ตอนที่ 101 มหานครจินโจว

ปิดบังหยวนกังหรือ? ซางซูชิงไม่เข้าใจ แต่หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกไปแล้ว ไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย

เหมิงซานหมิงมองเขาจากไป จากนั้นเอ่ยถาม “ท่านหญิงแน่ใจหรือว่าเขาตั้งใจวางหินสองก้อนนั้นให้พระองค์เห็น?”

ซางซูชิงที่มองดูหนิวโหย่วเต้าจากไปเช่นกันมีสีหน้าซับซ้อน ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ตอนแรกยังไม่มั่นใจนัก แต่ตอนนี้มั่นใจแล้ว”

เหมิงซานหมิงร้องโอ้ “หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงอธิบาย “ก่อนหน้านี้เขายังไม่เผยท่าทีอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งได้พบท่านกงซุนเมื่อครู่นี้ พอพวกเราบอกเล่าว่าที่นี่เป็นสถานที่ลับสำหรับผลิตอาวุธสงคราม เขาถึงได้บอกว่าเขาจะไปมณฑลจินโจว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำเรื่องนี้โดยไม่มีการคิดใคร่ครวญใดๆ มาก่อนล่วงหน้า ไม่เชื่อว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาวางหินไว้ให้ข้าเห็น หลังจากวางหินก็หลบหยวนกัง มารออยู่ที่นี่คนเดียว…และเขาไม่มีทางรออยู่ที่นี่ไปตลอดแน่”

เหมิงซานหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยพลางเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขากำลังทดสอบความจริงใจของพวกเรา หากว่าพวกเราไม่ยอมบอก เขาเองก็จะไม่ถามเช่นกัน แล้วก็ไม่มีทางบอกว่าจะเดินทางไปมณฑลจินโจว”

ซางซูชิงเอ่ยต่อไปว่า “ในเมื่อเขาทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่างหินสองก้อนนั้น เช่นนั้นเขาก็คงจะจับสังเกตอะไรบางอย่างได้แต่แรกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรอให้พวกเราเป็นฝ่ายพูดมาโดยตลอด แต่พวกเราก็ไม่พูดเสียที ครั้งนี้ที่วางก้อนหินไว้ให้ข้าเห็น เหมือนเป็นการมอบโอกาสให้พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ให้โอกาสพวกเราเป็นครั้งสุดท้าย! หากว่าพวกเรายังคงปิดบังไม่ยอมบอกเขา ข้ามีลางสังหรณ์ว่าพวกเราคงรั้งตัวเขาไว้ไม่ได้อีก เกรงว่าเขาคงจะพาหยวนกังหลบหนีไปไกลแสนไกล ไม่มีทางบอกว่าจะไปมณฑลจินโจว!”

เหมิงซานหมิงเองก็ยิ้มเจื่อนออกมาเช่นกัน “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขากำลังชั่งใจดูว่ามันคุ้มหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าการเดินทางของเขาครั้งนี้มีความเสี่ยง!!”

ซางซูชิงกังวลเล็กน้อย นางเองก็รับรู้ได้เช่นกัน แต่นางไม่อาจขัดขวางได้ สำนักหยกสวรรค์และเฟิ่งหลิงปอไม่มีทางให้เวลาพวกนางสองพี่น้องนานนัก ในตอนนี้ดูเหมือนจะมีโอกาสยึดครองจังหวัดชิงซานเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ในแง่หนึ่ง เป็นเพราะนางเคยเห็นความสามารถของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว จึงเกิดความหวังว่าความสามารถของหนิวโหย่วเต้าจะสามารถช่วยเกื้อหนุนพวกนางสองพี่น้องได้

ทว่าความคิดนี้ก็ทำให้นางรู้สึกผิดยิ่งนัก รู้สึกผิดที่ต้องปล่อยอีกฝ่ายไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

……

“จะไปไหน?”

ภายในเรือน หยวนกังที่เพิ่งเก็บกวาดทำความสะอาดหลังฝึกวรยุทธ์เสร็จงุนงงทันทีที่ได้ยิน

หนิวโหย่วเต้าตอบเสียงราบเรียบ “ไปหาของบางอย่างที่จำเป็นต่อการบำเพ็ญเพียร”

หยวนกังพยักหน้ารับ “ออกเดินทางเมื่อไร?” เห็นได้ชัดว่าเจตนาของเขาคือต้องการเตรียมตัวล่วงหน้า

หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยว่า “เดินทางพรุ่งนี้ เจ้าไม่ต้องไป เดี๋ยวข้าพาเจ้าหมีไปก็พอ”

ข้าไม่ต้องไปหรือ? หยวนกังตะลึงงัน คล้ายจะนึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ให้เขาไปด้วย

หนิวโหย่วเต้าอธิบายต่อว่า “ไม่มีอะไรหรอก ถ้าปลีกตัวไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นจับตามอง หากใช้ทางลับกลับไปยังอำเภอชางหลูก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง อย่างนั้นกลับจะอันตรายกว่า ไม่แน่ว่าอาจถูกศัตรูเพ่งเล็งก็เป็นได้ ดังนั้นข้าเตรียมจะพาเจ้าหมีเดินทางข้ามทิวเขาไปเลย เส้นทางบนภูเขาเดินทางไม่สะดวก หากเจ้าตามไปด้วยก็ต้องปีนเขาไปตลอด แบบนั้นกลับจะยิ่งเป็นตัวถ่วงให้ช้าลง”

หยวนกังเงียบไปเล็กน้อย คิดไปคิดมาก็พบว่าจริงดั่งว่า จึงเอ่ยถามว่า “ไปนานแค่ไหน จะกลับมาเมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยเดินทางไปในโลกภายนอกตามลำพัง มีสภาพแวดล้อมหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจ ข้าเองก็ตอบอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่ก็น่าจะไม่นานจนเกินไป”

หยวนกังถามต่อ “ให้ข้ารออยู่ที่นี่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “เจ้าจะอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือจะไปอยู่ที่อำเภอชางหลูก็ได้ ดูว่าซางซูชิงจะจัดการอย่างไร เดี๋ยวพอข้าเสร็จธุระแล้วก็น่าจะตรงกลับไปยังอำเภอชางหลูอย่างเงียบๆ เลย หากเจ้ากลับไปที่อำเภอชางหลูแล้ว ก็ฝากเจ้าดูแลสมณะเหล่านั้นของเจ้าหมีที แล้วก็ลู่เซิ่งจงคนนั้นด้วย หากแผนการของพวกซางเฉาจงดำเนินไปอย่างราบรื่น เจ้าก็เอาตัวเบี้ยอย่างลู่เซิ่งจงมาใช้งานได้”

หยวนกังพยักหน้ารับ หันไปเอ่ยกับหยวนฟาง “ติดตามเต้าเหยี่ยออกไปต้องกระฉับกระเฉงตื่นตัวให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นหากข้าส่งสมณะกลุ่มนั้นไปพบพุทธองค์ล่วงหน้า ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”

หยวนฟางทำสีหน้าเหยเก ก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “หยวนเหยี่ยวางใจได้เลย”

วันต่อมา ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซางซูชิงตั้งใจจัดการทรงผมให้หนิวโหย่วเต้าอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ เงาคนในคันฉ่องนั่งหลับตาสงบนิ่ง

หลังจากทั้งสองออกมาจากเรือน หยวนฟางสะพายสัมภาระใบหนึ่งคอยอยู่ด้านนอกแล้ว ส่วนหยวนกังก็ยื่นกระบี่ส่งให้หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปรับกระบี่ เดินอาดๆ ออกไป หยวนฟางเดินตามหลัง

ซางซูชิงและหยวนกังออกมาส่งนอกเรือน เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเฝ้ามองจากซอกมุมหนึ่ง

หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางเดินทางออกจากหมู่บ้านอย่างไม่เร่งร้อน แต่ทันใดนั้นจู่ๆ ทั้งคู่พลันเร่งความเร็ว โผนทะยานตามกันไป คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง ขึ้นสู่เขาสูงลูกหนึ่ง

ทั้งสองหยุดอยู่บนยอดเขา หยวนฟางหันหลังกลับไปมองดูหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาตามหนิวโหย่วเต้า จากนั้นแต่ละคนต่างหยิบใบไม้สีเขียวมรกตใบเล็กๆ ใส่เข้าปาก ใบไม้นี้ไม่มีชื่อเรียก แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเรียกมันว่า ‘ใจกระจ่าง’ หากอมไว้ในปากจะสามารถต้านทานควันพิษที่ปกคลุมอยู่ในภูเขาได้

“ไป!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยคำหนึ่ง พลันดีดตัวทะยานออกจากยอดเขา ตัวคนพุ่งฉิวราวกับลูกศรพ้นแล่งธนู กระแสปราณภายในร่างระเบิดออกมา ก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกันคล้ายปีกนก อาศัยความเร็วในการดีดตัวและระดับความสูงในการปีนป่ายเหาะทะยานไปในอากาศ

หยวนฟางเองก็ทะยานไปในอากาศตามหลังไปติดๆ

เบื้องหน้ามีภูเขาพุ่งเข้ามา เงาร่างของคนทั้งสองเบี่ยงหลบติดตามกันไป หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง อาศัยแรงลอยตัวในอากาศบินอ้อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลัดเลาะไปในหมู่เขาราวพญาวิหคสองตัว

เสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู

เห็นได้ชัดว่าสภาวะของหยวนฟางด้อยกว่าหนิวโหย่วเต้า ปีกลมปราณเสียดสีอยู่ในอากาศด้วยความเร็วสูงได้ไม่นานก็พังทลายลง ตัวเขาร่วงตกลงไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งห้อตะบึง จากนั้นดีดตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมก่อปีกลมปราณขึ้นมาใหม่แล้วไล่ตามไป เห็นได้ชัดว่าความถี่ในการหายใจของหนิวโหย่วเต้าช้ากว่าหยวนฟางมากนัก แต่เขายังคงหยุดรอเป็นครั้งคราว มิเช่นนั้นหยวนฟางอาจจะตามไม่ทันแล้วพลัดหลงกันไป

เมื่อพบเจอพื้นที่ราบ ทั้งสองจะเหินทะยานขึ้นๆ ลงๆ ไปอย่างว่องไว หากพบเนินเขาเล็กๆ ก็จะพุ่งทะยานข้ามไป หรือไม่ก็บินอ้อมไป หากพบภูเขาสูงก็จะปีนป่ายหน้าผาขึ้นไปสู่ยอด เมื่อมาถึงยอดเขาก็จะดีดตัวออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทะยานไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางหมู่เขาสูงชัน เงาร่างสองสายหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เหินร่อนไปอย่างอิสระเสรีราววิหค

……

หลังผ่านไปเกือบครึ่งวัน ระดับความลดหลั่นสูงชันของภูเขาลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ควันพิษที่อบอวลอยู่ในหมู่เขาก็เห็นได้ชัดเจนว่าหายไปหมดแล้ว หนิวโหย่วเต้าคาดเดาว่าน่าจะออกมาจากพื้นที่นั้นแล้ว

จนกระทั่งมองเห็นถนนหลวงที่ราบเรียบดุจแถบผ้า ทั้งสองถึงได้หยุดพัก ด้านหยวนฟางเองก็เหนื่อยอย่างมาก ถ่มใบไม้ที่อยู่ในปากออกมาดัง “ถุย” ยันพฤกษาใหญ่ต้นหนึ่งไว้พลางคุกเข่าลงบนพื้น หอบหายใจดังแฮ่กๆ การเร่งเดินทางตลอดทั้งวันโดยไม่หยุดพักเช่นนี้เกินขีดจำกัดที่เขาจะทนรับไหวจริงๆ

สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่สู้ดีเช่นกัน สูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก หากมิใช่เพราะต้องการเร่งเดินทาง เขาก็ไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด เพราะถ้าเจอปัญหาในขณะที่ตนเองอยู่ในสภาพอ่อนแอไร้กำลังเช่นนี้ นั่นอาจจะกลายเป็นปัญหาจริงๆ เอาได้

ทั้งสองจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าข้างทางหลวง พักดื่มน้ำกินอาหารกันเล็กน้อย จากนั้นนั่งสมาธิฟื้นฟูกำลัง

หนิวโหย่วเต้าฟื้นตัวได้เร็ว เหตุผลแรกเป็นเพราะเขาไม่ได้เสียพลังไปมากเท่าหยวนฟาง เหตุผลที่สองเป็นเพราะเขาใช้ประโยชน์จากยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่อยู่ในร่างได้

การฟื้นฟูกำลังของหยวนฟางค่อนข้างช้า กว่าจะฟื้นพลังได้ก็เป็นเวลาเย็นย่ำใกล้ค่ำแล้ว มันก็ช่วยไม่ได้ ทั้งสองไม่มีโอสถวิญญาณที่ช่วยเร่งการฟื้นฟูอันใดติดตัวมาเลย เขาจึงทำได้เพียงค่อยๆ ฟื้นฟูกำลังไปอย่างช้าๆ

เดิมทีหนิวโหย่วเต้าเคยมีโอสถวิญญาณอยู่บ้าง ได้มาเล็กน้อยจากตอนที่ค้นตัวพวกซ่งเหยี่ยนชิงสามศิษย์พี่น้อง แต่เนื่องเพราะเขาอยากลิ้มลอง โอสถเหล่านั้นจึงถูกเขาใช้ไปจนหมดแล้ว ส่วนโอสถที่ค้นเจอจากตัวลู่เซิ่งจง เขาก็ยกให้หยวนฟางไปหมดแล้ว ซึ่งหยวนฟางที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนก็ลองชิมจนหมดในทันทีเช่นกัน

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ทั้งสองถือได้ว่าเป็นยาจกในโลกบำเพ็ญเพียร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยาจกประเภทที่จนกรอบเลยด้วย

พวกเขาเข้าไปขวางรถม้าคันหนึ่งที่วิ่งผ่านมาบนเส้นทางหลวง หลังจากสอบถามเส้นทางจนแน่ชัดแล้ว พวกเขาก็จ่ายเงินหนึ่งเหรียญทองให้รถม้าเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด

หลังจากเร่งเดินทางมา ในที่สุดรถม้าก็ส่งคนทั้งสองเข้าไปในตัวเมืองได้ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลงในยามราตรี

ทั้งสองเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าสั่งอาหารเลิศรสมาเต็มโต๊ะเพื่อเป็นรางวัลแก่หยวนฟาง

บนโต๊ะอาหาร หยวนฟางเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าที่กำลังมองท้องถนนด้านนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่า “เต้าเหยี่ย พวกเรากำลังจะไปไหนกันหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มหานครจินโจว”

หยวนฟางพึมพำ “ดูเหมือนหนทางจะยังอีกไกลนะขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเร่ง “รีบกินซะ กินเสร็จยังมีธุระต้องไปทำต่อ”

“โอ้!” หยวนฟางรีบยัดอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน หนิวโหย่วเต้าโยนเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้เสี่ยวเอ้อเป็นการตกรางวัล เสี่ยวเอ้อก้มหัวค้อมคำนับด้วยความดีใจ

หนิวโหย่วเต้าโบกมือไปมา แน่นอนว่าเงินนี้ย่อมไม่ได้ให้เปล่าๆ “เสี่ยวเอ้อ ขอถามอะไรเจ้าสักอย่างสิ”

เสี่ยวเอ้อรีบกล่าว “ว่ามาเลยขอรับ ว่ามาเลยขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าจึงถามว่า “รู้หรือไม่ว่าบ้านของเจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าประจำอำเภอนี้อยู่ที่ไหน?”

เสี่ยวเอ้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมเอ่ยว่า “อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอขอรับ บ้านของใต้เท้าหลี่อยู่ในตรอกด้านซ้ายมือที่อยู่เยื้องกับที่ว่าการอำเภอ หากไปถึงที่นั่นแล้ว ลองสอบถามคนแถวนั้นดูก็ทราบแล้วขอรับ นายท่านมีธุระใดกับใต้เท้าหลี่หรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย ตอบไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก สหายของเขาฝากข้าเอาจดหมายมาส่งให้เขาน่ะ”

กล่าวจบก็ไล่เสี่ยวเอ้อออกไป จากนั้นพาหยวนฟางออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สอบถามมาจากเสี่ยวเอ้อ ก่อนจะหาบ้านของเจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าแซ่หลี่ผู้นั้นจนพบ

ที่เขามาหาคนผู้นี้ย่อมมิใช่เรื่องอื่นใด หากแต่ต้องการปลอมตัวเพื่อยืมใช้ม้าส่งสารของจุดพักม้า มิใช่ว่าเขาไม่มีปัญญาซื้อม้า แต่เป็นเพราะว่าม้าของจุดพักม้าสามารถเปลี่ยนตามจุดพักม้าได้ตลอดทาง ซึ่งนั่นจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น เรื่องนี้มิได้ยากเย็นอะไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเข้าข่มขู่ การใช้กำลังข่มขู่กลับจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง แค่ใช้เงินแก้ปัญหาไปตรงๆ ก็พอ

เหรียญทองกำหนึ่งถูกโปรยลงบนโต๊ะ เจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าคนนี้ถูกซื้อตัวไปในทันที ทั้งสองฝ่ายทำการนัดหมาย พบกันเช้าวันรุ่งขึ้น

วันต่อมา ณ พื้นที่ห่างไกลนอกตัวอำเภอ เจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าแซ่หลี่คนนี้จูงม้ามาด้วยสองตัว แล้วก็มีชุดเจ้าหน้าที่ส่งสารอีกสองชุด ทั้งยังพกหนังสือราชการมาด้วย ถือโอกาสฝากทั้งสองนำหนังสือราชการไปส่งให้ด้วย เรียกได้ว่างานหลวงไม่ขาดงานราษฎร์ไม่เสีย

เหรียญทองอีกหนึ่งกำมือถูกมอบให้เจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าแซ่หลี่คนนี้ตามที่ตกลงกันไว้ เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่ายื่นหมูยื่นแมว

หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ พลิกตัวขึ้นหลังม้า ลงแส้เร่งม้าพุ่งทะยานออกไป แวะเปลี่ยนพาหนะตามจุดพักม้าไปตลอดทาง ควบม้าเร่งเดินทางไปยังมหานครจินโจวโดยไม่หยุดพัก

สองวันผ่านไป คนทั้งสองที่อยู่ในสภาพเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลก็มาถึงมหานครจินโจวอย่างราบรื่น พวกเขานำหนังสือราชการไปส่งให้ทางการ ส่วนม้าส่งสารก็ทิ้งเอาไว้ด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องสร้างปัญหาเพิ่มด้วยการนำม้าส่งสารไปด้วย

ณ โรงเตี๊ยมฝูหลิน เมื่อทั้งสองมาถึงประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม หยวนฟางถือช่อดอกไม้ไว้ในมือ ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก จากนั้นมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสองทันที เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฟางเจ๋อ”

หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้า”

ชายที่มีนามว่าฟางเจ๋อคนนั้นถอนใจด้วยความโล่งอก ผายมือเชื้อเชิญทันที “เต้าเหยี่ย เชิญขอรับ!” จากนั้นเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม ไปที่ห้องของเขา

สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ย่อมเป็นเพราะเขาได้วางแผนกับซางซูชิงเอาไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว ทางซางซูชิงรีบส่งสารด่วนไปหาซางเฉาจง ให้ซางเฉาจงส่งคนที่เคยติดต่อในมหานครจินโจวก่อนหน้านี้มาพบหนิวโหย่วเต้า

เมื่อเข้ามาในห้อง ฟางเจ๋อก็ปิดประตู ก่อนจะหันหลังกลับมาเอ่ยถามทันที “ท่านอ๋องแจ้งมาว่าให้ข้าร่วมมือกับเต้าเหยี่ย ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยต้องการให้ข้าทำอะไรขอรับ?”

“เล่าเรื่อง!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นมา “เล่าทุกเรื่องที่เจ้ารู้เกี่ยวกับไห่หรูเยวี่ยให้ข้าฟังอย่างละเอียด”

“ขอรับ!” ฟางเจ๋อรีบเล่าทุกเรื่องที่ตนเองทราบออกมาอย่างละเอียดทันที

หนิวโหย่วเต้าถามแทรกเป็นครั้งคราว ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะหยุดลง

หลังจากเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว หนิวโหย่วก็ลุกขึ้นยืนอยู่ภายในห้อง เอ่ยขึ้นมาว่า “พักผ่อนหนึ่งคืน ให้ทางโรงเตี๊ยมจัดหาห้องให้พวกเราหนึ่งห้อง พรุ่งนี้พาข้าไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล”

ฟางเจ๋อลุกตาม กล่าวว่า “เต้าเหยี่ย เกรงว่าพรุ่งนี้คงจะไม่เหมาะหรือเปล่าขอรับ? พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่สี่สิบของไห่หรูเยวี่ย มีแขกเหรื่อมากันไม่น้อย เกรงว่านางคงไม่ยอมมาพบท่าน…ตอนนี้กระทั่งตัวข้านางก็ยังรังเกียจว่าพูดมาก ไม่ค่อยจะยอมพบข้าแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ย “ไม่มีปัญหา เจ้าไปบอกนางว่าท่านอ๋องเชิญยอดหมอมารักษาบุตรชายของนางแล้ว อย่าว่าแต่งานฉลองวันเกิดปีที่สี่สิบเลย ต่อให้นางกำลังจะแต่งงานใหม่ก็ต้องมีเวลามาพบข้าแน่นอน”

…………………………………………………………..