกไปดื่มสังสรรค์กับเหล่าขุนนางก็ต้องคอยคิดพินิจวาจากับการกระทำ ส่งผลให้เหนื่อยใจและหวาดระแวงไปหมด
ส่วนเหล่าเพื่อนกินดื่มนั้น ถ้าไม่พอใจก็แค่เปลี่ยนเป็นคนอื่น คนทั้งหมดล้วนเพียงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หลังจากล่วงไปหลายวันบางทีเขาอาจจำชื่อคนพวกนั้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลืองสมองนึกถึง
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้คบค้ากับผู้อื่นไปทั่ว หากไปคบหาคนชั่วร้ายที่กระทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย เกรงว่าเขาคงได้ถูกเสด็จพี่สั่งลงโทษอย่างหนัก
หนานกงหลีไม่ได้ให้ความสนใจอันใดกับเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้น เขาวางเสี่ยวเป่าลงบนพื้นก่อนจะพานางเดินเล่นต่อ
ตอนนั้นเอง ระหว่างที่เสี่ยวเป่ากำลังเดินกินถังหูลู่อยู่ก็ถูกคนชนเข้าเต็ม ๆ เดิมทีนางไม่ได้คิดใส่ใจ แต่ทว่า…
“อ๊ากกก!!!”
คนที่ชนนางกลับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่เพียงแค่เสี่ยวเป่าที่กำลังกินถังหูลู่อยู่รู้สึกฉงน คนรอบด้านเองก็งุนงงไม่ต่างจากนาง
ชายร่างผอมผู้นั้นกำมือตนเองพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ถุงเงินใบเล็กที่เคยห้อยอยู่ที่เอวของเสี่ยวเป่าตกจากมือของเขาร่วงลงบนพื้น ตามมาด้วยผึ้งตัวเท่าหัวแม่มือกระพือบินกลับไปอยู่ที่หัวเสี่ยวเป่า
หนานกงหลีมองถุงเงินบนพื้น ก่อนมองคนที่มีท่าทางเหมือนขโมยก็เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ในทันที
เขาเอ่ยออกมาด้วยหน้าขรึมเคร่ง “คนผู้นั้นเป็นขโมย จับเขาเสีย”
เมื่อโจรเห็นองครักษ์หลายคนเดินเข้ามาหาตนก็เมินเฉยต่อความเจ็บปวดที่มือทันที เขารีบกระเสือกกระสนวิ่งหนีไป
ทันทีที่เขาเพิ่งจะเริ่มวิ่ง นางพญาผึ้งบนหัวของเสี่ยวเป่าก็กระพือปีกบินตามไป แม้ว่ามันจะตัวเล็กกว่า แต่ความเร็วกลับไม่ได้ช้าเลยสักนิด ซ้ำยังเร็วยิ่งกว่าเหล่าองครักษ์ที่วิ่งไล่ตามเสียอีก
หลังจากหัวขโมยวิ่งออกไปได้ไม่ไกลมากก็กุมศีรษะของตนเอง แล้วกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
คราวนี้ความเจ็บปวดทวีคูณมาก ทำให้เขาไม่อาจวิ่งหนีได้อีก มือของเขาบวมจนเหมือนขาหมู กลางหน้าผากเองก็เจ็บจนต้องล้มลงกรีดร้องบนพื้น
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลอันใดกับเหล่าองครักษ์ หัวขโมยยังคงถูกจับไปอยู่ดี
ส่วนนางพญาผึ้ง หลังจากที่ต่อยเสร็จแล้วก็บินกลับมาหาเสี่ยวเป่า ระหว่างทางฝูงชนต่างหลีกออกให้มันผ่านไป
เส้นทางตรงมาถึงเสี่ยวเป่าถูกแหวกออก หลังจากนั้นนางพญาผึ้งก็ร่อนลงบนหัวของเสี่ยวเป่าท่ามกลางสายตาของทุกคน
เสี่ยวเป่าที่ในปากยังมีถังหูลู่จนแก้มป่อง “…”
กระทั่งจับขโมยได้แล้วเสี่ยวเป่าก็ยังคงงงงวยไม่หาย
แก้มกลม ๆ ของนางขยับท่ามกลางสายตามากมายที่จับจ้องมา
หนานกงหลีก้าวออกมา นัยน์ตาดอกท้อมองไปทางนางพญาผึ้งบนหัวของหลานสาวด้วยแววตาแปลกใจ
ผึ้งตัวใหญ่เพียงนี้ เกรงว่าจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมากแน่!
แค่ฟังเสียงกรีดร้องก็รู้ได้แล้ว
“นายท่าน เราพบถุงเงินจำนวนไม่น้อยบนตัวเขาขอรับ”
องครักษ์หยิบถุงเงินเหล่านั้นออกมาทันที ตามมาด้วยเสียงอุทานของคนรอบข้าง
“ถุงเงินอันนั้นเป็นของข้า!”
“ถุงเงินของข้า!”
ตอนนั้นเอง บางคนในกลุ่มฝูงชนก็ตระหนักได้ว่าถุงเงินของพวกเขาถูกขโมย ก่อนจะตวัดสายตาแค้นเคืองไปทางหัวขโมยคนนั้น
เมื่อครู่พวกเขายังรู้สึกว่าถูกผึ้งต่อยเช่นนี้น่าเวทนายิ่ง แต่ตอนนี้…
โดยต่อยเสียก็ดี!
หนานกงหลีกล่าวออกมาเสียงดัง “เพื่อหลีกเลี่ยงการแอบอ้าง ถุงเงินทั้งหมดจะถูกส่งไปที่ว่าการพร้อมกับตัวหัวขโมย ผู้ถูกขโมยถุงเงินสามารถไปร้องเรียนได้ด้วยตนเอง ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา ขอบคุณคุณชายเป็นอย่างมาก”
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว หากมีคนแอบอ้างขึ้นมาจริง ๆ ย่อมเกิดความขัดแย้งวุ่นวายขึ้นมาได้
หนานกงหลีสั่งให้องครักษ์สองคนพาตัวคนออกไปพร้อมถุงเงินเหล่านั้น ก่อนจะยกมือขึ้นต้องการจะลูบหัวหลานสาวตัวน้อย แต่ทันใดนั้นเอง สายตาของเขาก็จับจ้องไปทางนางพญาผึ้งที่เกาะอยู่อย่างสงบนิ่งราวกับทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับ
เขาไม่อาจวางมือลงบนหัวนาง ได้แต่เลื่อนตำแหน่งลงไปตบลงบ่าของเด็กน้อย
“ทำได้ดีมาก!”
เสี่ยวเป่า “???”
ข้าไม่ได้ทำอันใดเลยนะเพคะ
“เฟิงเฟิงน้อยต่างหากที่ยอดเยี่ยม!”
ขณะที่เอ่ยนางก็แบมือออก นางพญาผึ้งก็บินลงมาอยู่ด้านบนมือของนาง
หากเป็นก่อนหน้านี้ หนานกงหลีกับหนานกงฉีซิวคงรู้สึกกังวลใจ ทว่าเมื่อได้เห็นผึ้งตัวนี้ต่อยเพียงหัวขโมย พวกเขาก็แน่ใจแล้วว่าผึ้งตัวนี้ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญา
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว หลายสายตาพลันหันไปจับจ้องผึ้งตัวนั้น
โดยเฉพาะหนานกงเหิงและหนานกงเหยี่ยนที่พากันล้อมรอบเสี่ยวเป่า ก่อนจะถามว่าผึ้งตัวนี้มาจากที่ใด และเสี่ยวเป่าสามารถควบคุมมันได้อย่างไร
เสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้น เล่าเรื่องการลอบสังหารให้พวกเขาฟัง บอกเรื่องราวการปะทะกันระหว่างฝูงผึ้งและมือสังหาร เด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้ฟังต่างก็ตกตะลึง ดวงตาเป็นประกายมากขึ้นยามมองไปที่ผึ้งตัวนั้น
“สมกับเป็นวัดต้ากั๋ว แม้กระทั่งผึ้งก็ไม่ธรรมดา!”
“สมกับเป็นญาติผู้น้องตัวน้อย เจ้าสามารถคิดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าคิด ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ!”
“ญาติผู้น้องตัวน้อยของพวกเรายอดเยี่ยมจริง ๆ กระทั่งพญาผึ้งยังเต็มใจช่วยปกป้อง”
“ญาติผู้น้องของพวกเราเป็นเซียนน้อยลงมาจุติจริง ๆ”
เสี่ยวเป่าหน้าแดงแจ๋เมื่อถูกชมเข้ามาก ๆ ทว่านางก็ยังคงเอ่ยแก้จุดผิด
“ไม่ใช่เซียนน้อย แต่เป็นภูตน้อยต่างหาก”
“เหมือนกันนั่นแหละ อย่างไรเสียลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก”
สองพี่น้องคู่นี้ช่างชมเชยและคุยโม้ได้ไม่หยุดปากจริง ๆ