ตอนที่ 57 เกิดกับดับ วัฏจักรไม่สิ้นสุด (rewrite)
หนิงอี้จับแขนเสื้อที่กลายเป็นหินนั้น เขายืนตรงสุดทางเข้าสุสานจักรพรรดิ มองโซ่แสงดาราที่ทะลวงผ่านไปช้าๆ พันรอบเสาน้ำแข็งในหมอก
ทุกก้าวในสุสานจักรพรรดิมีพลังสังหาร ตนจะผ่อนคลายไม่ได้เด็ดขาด
“ผู้อาวุโส…หากท่านมีจิตวิญญาณ ช่วยปกป้องข้าให้ปลอดภัยในครั้งนี้ด้วยได้หรือไม่” หนิงอี้หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดพึมพำ “รอข้าออกจากสุสานแล้ว จะกู้ชื่อเสียงทุกอย่างกลับมาให้”
แขนเสื้อนั้นไม่โต้ตอบ
อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าซับซ้อน
คนตายไปพันกว่าปีแล้ว จะมีจิตวิญญาณได้อย่างไร
“ต้องไปแล้ว”
อู๋เต้าจื่อรู้ว่าหนิงอี้มีอารมณ์ซับซ้อน จึงเอ่ยเตือน “หากรอค่ายกลสังหารเปลี่ยนไปอีกครั้ง พอรู้สึกถึงเรา เกรงว่าคงมีปัญหาตามมาไม่น้อย”
หนิงอี้พยักหน้าแล้วไม่ลังเลอีก
สองคนโคจรคัมภีร์แสวงมังกรสมบูรณ์ เดินไปตามเส้นทางสุสานจักรพรรดิ คลำไปตามใต้ดิน ผ่านการเคลื่อนย้ายของจุดแปลกหลายจุดในจวนเขาคราม หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อไม่อาจคาดการณ์ตำแหน่งโดยละเอียดได้แล้วว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดในมิติสุสานจักรพรรดิ เป็นใต้ดินเมืองหลวงจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นชีพจรมังกรที่อื่นแล้ว
ปัญญาชนเมืองหลวงใช้ศาสตร์ฮวงจุ้ยสุสาน ยืนอยู่จุดสูงสุดใต้ฟ้าต้าสุย จุดมังกรหลับใหลที่หาให้ราชวงศ์จะต้องเป็นจุดที่มีดวงชะตาสูงสุดใต้ฟ้าแน่นอน
ผู้สืบทอดสายเลือดนี้ทั้งหมด อยากจะศึกษาสุสานจักรพรรดิต้าสุยที่ที่รวมดวงตาสูงสุดใต้ฟ้า
สุสานที่ซินแสหลายคนของราชวงศ์ต้าสุยออกแบบให้บรรพบุรุษจักรพรรดิในตอนนั้น ได้ชิงดวงชะตาของฟ้าดินหนึ่งทิศ เล่าลือว่าเพื่อให้จักรพรรดิองค์แรกสามารถหลบเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ และกลายเป็นการคงอยู่ที่เป็นอมตะในโลก
สายเลือดของราชวงศ์ต้าสุยมีอำนาจคุกคามสูงสุด และยังมีคำสาปที่แกร่งอย่างยิ่ง
ตนแบกรับสายเลือดจักรพรรดิ ก็ไม่อาจเป็นอมตะได้
ไม่รู้กี่ปีมานี้ เหล่าผู้บำเพ็ญอัจฉริยะของราชวงศ์ใช้ตัวเองเป็นตัวพิสูจน์ในจุดนี้
ไม่ว่าจะห่างจากก้าวนั้นเท่าไร แม้จะห่างแค่เอื้อม แม้จะกุมไว้ในมือ ก็ยังขาดห้านิ้วมือที่ใช้หุบ ก็ยังไม่อาจกลายเป็นการคงอยู่อมตะได้
ผู้มีพรสวรรค์อย่างจักรพรรดิไท่จง หกร้อยปีมานี้ มีการบำเพ็ญเป็นหนึ่ง ยิ่งใหญ่เกรียงไกรดั่งพยัคฆ์ หลังจากนิพพาน ก็เผชิญหน้ากับธรณีประตูอายุขัยที่เข้าใกล้มาทุกวัน ค่อยๆ ลบความตั้งใจแน่วแน่นั้นที่จะกลายเป็นอมตะ ก่อนเลือกกำเนิดบุตรมังกร รักษามรดกของราชวงศ์ไว้
“ค่ายกลสังหารที่นี่แน่นหนาจนน่าตกใจจริงๆ…”
นักบวชทำปางมือสวดคัมภีร์สองบท ยันต์เต็มในแขนเสื้อขยับไหวไปมา หลังคัมภีร์สะท้านมังกรกับคัมภีร์กังขามังกรประกบกัน เมื่อเสียงสวดดังขึ้นก็เกิดปรากฏการณ์ขึ้นรางๆ
เหมือนมังกรน้อยเยาว์วัย ขาวดำสองสี รูปลักษณ์หยินหยาง บิดไปมาในแขนเสื้อ ชี้นำเส้นทาง
“เล่าลือว่าการสร้างสุสานจักรพรรดิในตอนนั้น ได้เชิญเทพเซียนที่ยังมีชีวิตหวงสือกงแห่งหอสามวิสุทธ์สำนักเต๋ามา บุกเบิกควันไฟ สร้างสุสานจักรพรรดิ” อู๋เต้าจื่อพูดเสียงเบา “ต่อมาสุสานทุกรุ่นจะมีปรมาจารย์ที่สุดยอดที่สุดมา ดวงชะตาอาณาจักรรุ่งโรจน์คงหนีไม่พ้นควันธูปของสายเลือดนี้ ตอนนี้ราชครูใหญ่หยวนฉุนใต้เท้าบุตรสวรรค์เป็นผู้บำเพ็ญที่วางค่ายกลสุสานจักรพรรดิด้วยตนเอง”
หนิงอี้เคยได้ยินนามของหยวนฉุน ทายาททั้งสามของไท่จง ราชครูคนนั้นที่องค์รัชทายาทเลือกก็คือหยวนฉุน ราชครูในเมืองหลวงปัจจุบัน คนชราที่อยู่กับไท่จงมาสี่ร้อยปีมีฝีมือเก่งกาจ
“มิติในสุสานจักรพรรดิไม่ได้เชื่อมกัน เกรงว่านอกจากจักรพรรดิไท่จงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าสุสานจักรพรรดินี้ใหญ่เพียงใด” อู๋เต้าจื่อหรี่ตาลง สองมือสอดแขนเสื้อเข้าด้วยกัน “สุสานจักรพรรดิใต้ดินเป็นหนึ่งในมรดกที่ล้ำค่าที่สุดของจักรพรรดิต้าสุย จักรพรรดิทุกรุ่นหลับใหลอยู่ที่นี่ เล่าลือว่าจักรพรรดิองค์แรกยังไม่ตาย…แต่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลที่ไม่มีวันรั่วไหลที่หวงสือกงสร้าง หลบเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ รอวันนั้นที่จะกลายเป็นอมตะ”
หนิงอี้ก็มองจุดนี้ออกเหมือนกัน มิติของสุสานจักรพรรดิเชื่อมจากจุดแปลก ไม่ใช่แผ่นดินที่เชื่อมด้วยกัน บางครั้งต่อให้มีทางตรงหน้าก็ยังเดินไปไม่ได้ ได้แต่ใช้จุดแปลกไปยังสถานที่ต่อไป
ดีที่ตนมีขลุ่ยกระดูกกับตัว จุดแปลกทั้งหมดจึงขวางเขาไว้ไม่ได้
อู๋เต้าจื่อชำเลืองตามองหนิงอี้ทีหนึ่ง สมบัติบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มคนนี้มีความสามารถทำลายปราการมิติ ในสายการปล้นสุสาน แทบจะเป็นยอดอาวุธที่ทำให้ราบรื่นไปเสียทุกอย่าง มหาสุสานในโลก ไม่เชื่อประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ที่มีกรยักษ์พันชั่ง แต่เชื่อแค่จุดแปลกที่รวมยันต์มากมายไว้ด้วยกัน
ไม่มีใครเชื่อคนเฝ้าสุสานหลังจากตนตายไป
จุดแปลกที่ลอยอยู่ในอากาศพวกนี้ก็คือปราการหน้าสุสานเพียงหนึ่งเดียวหลังจากเจ้าของสุสานตายไป
อู๋เต้าจื่ออดกลัวขึ้นมาไม่ได้ หากตนไม่ได้เข้าสุสานจักรพรรดิมาพร้อมกับหนิงอี้ แต่เป็นคนอื่น…
เช่นนั้นหลังหลงเข้ามาในสุสานจักรพรรดิแล้ว เขาใช้วิชาชำนาญทั้งหมดก็คงไม่อาจทำลายปราการจุดแปลกนี้ได้ คงถูกขังตายอยู่ที่นี่ ต่อให้มีคัมภีร์แสวงมังกรสมบูรณ์ เห็นทางออกแต่เปิดไม่ได้ ก็ต้องถูกทรมานด้วยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกจนตาย
พอนึกถึงตรงนี้ก็กลัวขึ้นมา
“ไม่อยากเชื่อว่าในแดนเทวาเล็กของเคียงกระบี่จะเชื่อมกับสุสานจักรพรรดิ…” หนิงอี้ปลุกค่ายกลเคลื่อนย้ายทีละแห่ง ทำลายจุดแปลก สภาพแวดล้อมรอบตัวสองคนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นซากปรักหักพัง
“สุสานจักรพรรดิแห่งนี้เหมือนจะถูกทิ้งร้างแล้ว” อู๋เต้าจื่อขมวดคิ้วก่อนพูดเสียงเบา “เหตุใดถึงไม่รู้สึกถึงมรดกควันธูปเลยสักนิด แม้แต่ดวงชะตายังไม่มี…เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นรึ ยอดผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาที่มีสายเลือดราชวงศ์พาเคียงกระบี่เคลื่อนย้ายมาในมิติสุสานจักรพรรดิ ทำลายดวงชะตาโดยรอบพังหมด สุสานจักรพรรดิตรงนี้ถล่มลง อยู่แบบนี้มาเป็นร้อยเป็นพันปีก็ยังไม่มีใครสนใจ”
“เป็นไปได้สูง” หนิงอี้พยักหน้า เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “การต่อสู้ครั้งนี้ของท่านเคียงกระบี่…ดูเหมือนจะสู้ได้ทุลักทุเลมาก”
สิ่งที่ตาเนื้อเห็น สมบัติของสี่สำนักศึกษา ถูกปราณกระบี่ฟันขาด กระจัดกระจายนอกจุดแปลกที่สัมผัสไม่ได้
นัยน์ตาหนิงอี้มีความไม่เข้าใจเสี้ยวหนึ่ง
การต่อสู้มรณะครั้งนี้เหมือนว่า…เคียงกระบี่จะได้เปรียบอย่างมาก
ส่วนลึกของสุสานจักรพรรดิ ปราณกระบี่เอ่อล้นเหมือนมหาสมุทร ภายในแดนเทวาเล็กนั้น เขาชิงกระบี่ของสามสำนักศึกษามาวางไว้บนหน้าตักตน
นักกระบี่ตายได้ กระบี่หายไม่ได้ แม้แต่อาวุธประจำตัวยังถูกชิงไป เห็นได้ชัดว่าในศึกครั้งนั้น ผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษาสู้มาจนถึงสุดท้ายก็ไม่มีกำลังต่อต้านอีก
เหตุใดสุดท้ายเคียงกระบี่ถึงสิ้นชีพลง
หรือว่ายังมีศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ลึกยิ่งกว่าอีก…พอนึกถึงตรงนี้ หนิงอี้มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย เขานึกถึงค่ำคืนโลหิตของเมืองหลวง คืนนั้นที่บิดาของเด็กสาวตายไป
เค้าโครงชีวิตของท่านเผยหมินคล้ายกับเคียงกระบี่มาก
อัจฉริยะที่สุดแห่งยุคในวิถีกระบี่สองคน ตายในเมืองหลวง ตอนนั้นสิบเขาศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมเผยหมิน เทียบกับเคียงกระบี่ที่สามสำนักศึกษาร่วมมือกันสังหารแล้ว เป็นรูปแบบการสังหารที่มีการวางแผนไว้ก่อนแล้ว…ปราณกระบี่ที่นี่ สุดท้ายกลายเป็นผลงานอันยอดเยี่ยม น่าเสียดายว่าต้องจบลงด้วยแผนการร้ายและปิดล้อม
“น่าเสียดาย สวรรค์ริษยาวีรบุรุษ”
อู๋เต้าจื่อพูดพึมพำ “เดิมทีข้าหวังว่าเคียงกระบี่ท่านนี้จะเดินออกมาจากความตาย ให้ความหวังข้าได้…”
หนิงอี้ชำเลืองตามองนักบวช
แววตาของอู๋เต้าจื่อมีความเจ็บปวดวนเวียน และยังมีความเสียดาย
หากในโลกนี้มีวิธีใดที่จะจุดชีวิตคนตายขึ้นมาได้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะยอมทุกอย่างเพื่อแลกความเสียดายในตอนนั้นกลับมา
โลกนี้จะมีวิธีเช่นนี้ได้หรือ
หนิงอี้พูดนิ่งๆ “คนที่เจ้าจะคืนชีพเป็นใครกัน”
“บอกไม่ได้ๆ” อู๋เต้าจื่อมีสีหน้ามัวหมอง เขากำหมัดแน่น พูดด้วยความหดหู่นิดๆ “มีคนใหญ่คนโตที่เชื่อถือได้คนหนึ่งเคยบอกข้าว่าโลกนี้มีวิธีคืนชีพนาง…หากหาในสุสานจักรพรรดิไม่พบ ข้าคงได้แต่ไปลองดูที่ทะเลพลิกผัน…”
“คนใหญ่คนโตที่เชื่อถือได้รึ”
หนิงอี้หรี่ตาลง นึกไปถึงภูเขาม่วงที่อู๋เต้าจื่อเคยกล่าวถึง จึงถามเหมือนไม่ใส่ใจ “เจ้าภูเขาม่วงรึ”
อู๋เต้าจื่อเงียบ ผ่านไปพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบา “ภูเขาม่วงเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกวิชาต้องห้ามเกิดดับ เจ้าเดาได้ข้าก็ไม่แปลกใจ เพียงแต่ข้าตอบตกลงท่านเจ้าภูเขาคนนั้นว่าจะไม่เผยเรื่องเกิดดับแม้แต่น้อย…จิตวิญญาณของนางยังมีอยู่เล็กน้อย หากความลับสวรรค์รั่วไหล ข้าไม่อยากจะนึกถึงสิ่งที่ตามมาเลย…”
หนิงอี้ถอนหายใจเบา ไม่ถามอีก
“หนิงอี้ ระหว่างเป็นกับตาย ไม่ใช่แค่หลับตากับลืมตา” เสียงอู๋เต้าจื่อแหบแห้งเล็กๆ เขาพูดอย่างจริงจัง “มีคนหลับตาชั่วนิรันดร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตาย…แต่หากเขาลืมตาไม่ได้ เขาก็ไม่ถือว่ามีชีวิต”
หนิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น
“ข้ามีชีวิตรอดมาจากแดนบูรพาได้ ทั้งยังได้รับการชี้แนะจากเจ้าภูเขาม่วง…ก็เพราะไม่มีใครเข้าใจกว่าข้าในด้านนี้” อู๋เต้าจื่อหลุบตาลง ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “น่าเสียดาย ชะตาชีวิตต่ำทรามเหมือนมด อยากให้วันนั้นข้าตายแทนนางใจจะขาด”
เขามองหนิงอี้ อยากจะพูดแต่ก็เงียบๆ คำพูดมากมายมาอยู่ตรงริมฝีปาก ก่อนจะหยุดอีกครั้ง
หนิงอี้มองนักบวช อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นมีความเสียใจเสี้ยวหนึ่ง รู้สึกบาป และยังมีความเจ็บปวดที่คุ้นเคย…
“เป็นคนคลั่งรักคนหนึ่งเลย” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ไม่มองนักบวชอีก แต่เงยหน้ามอง “นี่เป็นจุดแปลกสุดท้ายแล้ว”
อู๋เต้าจื่อหัวเราะเหอะ
หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อยืนอยู่หน้ากำแพงหนา
จนถึงตอนนี้ถือว่าออกจากสนามรบในตอนนั้นแล้ว ปราณกระบี่โดยรอบบางลงทีละนิด กลิ่นอายพลังที่พัวพันอยู่ก็ไม่รู้สึกแล้วเช่นกัน
“นี่จะเข้าไปที่ใด” อู๋เต้าจื่อขมวดคิ้ว
“บางทีอาจจะเป็นสุสานจักรพรรดิจริงๆ” หนิงอี้ยิ้ม ก่อนพูดนิ่งๆ “ปัญญาชนที่วางจุดแปลกเฝ้าสุสานต้องคาดไม่ถึงแน่ว่า…จะมีแขกอย่างพวกเรามา”
อู๋เต้าจื่อมองผนังหินนี้ หันไปมอง ไม่มีทางให้ถอยข้างหลังแล้ว เดินมาตลอดทาง มั่นใจได้แล้วว่าที่นี่คือที่ถูกทิ้งร้างในสุสานจักรพรรดิกว้างใหญ่ การต่อสู้ของเคียงกระบี่ในตอนนั้น สู้จนเกือบทำลายที่นี่ เส้นทางกลับหาไม่พบ ได้แต่เดินหน้าไป
“เกิดกับดับ วัฏจักรไม่สิ้นสุด…” อู๋เต้าจื่อพูดพึมพำ “เราจะรอดออกไปได้หรือไม่”
หนิงอี้ไม่ตอบ เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึก
เขายื่นมือข้างหนึ่ง ฝ่ามือแนบกับผนังหิน แสงสว่างของจุดแปลกปลุกตื่นขึ้นทีละนิด
ปล่อย
“สุสานจักรพรรดิที่นี่ สุสานจักรพรรดิที่คนตายพักอย่างสงบ” หนิงอี้พูดนิ่งๆ “ดังนั้น…พวกเขาตาย พวกเราอยู่”
………………………