ตอนที่ 100 บันทึกก้อนศิลา
เขาทบทวนซ้ำไปซ้ำมา คิดไปคิดมาก็ยังนึกไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย
หยวนฟางที่นั่งบนขั้นบันไดลุกขึ้นยืน ขยับเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย หยวนเหยี่ย ชือโหยวคือผู้ใด กบฏหรือขอรับ?”
หยวนกังเอ่ยสั้นๆ “บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ!”
“…..” หยวนฟางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยิ้มเจื่อนๆ
หยวนกังเอ่ยถาม “วันนี้ได้ตีข้ามีความสุขหรือไม่ ระบายแค้นพอหรือยัง?”
ถ้าตีแบบนี้แล้วมีความสุขได้ก็แปลกแล้ว ถ้าเจ้าแน่จริงก็ให้ข้าตีแบบสุดแรงสิ! หยวนฟางบ่นในใจ แต่ปากกลับเอ่ยเอาใจว่า “ไม่ได้ตีขอรับ ไม่ได้ตี เป็นการช่วยหยวนเหยี่ยฝึกวรยุทธ์ต่างหาก”
หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา “ในใจคงไม่ได้คิดเช่นนี้กระมัง?”
หยวนกังพลันตีสีหน้าจริงจังพลางกล่าวว่า “ข้าพูดจริงนะขอรับ!”
แล้วก็เป็นเพราะประโยคนี้ ทำให้ในวันเวลาหลังจากนั้น หยวนฟางต้องเริ่มช่วยหยวนกังฝึกวรยุทธ์ทุกวัน เขาเองก็มั่นใจแล้วว่าการทุบตีคนเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากจริงๆ
……
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว หนิวโหย่วเต้าแทบจะไม่ได้ออกมาจากเรือนเลย นอกจากออกไปเดินเล่นช่วงเช้าเย็นเพียงเล็กน้อยแล้ว เวลาที่เหลือล้วนนั่งสมาธิอยู่ในห้อง
หลังจากเส้นลมปราณเริ่มเข้ารูปอยู่ตัวตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้า เขาก็เริ่มทดลองหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอีกครั้ง จุดประสงค์แรกคือเพื่อค่อยๆ ฟื้นฟูแหล่งกำเนิดพลังที่แทบจะหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว จุดประสงค์ที่สองคือเพื่อค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับเส้นลมปราณที่เพิ่งหลอมขึ้นมาใหม่
ในช่วงเวลานี้ ซางซูชิงเองก็ไม่สะดวกจะมารบกวน เพียงมาเยี่ยมเยือนทุกเช้าวันละครั้งตามปกติเท่านั้น
เด็กๆ ในหมู่บ้านถูกกำชับอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้มาวิ่งเล่นเอะอะในละแวกเรือนหลังนี้
ทุกๆ วันหยวนฟางต้องช่วยหยวนกังฝึกวรยุทธ์เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนช่วงเวลาที่เหลือก็บำเพ็ญเพียรไปตามวิถีของตน
ในบรรดาคนทั้งสาม มีเพียงหยวนกังที่ไม่สนใจเรื่องการนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรตลอดทั้งวัน หยวนกังเชื่อว่าชีวิตคนเราไม่ควรดำเนินไปเช่นนี้ หากอายุขัยที่ยืนยาวที่ได้มาจากการบำเพ็ญเพียรต้องสูญเปล่าไปเช่นนี้ล่ะก็ อย่างนั้นชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไร เขาเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ทุกวัน ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังยุ่งอะไรอยู่
ภายในเรือนเล็กที่ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้หลังนี้เข้าสู่สภาวะทำงานและพักผ่อนอย่างเป็นระบบ
……
ตูม! เสียงดังกัมปนาทปานแผ่นดินไหวดังขึ้นมา ทำลายความเงียบสงบภายในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตื่นตระหนกโดยไม่ทราบสาเหตุ
หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางพุ่งตามกันออกมาจากเรือน เปิดประตูเดินออกไป มองเห็นคนหนุ่มบางส่วนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน ถืออาวุธมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เกิดเสียงดังสนั่น
“เกิดอะไรขึ้น?” หยวนฟางรั้งตัวชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านพลางสอบถาม
ชาวบ้านคนนั้นเอ่ยตอบด้วยสีหน้าฉงนมึนงง “ไม่รู้เหมือนกัน!”
หยวนฟางหันกลับไป พบว่าหนิวโหย่วเต้าทะยานออกไปแล้ว เขารีบเหินสู่อากาศไล่ตามไป
ในหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน หนิวโหย่วเต้าไปถึงเป็นคนแรก มองเห็นหน้าผาแถบหนึ่งพังถล่มลงมา แล้วก็มองเห็นหยวนกัง หยวนกังกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างอยู่
หนิวโหย่วเต้าร่อนลงในหุบเขา มองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก กลุ่มชาวบ้านก็ตามมาถึง มองเห็นหยวนกังเดินลงมาจากกองหินที่พังถล่ม หลัวอันเดินเข้าไปสอบถาม “น้องหยวน เสียงเมื่อครู่มันคืออะไร? เจ้าเห็นหรือไม่?”
หยวนกังตอบอย่างเรียบเฉย “ไม่มีอะไร ภูเขาถล่มน่ะ”
“ทำไมเสียงถล่มของภูเขาลูกนี้ถึงดังเหมือนฟ้าผ่าเลย มีฟ้าผ่าลงมาหรือ?” หยวนฟางที่ยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความแปลกใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแจ่มใส พึมพำว่า “อย่าบอกนะว่าฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ?”
หนิวโหย่วเต้ามองหยวนกังที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาลุ่มลึกแฝงความนัยบางอย่าง
……
เช้าวันต่อมา หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซางซูชิงปล่อยสองมือออกจากศีรษะของหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยเบาๆ “เต้าเหยี่ย เรียบร้อยแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นเดินไปส่งตามปกติ แต่พอส่งถึงประตูเรือนแล้วก็ยังไม่หยุดเท้า หากแต่เดินต่อไปพร้อมกับซางซูชิง
ซางซูชิงค้อมกายให้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ส่งเท่านี้ก็พอแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าผายมือสื่อให้เดินต่อไป ขณะที่ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหญิงมีเรื่องในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตามปกติแล้ว เวลาที่ซางซูชิงมาเกล้าผมให้เขาจะชวนคุยอยู่เสมอ แต่สองสามวันมานี้ซางซูชิงพูดน้อย ค่อนข้างผิดปกติ
ซางซูชิงเงียบไป คล้ายไม่รู้ควรจะพูดดีไหม
หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ “หมู่บ้านนี้ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ พวกชาวบ้านก็ยังมีท่าทีเหมือนเดิม ทางอำเภอชางหลูมีเรื่องหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ข้ากลัวจะส่งผลกระทบต่อการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรของเต้าเหยี่ย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “ลองฟังดูก่อนก็ไม่เสียหายพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงจึงยอมเล่า “แผนยึดครองจังหวัดชิงซางคงต้องล้มเลิกแล้ว ต่อจากนี้ทางเสด็จพี่จะคิดหาทางอื่นเพื่อทำให้สำนักหยกสวรรค์เห็นความสำคัญ”
หนิวโหย่วเต้าสอบถาม “ทางไห่หรูเยวี่ยผิดคำสัญญา ไม่ยอมช่วยสนับสนุนท่านอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงถอนหายใจเบาๆ “ตอนแรกทางเสด็จพี่เอ่ยถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากข้าส่งสารไปสอบถามอยู่หลายครั้งถึงได้ทราบความ ทางไห่หรูเยวี่ยก็ถือได้ว่าผิดสัญญา แต่มันก็มิใช่การผิดสัญญาไปเสียทั้งหมดเช่นกัน เพียงแต่อีกฝ่ายมีข้อเรียกร้องประการหนึ่ง และข้อเรียกร้องนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราทำให้ไม่ได้”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นมา “สรุปแล้วก็คือผิดสัญญาอยู่ดี ไม่อยากให้ความช่วยเหลือ เลยจงใจสร้างความลำบากใจให้ทางนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงจึงชี้แจง “สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ จะบอกว่าสร้างความลำบากใจก็ว่าได้ แต่ทางนี้ก็พอจะเข้าใจถึงความลำบากของนางเช่นกัน”
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ค่อนข้างสงสัย จึงเอ่ยถามไป “เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงอธิบายให้ฟัง “ปัญหาอยู่ที่ตัวเซียวเทียนเจิ้นผู้ว่าการมณฑลจินโจวคนปัจจุบันที่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดาทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนั้น หรือก็คือบุตรชายของไห่หรูเยวี่ย สมัยที่เซียวเปี๋ยซานยังมีชีวิตอยู่สุขภาพอ่อนแอมากโรค มีปัญหาด้านการมีทายาทมาโดยตลอด ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้บุตรชายคนนี้มา เขาไม่เพียงแต่สืบทอดมรดกต่อจากบิดาเท่านั้น แต่ยังสืบทอดอาการป่วยของผู้เป็นพ่อมาด้วย และดูเหมือนจะอ่อนแอยิ่งกว่า คนที่ส่งไปเจรจากลับมารายงานว่าสุขภาพของเซียวเทียนเจิ้นอ่อนแออย่างยิ่ง เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนบรรลุนิติภาวะ ปีนี้อาการป่วยของเซียนเทียนเจิ้นยิ่งกำเริบถี่ขึ้น”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “หรือว่าข้อเรียกร้องของไห่หรูเยวี่ยคือช่วยรักษาบุตรชายนาง?”
ซางซูชิงกล่าวชม “เต้าเหยี่ยปราดเปรื่องนัก ไห่หรูเยวี่ยเรียกร้องเช่นนี้จริงๆ คำพูดที่นางตอบกลับมาก็มีเหตุผลเช่นกัน ผู้ว่าการมณฑลจินโจวคือบุตรชายของนาง ถึงแม้ตอนนี้นางจะกุมอำนาจปกครองอยู่ แต่หากบุตรชายของนางจากโลกไป เกรงว่านางก็คงเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ไหนเลยจะมีกำลังมาสนับสนุนเสด็จพี่ของข้าได้อีก? ดังนั้นนางจึงยื่นข้อเรียกร้อง ขอเพียงพี่ชายข้าสามารถขอ ‘ผลตะวันชาด’ จากหอหิมะเหมันต์มาช่วยเหลือบุตรชายนางได้ นางก็จะส่งกองทหารมาช่วยเหลือ!”
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว สิ่งที่เรียกว่าผลตะวันชาดนี้เขาเคยอ่านเจอใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ เรียกได้ว่าเป็นคู่หยินหยางกับ ‘ผลหยกเหมันต์’ แต่สถานที่เติบโตของมันกลับตรงกันข้ามกับคุณสมบัติของมันโดยสิ้นเชิง ค่อนข้างเหมือนกับหลักการที่ว่าสุดขั้วหยินกำเนิดหยาง สุดขั้วหยางบังเกิดหยิน
“ป่วยด้วยโรคใดถึงต้องใช้ผลตะวันชาดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าอดสงสัยไม่ได้
ซางซูชิงเอ่ยตอบ “บอกว่าเป็น ‘ลิขิตหยินกลืนชีพจร’ แต่กำเนิดอะไรสักอย่าง จำเป็นต้องใช้ผลตะวันชาดถึงจะขจัดต้นตอของโรคได้อย่างสมบูรณ์”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เท่าที่กระหม่อมทราบ ต้นไม้นั้นออกผลได้เก้าลูก ออกผลปีละหนึ่งลูก ทุกเก้าปีจะสุกงอมหนึ่งลูก นั่นหมายความว่าจะมีผลตะวันชาดสุกงอมต่อเนื่องกันทุกปี หรือว่าด้วยอำนาจของตระกูลเซียวก็ยังไม่สามารถขอผลตะวันชาดมาจากหอหิมะเหมันต์ได้พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยตอบ “ย่อมเคยขอไปแล้ว ตอนที่เซียวเปี๋ยซานยังอยู่ เพื่อที่จะรักษาเซียวเปี๋ยซานแล้ว เซียวหวงที่เป็นพ่อของเขาได้เคยส่งคนเทียวไปขอร้องหอหิมะเหมันต์อยู่หลายครั้ง เซียวหวงถึงขั้นที่เคยขอร้องให้จักรพรรดิแคว้นจ้าวไปขอมาให้ แต่ก็ไม่เป็นผล ทางหอหิมะเหมันต์บอกว่าผลไม้นี้เป็นของแม่เฒ่าเสวี่ยแต่เพียงผู้เดียว ทุกๆ ปีแม่เฒ่าเสวี่ยต้องได้กินหนึ่งลูกถึงจะสบายใจ ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลจินโจวสำหรับคนธรรมดานับว่าสูงส่งมีอำนาจ แต่ในสายตาของคนระดับแม่เฒ่าเสวี่ยแล้ว จะต่างอันใดกับมดปลวกเล่า? ชีวิตของเซียวเทียนเจิ้นไม่สำคัญเท่าความอยากอาหารของอีกฝ่ายเลย”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับเงียบๆ
ซางซูชิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยพอจะมีวิธีอื่นที่ทำให้สำนักหยกสวรรค์เห็นความสำคัญของพวกเราอีกหรือไม่?” ความจริงหลายวันมานี้เธออยากจะขอคำชี้แนะหนิวโหย่วเต้าในเรื่องนี้มาโดยตลอด
หนิวโหย่วเต้าตอบตามตรง “ตอนนี้ยังคิดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว แผนการที่ท่านอ๋องและท่านหลานวางไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงแต่จะทำให้สำนักหยกสวรรค์เห็นความสำคัญเท่านั้น แต่ยังได้ยึดครองจังหวัดซานชิงและขยายอำนาจออกไปด้วย เรียกได้ว่าลงแรงหนึ่งได้ถึงสอง หากพลาดโอกาสนี้ไป ภายหน้าก็คงยากจะหาโอกาสยึดครองจังหวัดชิงซานได้อีกแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าย่อมทราบดี แต่ถ้าไห่หรูเยวี่ยไม่ตอบตกลง ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไว้กระหม่อมจะคิดหาทางดูพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะผายมือสื่อว่าให้นางกลับไปก่อน
หลังจากมองส่งนางจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังเดินเตร่ไปทางทุ่งนา ขณะที่ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป หยวนฟางก็มาหา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามหลังเขา
หนิวโหย่วเต้ามองเด็กๆ กลุ่มหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่ข้างหน้า เขาหยุดฝีเท้า หันหลังไปเอ่ยว่า “เจ้าหมี ด้วยฐานะของเจ้า หากคิดจะนำพาเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานปักหลักอยู่บนโลกนี้ เกรงว่าคงเป็นไปได้ยาก ปล่อยพวกเขาไป แล้วมาติดตามข้าดีหรือไม่?”
“ห๊า!” หยวนฟางอุทานด้วยความตะลึง ไม่ทราบว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงส่ายหน้าพลางกล่าวพึมพำว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ พระคนอื่นๆ ในวัดหนานซานล้วนจากไปหมดแล้ว พระที่เหลืออยู่กลุ่มนี้ล้วนเป็นศิษย์สายในของท่านเจ้าอาวาส ข้าเคยรับปากท่านเจ้าอาวาสไว้ว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาไป”
หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ตรงนั้น นิ่งเงียบไปพักใหญ่
…….
รุ่งเช้าวันต่อมา ขณะที่ซางซูชิงกำลังเกล้าผมให้หนิวโหย่วเต้าอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางก็สังเกตเห็นว่าข้างคันฉ่องมีหินวางอยู่สองก้อน หนึ่งเหลืองหนึ่งดำ
หลังจากเกล้าผมเสร็จ หนิวโหย่วเต้าออกมาส่งตามปกติ ก่อนออกจากประตู ซางซูชิงหันกลับไปมองหินสองก้อนที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
หลังส่งนางจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เดินไปทางริมแม่น้ำสายเล็กที่เชี่ยวกรากสายนั้นเพียงลำพัง มองกลุ่มชายหนุ่มที่ฝึกซ้อมกันอยู่
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เหมิงซางหมิงที่นั่งบนรถเข็นถูกเข็นเข้ามา คนเข็นคือซางซูชิง ข้างๆ ยังมีชายชราร่างกำยำอีกคน คิ้วหนาตาโต ผมเผ้าหนวดเคราออกสีเหลือง
“ฝ่าซือ!” เหมิงซานหมิงเอ่ยทักทาย หนิวโหย่วเต้าหันกลับไป แย้มยิ้มพลางเอ่ยทักทาย
หลังจากพูดคุยตามมารยาทกันเล็กน้อย เหมิงซานหมิงก็ชี้ไปทางชายชราที่อยู่ข้างข้างกาย “คาดว่าเต้าเหยี่ยน่าจะยังไม่เคยพบเขา ท่านผู้นี้มีนามว่ากงซุนเถี่ยหนิว เป็นช่างเหล็กที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้า ในอดีตท่านกงซุนเคยประสบปัญหาบางอย่าง ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจากหนิงอ๋อง ต่อมาจึงพาครอบครัวมาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ หลังจากมาถึงที่นี่ ท่านกงซุนได้คัดเลือกลูกหลานในหมู่บ้านที่พอจะมีแววมาเป็นศิษย์ ได้ก่อตั้งโรงหัตถกรรมแห่งหนึ่งขึ้นในภูเขาทางทิศเหนือ ช่วงหลายปีมานี้ คอยผลิตอาวุธสงครามให้ท่านอ๋องมาตลอด เตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน…”
หนิวโหย่วเต้ารับฟังด้วยรอยยิ้ม เมื่อรับฟังเรื่องราวบางอย่างที่ถูกปิดบังเอาไว้ของที่นี่จบก็เอ่ยทักทายกงซุนเถี่ยหนิว
กงซุนเถี่ยหนิวคล้ายอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไร เพิ่งพูดคุยได้ไม่กี่ประโยคก็เบือนหน้ามองไปทางอื่นอยู่ตลอด เหมือนจะรำคาญคำพูดตามมารยาทที่ดูเสแสร้งเช่นนี้ สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาว่ายังมีธุระต่อ จากนั้นก็ทิ้งทุกคนไว้แล้วหันหลังเดินจากไป
“ท่านกงซุนเป็นคนดี เพียงแต่นิสัยแข็งกร้าวไปบ้าง ฝ่าซือโปรดอย่าได้ถือสา” เหมิงซานหมิงเอ่ยขอโทษแทน
“ไม่เป็นไร เดินทีก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่แล้ว” หนิวโหย่วเต้าปล่อยผ่านไม่ถือสา เขามองไปทางซางซูชิงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหญิง กระหม่อมเตรียมจะไปเยือนมณฑลจินโจวเพื่อท่านอ๋องสักคราพ่ะย่ะค่ะ จะไปพบกับไห่หรูเยวี่ยคนนั้น ดูว่าพอจะสามารถจะช่วยเหลือท่านอ๋องให้ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้หรือไม่ ท่านหญิงโปรดส่งข่าวไปแจ้งท่านอ๋องด้วยนะพ่ะย่ะค่ะว่าอย่าเพิ่งด่วนเสาะหาหนทางอื่น”
ซางซูชิงตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นรีบส่ายหน้าพลางเอ่ยโน้มน้าว “เต้าเหยี่ย อย่าทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าเลย ทางมณฑลจินโจวนั้นไม่จำเป็นต้องไปแล้วจริงๆ ไห่หรูเยวี่ยแสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว นางไม่มีทางเปลี่ยนใจ ไม่มีประโยชน์หรอก”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “ลองดูอีกสักครั้งก็ไม่เสียหายพ่ะค่ะย่ะ เพียงแต่อยากขอร้องท่านหญิงให้ช่วยปกปิดเรื่องนี้จากเจ้าลิงไว้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!”
…………………………………………………………