ตอนที่ 102 โลกมันกลม

หยวนฟางที่รับฟังอยู่ด้านข้างอมยิ้มมุมปาก พบว่าเต้าเหยี่ยยังคงพูดจาด้วยความมั่นใจอย่างน่าประหลาด ถึงแต่งงานก็ต้องมาพบเขาอย่างนั้นหรือ

ฟางเจ๋อเหงื่อตกเล็กน้อย นี่มิเท่ากับไปหลอกคนเขาหรอกหรือ จึงเอ่ยเตือนว่า “เต้าเหยี่ย อย่าเห็นว่าไห่หรูเยวี่ยเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งนะขอรับ ถึงแม้นจะอยู่ในสถานการณ์ที่สามีตายบุตรชายอ่อนแอ ทว่าแม่ม่ายตัวคนเดียวอย่างนางกลับยังสามารถสยบกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเอาไว้ได้ ยังคงควบคุมมณฑลจินโจวได้อย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา หากถึงเวลานั้นไม่มียอดหมอปรากฏตัว การที่กล้านำเรื่องเช่นนี้มาหลอกลวงนาง เกรงว่าพวกเราทั้งหมดคงหมดหวังจะได้รอดชีวิตออกมาจากจวนผู้ว่าการมณฑลแน่ขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้าจงไปจัดการตามที่ข้าบอก”

“นี่…” ฟางเจ๋อยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “เต้าเหยี่ย มิใช่ว่าข้ากลัวตายนะขอรับ เพื่อท่านอ๋องแล้วต่อให้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่ลังเล แต่หากเราไปยั่วโทสะไห่หรูเยวี่ยเข้า นั่นอาจจะชักนำความเดือนร้อนไปให้ท่านอ๋องได้นะขอรับ!”

หยวนฟางถลึงตาใส่ “ให้เจ้าไปทำอะไรก็ไปทำตามนั้น พล่ามไร้สาระทำไม!” เขาเลียนแบบสำเนียงวาจาของหยวนกังมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อหยวนกังไม่อยู่ เขาจึงคิดว่าตนสมควรต้องทำหน้าที่แทนหยวนกัง

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามเขา ห้ามไม่ให้เขาขู่ขวัญอีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็ผ่อนน้ำเสียงลง เอ่ยว่า “การที่ท่านอ๋องส่งข้ามา พระองค์ย่อมต้องมีเหตุผลที่ส่งข้ามา มิได้ส่งข้ามาเพื่อทำเสียเรื่อง มิเช่นนั้นจะสั่งให้เจ้าให้ความร่วมมือกับข้าได้อย่างไร ฟางเจ๋อ เจ้าคิดว่าข้าจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นหรือ?”

พอเขาเอ่ยเช่นนี้ จิตใจที่ตึงเครียดของฟางเจ๋อพลันคลายตัวลง ประสานมือตอบรับ “ขอรับ! ข้าจะไปจัดเตรียมห้องพักให้ทั้งสองท่านก่อน”

หนิวโหย่วเต้าผายมือสื่อว่าเชิญตามสบาย หลังฟางเจ๋อออกไปแล้ว ทั้งสองก็รออยู่ในห้องก่อน

ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หยวนฟางพลันเอ่ยขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เต้าเหยี่ย อันที่จริงคำพูดของฟางเจ๋อคนนี้ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วนนะขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเขา “ทำไม? กลัวแล้วหรือ? เมื่อครู่ยังว่าเขาอย่างมั่นอกมั่นใจอยู่เลยมิใช่หรือ?”

“เต้าเหยี่ยเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเพียงเตือนนิดหน่อยขอรับ เพียงเตือนนิดหน่อย” หยวนฟางหัวเราะแห้งๆ ถึงแม้เมื่อครู่ตอนเลียนแบบน้ำเสียงของหยวนกังสั่งสอนคนอื่นจะรู้สึกสะใจ แต่หลังจากพูดออกไปเขาก็นึกเสียใจขึ้นมา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนอย่างหยวนกัง ที่สำคัญคือจะไปหลอกลวงสตรีผู้นั้นถึงจวนผู้ว่าการมณฑล ชีวิตน้อยๆ ของตนอาจจะต้องทิ้งอยู่ที่นั่นจริงๆ ก็เป็นได้

รออยู่ไม่นานนัก ฟางเจ๋อก็จัดการเรื่องห้องพักเสร็จเรียบร้อย เขาตั้งใจเลือกห้องที่อยู่ติดกันให้

ทั้งสามคนเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกัน ตรวจดูภายในห้องเล็กน้อย ไม่พบปัญหาอะไร

วันนี้นับว่าเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าให้ฟางเจ๋อไปจัดการธุระของตน ส่วนตัวเขาพาหยวนฟางออกไปจากโรงเตี๊ยม

ปากบอกว่าจะออกไปเดินเล่น แต่ความจริงคือออกไปสำรวจสภาพภูมิประเทศภายในตัวเมือง

ความใหญ่โตของมหานครเป็นรองเพียงเมืองหลวง ด้านความเจริญรุ่งเรืองของมันย่อมมิใช่สิ่งที่สถานที่ทั่วไปจะเทียบชั้นได้เช่นกัน สองฝั่งถนนมีร้านรวงต่างๆ เนืองแน่นเรียงราย ผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย คนที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหรามีราคาก็มิใช่สิ่งที่เขตบ้านนอกกันดารจะเทียบชั้นได้เช่นกัน เมื่อเดินอยู่ในศูนย์กลางมณฑลแห่งนี้แล้ว ทำให้ลืมไปเลยว่านี่คือยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย

หยวนฟางเรียกได้ว่าเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เหลียวมองรอบด้านด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น รู้สึกแปลกใหม่กับข้าวของมากมาย

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองดูเขาเป็นระยะ ลอบรู้สึกทอดถอนใจ ปีศาจตัวนี้ยังห่างชั้นกับเจ้าลิงมากนัก หากคนที่มาทำงานด้วยคือเจ้าลิง เขารู้ดีว่าอาจจะมีอันตราย ไม่ว่าเดินไปทางไหนเจ้าลิงจะต้องคอยสังเกตจดจำภูมิประเทศและเส้นทางไว้อย่างแน่นอน เผื่อไว้สำหรับเหตุฉุกเฉิน

แต่ก็ไม่อาจตำหนิหยวนฟางได้เช่นกัน เพราะหากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว หยวนฟางไม่เคยพบเห็นอะไรมาก่อนเลย อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลมาโดยตลอด ปากบอกว่าเป็นสมณะ แต่ความจริงกลับคอยปล้นชิงเหมือนอย่างโจรภูเขามาโดยตลอด แทบจะไม่เคยออกจากที่นั่นเลย เมื่อมาถึงเมืองใหญ่เช่นนี้ มองเห็นสิ่งต่างๆ จนลายหูลายตาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจึงถือโอกาสให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย เมื่อเคยชินแล้วครั้งต่อไปย่อมไม่เป็นเช่นนี้อีก ด้วยเหตุนี้จึงเดินตัดผ่านเข้าไปในสถานที่ที่คึกคักมีชีวิตชีวา

แต่ก็เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่าโลกนี้มันกลม!

ระหว่างที่เดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งที่หน้าร้านดูงดงามมีเอกลักษณ์ หนิวโหย่วเต้าจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูป้ายร้านที่แขวนอยู่ด้านบน มีอักษรเขียนไว้สามคำว่า ‘หอกิ่งก้อย’ เมื่อมองดูจากการตกแต่งและโคลงคู่ตรงหน้าทางเข้า เขาพอจะมองออกว่าเป็นร้านจัดจำหน่ายพวกของหายาก

ในเมื่อผ่านมาที่นี่แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าด้านในมีอะไรขายบ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะข้ามถนนไป เขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที

ตรงหน้าทางเข้าหอกิ่งก้อยมีคนเฝ้าอยู่สองคน คอยมองสำรวจรอบด้านอยู่ตลอดเวลา หลังจากหนึ่งในนั้นสบตาเข้ากับหนิวโหย่วเต้า เขาก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น หยวนฟางเองก็รู้จัก เขาก็คือหนึ่งใน ‘ศิษย์พี่คนดี’ ที่เป็นอดีตศิษย์ร่วมสำนักของหนิวโหย่วเต้า เป็นเฉินกุยซั่วที่ถูกปล่อยตัวไปจากวัดหนานซาน!

ส่วนเหตุใดเฉินกุยซั่วถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ นั่นย่อมต้องหนีไม่พ้นตระกูลซ่ง ซ่งจิ่วหมิงมีบุตรชายสามคน คนโตคือซ่งเฉวียนเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักแคว้นเยี่ยน ซ่งซูบุตรชายคนที่สามอยู่ที่บ้าน แล้วก็ยังมีบุตรชายคนรองซ่งหลง ยามนี้เป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูตที่แคว้นเยี่ยนส่งมาประจำอยู่ในแคว้นจ้าว

ภายในแคว้นจ้าว ผู้ว่าการมณฑลจินโจวก็นับว่าเป็นคนประเภทที่ตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่เชื่อฟังคำสั่งของราชสำนักเช่นเดียวกัน คนประเภทนี้หากอยู่ในแคว้นศัตรู แคว้นเยี่ยนย่อมยินดีคบหาเจรจา นึกอยากจะให้เจ้าศักดินาในเขตต่างๆ ของแคว้นจ้าวล้วนเป็นเช่นนี้กันหมด สำหรับคนประเภทนี้แล้ว แคว้นเยี่ยนอยากจะชักจูงมาเป็นพวกใจแทบขาด เมื่อไห่หรูเยวี่ยจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบสี่สิบปีทั้งที ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการทูตแห่งแคว้นเยี่ยน มีหรือที่เขาจะยอมพลาดโอกาสในการพบปะพูดคุยไปได้?

ไม่ว่าระหว่างตระกูลซ่งกับหนิวโหย่วเต้าจะมีบุญคุณความแค้นอันใดอยู่ แต่ตระกูลซ่งนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญที่ปกป้องรักษาราชวงศ์ ความมั่งคั่งรุ่งเรืองในตระกูลล้วนขึ้นอยู่กับองค์ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยน พวกเขาย่อมต้องคาดหวังให้แคว้นเยี่ยนยิ่งใหญ่ ดังนั้นซ่งหลงจึงเดินทางมาด้วยตัวเอง แต่มิได้มาอวยพรวันเกิดให้ไห่หรูเยวี่ยในฐานะมารดาของผู้ว่าการมณฑลจินโจว หากแต่มาอวยพรวันเกิดให้นางในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นจ้าว เดิมทีไห่หรูเยวี่ยก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้แคว้นจ้าวองค์ปัจจุบันอยู่แล้ว การบอกว่าจะมาถวายพระพรให้แก่องค์หญิง ในทางการทูตแล้วย่อมมิใช่เรื่องผิดอันใดแม้แต่น้อย!

ส่วนเฉินกุยซั่วหลังจากที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เอาเขาแล้ว เขาย่อมต้องมาพึ่งพิงตระกูลซ่ง อันที่จริงเขาก็นับว่าเป็นคนของตระกูลซ่งมานานแล้ว ตระกูลซ่งไม่ได้ผิดคำพูดเรื่องอนาคตของเขาที่เคยให้สัญญาเอาไว้ แม้นจะไม่ถือว่าเป็นอนาคตที่ดีก็ตาม ตอนที่ตระกูลซ่งส่งเฉินกุยซั่วมายังแคว้นจ้าวเพื่อติดตามบุตรชายคนรองของตระกูลซ่ง ตอนนั้นตระกูลซ่งยังไม่ได้แตกหักกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง

เฉินกุยซั่วเฝ้าอยู่หน้าประตูหอกิ่งก้อย ส่วนซ่งหลงอยู่ด้านในหอกิ่งก้อย กำลังมองหาว่ามีสิ่งใดเหมาะสำหรับเพิ่มเข้าไปในรายการของขวัญที่จะเอาไปอวยพรหรือไม่

ทำไมเจ้านี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้? หัวใจหนิวโหย่วเต้าเต้นแรงขึ้นมา ต่อให้ฝันอยู่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอเฉินกุยซั่วที่นี่ได้

ก็เหมือนอย่างที่เขาเคยพูดกับหยวนกังเอาไว้ก่อนที่จะออกมาจากหมู่บ้านในภูเขาแห่งนั้น เขากังวลว่าจะถูกศัตรูจับตามองตอนอยู่ในอำเภอชางหลู ศัตรูที่พูดถึงหลักๆ แล้วก็หมายถึงตระกูลซ่ง หลังออกจากหมู่บ้านฝ่าข้ามขุนเขามาที่นี่ เขาย่อมไม่ได้กังวลถึงเรื่องนี้อีก เพราะทางแคว้นจ้าวน่าจะไม่มีใครรู้จักเขา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขากลับมาพบเฉินกุยซั่วเข้าที่นี่ อีกทั้งยังเป็นคนของตระกูลซ่งด้วย หากปล่อยให้เฉินกุยซั่วแพร่ข่าวออกไป ทำให้ตระกูลซ่งทราบว่าเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักหยกสวรรค์แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลซ่งจะส่งคนมาไล่ล่าสังหารเขา เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่จะจัดการธุระให้ซางเฉาจงไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาก็อาจจะมีภัยถึงชีวิตไปด้วย

ภายในใจของเขาที่มักจะชอบพูดมาตลอดว่าไม่ชอบการฆ่าฟันพลันมีจิตสังหารเข้มข้นผุดขึ้นมา จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำข่าวรั่วออกไปไม่ได้เด็ดขาด!

เขาค่อยๆ เดินข้ามฝั่งไปหา

หยวนฟางเองก็แปลกใจเช่นกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาพบเฉินกุยซั่วเข้าที่นี่ เขายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต้ากับตระกูลซ่งเท่าไร ดังนั้นจึงไม่ทราบถึงอันตรายที่แฝงอยู่

เฉินกุยซั่วเองก็ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่าจะได้พบหนิวโหย่วเต้าที่นี่ ถึงแม้แววตาของหนิวโหย่วเต้าจะสงบนิ่ง แต่เขากลับรับรู้ได้ถึงจิตสังหารสายหนึ่ง จึงหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่วัดหนานซานขึ้นมา พอเห็นหนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามา เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!

ร่างกายเขาขยับขึ้นมาทันที รีบเข้าไปหลบในหอกิ่งก้อยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นซ่งหลงที่กำลังเดินเอามือไพล่หลังสำรวจสินค้าอยู่ภายในร้าน เขาก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมา ซ่งหลงมียอดฝีมือคอยติดตามคุ้มกัน เหตุใดตนต้องกลัวหนิวโหย่วเต้าด้วย?

เขารีบวิ่งเข้าไปหาซ่งหลงอย่างรวดเร็ว “คุณชายรอง หนิวโหย่วเต้าอยู่ด้านนอกขอรับ”

“หืม?” ซ่งหลงที่ดูน่าเกรงขามหันมามอง งุนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร

เฉินกุยซั่วรีบเอ่ยเตือน “หนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าที่สังหารนายน้อยซ่งเหยี่ยนชิงอยู่ด้านนอกขอรับ!”

ดวงตาของซ่งหลงพลันหรี่เล็กลงทันที โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย สองในสี่ผู้ติดตามที่อยู่ในหอกิ่งก้อยรีบตามเฉินกุยซั่วออกไปทันที

หนิวโหย่วเต้าที่เดินมาถึงด้านล่างบันไดหน้าร้านพลันหยุดฝีเท้า เฉินกุยซั่วที่เดินกลับมายังทางเข้าร้านอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มทำให้เขารับรู้ได้ถึงอันตราย พูดให้ถูกคือรับรู้ได้ถึงอันตรายที่มาจากตัวคนสองคนที่ยืนประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาของเฉินกุยซั่ว

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาแน่ใจได้ นั่นคือเฉินกุยซั่วน่าจะรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เช่นนั้นความมั่นใจของเฉินกุยซั่วมาจากไหน เพียงแค่นึกดูก็รู้แล้ว

อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หยวนฟางก็สัมผัสได้ถึงอันตรายเช่นกัน

“ศิษย์น้องหนิว ดูเหมือนพวกเราจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ เลยนะ?” เฉินกุยซั่วหัวเราะหยัน

สิ้นเสียงของเขา มือข้างหนึ่งก็สะกิดเข้าที่แขนของเขาเบาๆ เฉินกุยซั่วหันกลับไปมอง ก่อนจะรีบหลบออกไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ จากนั้นก็ชี้ไปทางหนิวโหย่วเต้าเพื่อบอกว่าคนผู้นั้นคือเป้าหมาย

ซ่งหลงเดินออกมา ยืนอยู่ตรงทางเข้าร้าน ก้มลงมองหนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ตรงด้านล่างบันได “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้าสินะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าเป็นใคร?”

ซ่งหลงก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นกัน “ลุงรองของซ่งเหยี่ยนชิง!”

หัวใจของหนิวโหย่วเต้าเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ในบรรดาผู้ติดตามของคนผู้นี้อาจจะมีผู้คุ้มกันระดับโอสถทองอยู่ก็เป็นได้

เขาเดาถูกแล้ว ข้างกายซ่งหลงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองสองคน ระดับสร้างฐานสองคนและระดับหลอมปราณสองคน

แต่ที่เขารู้สึกไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นคือเหตุใดถึงมาพบคนของตระกูลซ่งผู้นี้ที่นี่ได้?

แต่หนิวโหย่วเต้าก็มิได้ตระหนกลนลานแม้แต่น้อย ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ที่แท้ก็เป็นลุงรองของศิษย์พี่ซ่ง แซ่หนิวคิดถึงคนตระกูลซ่งยิ่งนัก ไยไม่แจ้งล่วงหน้าล่ะขอรับว่าจะมาเยือนจินโจว เจ้าบ้านอย่างข้าจะได้เตรียมต้อนรับขับสู้อย่างสุดความสามารถ!”

ซ่งหลงเอ่ยสั้นๆ “เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย”

หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการที่จวนผู้ว่าการมณฑล ทุกท่านโปรดคอยสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมารับรองทุกท่านเป็นอย่างดี!”

คำว่า ‘รับรอง’ สองพยางค์แฝงความนัยไว้อย่างลึกซึ้ง กล่าวจบพลันหันหลังไป โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย พาหยวนฟางเดินจากไปอย่างไม่เร่งร้อน

เจ้านี่กลายเป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจวแล้วอย่างนั้นหรือ? เฉินกุยซั่วตกตะลึง

ซ่งหลงที่เดิมทียืนอยู่ตรงทางเข้าด้วยสีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่งก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ไม่กล้าสั่งให้ลูกน้องลงมือ

เมื่อยังไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้ามีตำแหน่งใดอยู่ในจวนผู้ว่าการมณฑล เขาย่อมไม่กล้าผลีผลามลงมือ

แต่หลังจากนั้นก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ผู้ใดจะรู้ได้ล่ะว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือเท็จ ไหนเลยจะยอมถูกหลอกได้ง่ายๆ ซ่งหลงเอ่ยสั่งการเสียงเข้ม “ตามไป หากมิได้ไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล จงจับตัวมาให้ข้าทันที จำไว้ หากไม่จำเป็นล่ะก็ ห้ามก่อความวุ่นวายในเมืองโดยเด็ดขาด!” ไห่หรูเยวี่ยฉลองวันเกิดทั้งที หากเขามาก่อความวุ่นวายภายในเมืองคงจะไม่เหมาะสักเท่าไร อาจจะดูเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าบ้านเอาได้ ที่นี่มิใช่ที่ที่ตระกูลซ่งของเขาจะมาทำตัวเหิมเกริมได้

พอได้ยินเขาสั่งการเช่นนี้ เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยสอดขึ้นมาคล้ายอยากประจบประแจงว่า “ใต้เท้าขอรับ คนที่ติดตามอยู่ข้างหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นคือปีศาจหมีขอรับ เป็นราชาหมีขนทองใน ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ สามารถนำขนของมันมาทำเป็นอาภรณ์ปกป้องร่างกาย ดาบทวนล้วนฟันแทงไม่เข้า ใช้เป็นของขวัญอวยพรได้นะขอรับ!”

“หืม?” ซ่งหลงโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้คุ้มกันทันที

มีผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนผละออกมาจากข้างกายซ่งหลง เดินไล่ตามไปทันที เฉินกุยซั่วเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองหนึ่งคน ระดับสร้างฐานสองคน และระดับหลอมปราณหนึ่งคน

หนิวโหย่วเต้าที่พาหยวนฟางเดินออกมาก็ไม่กล้ารีบร้อนหลบหนี ด้วยเกรงว่าหากเผยทีท่าว่าคิดจะหลบหนี อีกฝ่ายอาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ เขาจึงเดินปะปนไปในฝูงชน

หยวนฟางทราบถึงเจตนาของเขา ในใจยังคงหวาดผวา เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขาตกใจกลัวจนเหงื่อตก โชคดีที่เต้าเหยี่ยตอบสนองได้รวดเร็ว มิเช่นนั้นคงยากจะรอดตัวมาได้

………………………………………………….