หอกแห่งชัยชนะของเอลีน่า ได้ทำให้ความกล้าหาญของก็อบลินหายไปไม่มีเหลือ เมื่อจำนวนของพวกมันเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากตอนแรก พวกมันก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนที่เคยเป็นมาอีกต่อไป พวกมันเริ่มวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

มาร์นี่•วิลฟ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก คาราวานสินค้าของเขารอดแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสงสัยว่าเด็กทั้ง 5 สังกัดอยู่ศาสนจักรใด

พวกเขาแต่งตัวเหมือนเด็ก ๆ จากหมู่บ้านชนบทห่างไกล แต่นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่จะได้รับพรจากเทพเจ้านั้น พวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนในพื้นที่ที่บริสุทธิ์ (เช่นโบสถ์ ศาลเจ้า หรือวิหารต่าง ๆ) ซึ่งเป็นศูนย์รวมความศรัทธาที่เข้มข้นของเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพ เพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งเทพไม่ว่าศาสตร์นั้นจะเป็นศาสตร์ระดับต่ำหรือสูงก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้นคำว่า ‘เลเวลอัพ‘ ที่พวกเขากล่าวถึงก็ยังเป็นปริศนา แม้แต่ในศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวก็มีบาทหลวงเพียงไม่กี่คนที่สามารถรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังงานทั้งหมดได้ในทันที

และเขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรออกมาเลย พวกเขายังใช้คำว่า ‘เลเวลอัพ‘ เพื่อปกปิดศาสตร์การรักษาระดับสูงของพวกเขา แม้จะเป็นสายตาของพ่อค้าอย่างเขาที่ได้รับการฝึกฝนผ่านการเดินทางรอบอาณาจักร และได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสายตามาแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ร่ายเวทหมู่บทนั้นกันแน่

“ท่านวิลฟ์” ขณะที่มาร์นี่รู้สึกหนักใจเรื่องเอลีน่าและเด็ก ๆ ลึกลับคนอื่น ๆ ทหารรับจ้างที่เขาจ้างมาก็เดินเข้ามาหาเขา “มีบางอย่างผิดปกติ”

“มีอะไรรึ?” มาร์นี่ตื่นตัวทันทีที่ได้ยิน “เด็กพวกนั้นทำอะไรรึเปล่า”

เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะเป็นสาวกของเทพเจ้าชั่วร้าย และกำลังวางแผนฆ่าคน!

“ไม่ พวกเขายังรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจเช่น ‘รางวัลเควสเยอะมาก‘ หรือ ‘แผนผังทักษะ‘” ผู้คุ้มกันตอบพร้อมกับส่ายหัว “สิ่งที่ข้าอยากจะบอกท่านคือ ตอนที่คนของเราเริ่มทำการเก็บกวาดพื้นที่ ซากศพของก็อบลินที่พวกเขาฆ่าทั้งหมดได้หายไป”

“อะไรนะ?”

มาร์นี่หันไปมองเอลีน่ากับเด็กคนอื่น ๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบว่าไม่มีซากศพของก็อบลินอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขาเลย แม้ว่าจะมีเศษซากเช่น ฟัน กรงเล็บ หรือเศษผ้าของก็อบลินกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นก็ตาม

มาร์นี่ขมวดคิ้ว ศพก็อบลินไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะนำมันไปด้วย แต่มันก็แปลกเกินไปที่พวกมันจะหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ เมื่อรวมกับพฤติกรรมที่ผิดปกติของเด็ก ๆ เหล่านั้น เขาก็คิดว่าเรื่องนี้เริ่มมีกลิ่นแปลก ๆ ขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตามในขณะที่พ่อค้ามาร์นี่ยังคงสับสน เอลีน่าและคนอื่น ๆ ก็ได้รับภารกิจใหม่

<ติ้ง!>

<เริ่มเควสเสริม: เผยแพร่ศาสนาแห่งเกมให้กับคาราวานพ่อค้า >

<เทพเจ้าแห่งเกมได้จัดเตรียมหมู่บ้านเริ่มต้น ซึ่งเป็นดินแดนยูโทเปียสำหรับเหล่าสาวกในดินแดนมรรตัยไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นของทุกสิ่งถือเป็นส่วนที่ยากที่สุด เนื่องจากหมู่บ้านจะมีปัญหาในการพัฒนา หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนสินค้าจากโลกภายนอก โปรดเอาใจใส่ต่อประสงค์ของพระเจ้า: เผยแพร่หลักคำสอนของพระองค์ไปยังคาราวานพ่อค้าที่เจ้าเคยช่วยเหลือ และทำให้สมาชิกกองคาราวานอย่างน้อยหนึ่งคนเปลี่ยนมาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม>

<รางวัลเควส: พิมพ์เขียวร้านค้า (ไอเทมเควส), EXP (จำนวนขึ้นอยู่กับอัตราการสำเร็จของเควส), ไอเทม กอสเปลริง(Gospel Ring) ระดับอีลิท>

<หมายเหตุ: เมื่อเควสสำเร็จ จะปลดล็อกเควสต่อเนื่อง ‘แสงของเทพเจ้าจะส่องสว่างไปทั่วผืนแผ่นดิน‘>

“ขอโทษนะครับท่าน” มาร์นี่หันไปตามเสียงเรียก และพบว่าเอ็ดเวิร์ดกำลังเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางเหมือนผีพนันที่ได้เห็นแกะอ้วน “ข้าหวังว่าจะได้พูดคุยเกี่ยวกับเทพเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ กับท่าน ได้รึเปล่าครับ”

“???” มาร์นี่ถึงกับพูดไม่ออก

“ในที่สุด!”

ขณะที่ปาร์ตี้ของเอลีน่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการเผยแพร่ศาสนาแห่งเกมด้วยท่าทีราวกับกำลังขายแอมเวย์ แองโกร่าก็มาถึงที่ดินศักดินาของเขา นั่นคือเมืองไร้ชื่อนอกหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า

สถานที่แห่งนี้ดูน่ากลัวและทรุดโทรม หากแองโกร่าไม่เคยได้รับระบบมาก่อน เขาคงจะกลัวมากเมื่อได้เห็น และคงจะหันหลังหนีกลับบ้านไปทันที แม้ว่าเขาจะมีสารถีชราจะอยู่กับเขาด้วยก็ตาม

แต่ตอนนี้เขาแตกต่างไปจากเดิมแล้ว เขามีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างประหลาดกับหมู่บ้านที่ทรุดโทรมแห่งนี้

“นี่คือที่ดินศักดินาของข้าหรือ…”

“คนต่างถิ่น เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

แองโกร่าหันไปตามเสียง และได้พบกับชายชราผอมแห้งยืนถือไม้ค้ำอยู่ห่างจากเขาไปหลายฟุต

ใบหน้าของเขาซูบผอมผิดปกติจนแทบไม่ต่างจากโครงกระดูก แต่ดวงตาของเขาคมกริบราวใบมีด นั่นทำให้แองโกร่าที่ตกอยู่ภายใต้การจ้องมองรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าสายตาของเขาโดนมีดบาด

“ข้ามีชื่อว่าแองโกร่า•เฟาสต์ ขุนนางคนใหม่ของที่นี่!” แองโกร่าประกาศขณะหยิบราชโองการออกจากกระเป๋า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองนี้และดินแดนโดยรอบจะเป็นที่ดินศักดินาของข้า!”

ชายชราจ้องมองแองโกร่าอยู่นานจนแองโกร่ารู้สึกว่าหนังหัวของเขาชาไปหมดแล้ว ในที่สุดชายชราก็ส่ายหัวและพูดว่า “อย่างที่เจ้าเห็น ดินแดนเหล่านี้แห้งแล้งมาก ชาวบ้านทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ยากจน พวกเราไม่เคยได้กินอิ่มท้อง ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเรากำลังแทะรากไม้เพื่อบรรเทาความหิวโหย เจ้าจะไม่ได้รับแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวจากที่นี่”

แองโกร่ารู้ว่าชายชราพยายามเตือนเขา เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าการมาในที่แบบนี้คนเดียวเพื่อรับตำแหน่งขุนนางนั้นอันตรายมาก หากไม่ระวังเขาก็จะ ‘บังเอิญประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง‘ โดยฝีมือของเหล่าชาวบ้าน ดังนั้นขุนนางหลายคนจึงเข้ารับตำแหน่งพร้อมกับพาผู้คุ้มกันมาด้วยจำนวนมาก

“ข้าจะไม่กดขี่คนของข้า” เขาพยายามพูดให้อีกฝ่ายให้สงบลง

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เด็กน้อย” ชายชราตอบพร้อมกับส่ายหัวอีกครั้ง “ครึ่งเดือนก่อน กองทัพหลวงได้จุดไฟเผาป่าที่อยู่นอกหุบเขาแห่งความตายอันน่าเศร้า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเรเวแนนท์บุกรุกเข้ามา ไฟนั้นลามมาถึงพื้นที่ใกล้เคียง เผาผลาญพืชผลของเราที่ดูแลมานานกว่าครึ่งปีไปจนสิ้น หากปัญหาความอดอยากยังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าที่เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจะตกเป็นเป้าหมาย และทุกคนที่นี่จะระบายความโกรธแค้นลงที่เจ้า”

“กองทัพไม่ได้ชดเชยค่าเสียหายให้เลยหรือ” แองโกร่าถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่” ชายชรากล่าวช้า ๆ “เจ้าคิดว่า ‘ความตายที่น่าเศร้า‘ ในชื่อ ‘หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า‘ หมายถึงผู้ใดกัน? พวกเรเวแนนท์ในหุบเขาที่เกิดขึ้นมานานแล้วเหล่านั้นหรือ ไม่ ไม่ใช่”

จากนั้นชายชราก็ชี้ที่หน้าอกของตัวเองและพูดอย่างขมขื่นว่า “เป็นพวกเรา ชาวบ้านทั่วไปที่ตายเพราะการต่อสู้ระหว่างทหารและเหล่าเรเวแนนท์คือ ‘ความตายที่น่าเศร้า‘ ที่แท้จริง!”

แองโกร่าตะลึงกับคำพูดของชายชรา

แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมรับวันที่ยากลำบากในภายภาคหน้ามาแล้ว เมื่อเขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของดินแดนแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่า ความจริงนั้นจะโหดร้ายกว่าที่เขาคาดไว้

ในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีเวทมนตร์หรือศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เขาจะอยู่รอดได้อย่างไรในสถานที่ที่ยากลำบากนี้?

ตอนนั้นเองเขาก็ได้ระลึกถึงการมีอยู่ของสิ่งมหัศจรรย์ที่ช่วยชีวิตเขาอีกครั้ง

ระบบโอเวอร์ลอร์ด!

——————————————