ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 58 ราชาที่ตายจากไป (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 58 ราชาที่ตายจากไป (rewrite)

ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง

แสงสวรรค์ตกลงมา กระเพื่อมเหมือนคลื่นมรกต เส้นแสงนับพันนับหมื่นขยับเหมือนกิ่งต้นหลิ่ว

โลงศพไม้โลงหนึ่ง

คลื่นลมถาโถม ใบไม้ปลิวไสว เศษหญ้ามากมายลอยขึ้น

แสงสว่างจ้าส่องสะท้อนทุ่งหญ้าแห่งนี้

สองคนที่ยืนอยู่บนพื้นที่กว้างโล่งที่ราบ เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ตอนนี้ดูไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม

หนิงอี้ และยังมีอู๋เต้าจื่อ สองคนมองภาพนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ต่างมองตากันและกัน เต็มไปด้วยกลิ่นอายเหลือเชื่อ

พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า…ภาพเช่นนี้จะปรากฏตรงหน้าตน

นักบวชที่กอดความคิดว่าต้องตาย เคยคิดว่าเมื่อสัมผัสจุดแปลกแล้วตนจะเจอกับภูเขาดาบทะเลเพลิง จะเป็นสายฟ้าสวรรค์พาดผ่าน จะเห็นค่ายกลสังหารมากมายผ่าลงกลางศีรษะ…แต่ตรงหน้ากลับเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่หรือ

นี่มันอะไรกัน

“ที่นี่ไม่ธรรมดา”

หนิงอี้เอ่ยเสียงแหบแห้ง

อู๋เต้าจื่อตั้งสติ ใช้คัมภีร์แสวงมังกรตรวจสอบฮวงจุ้ยและหยินหยางรอบๆ ปรากฏพบว่า…ที่นี่ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ เงยหน้าขึ้น แสงสว่างจ้าตกลงมา ไม่อาจคาดเดาการเปลี่ยนแปลง

นี่ไม่ใช่ดวงตะวันเหนือศีรษะ พวกเขาเองก็ไม่ได้อยู่บนพื้น

“คัมภีร์แสวงมังกรใช้ไม่ได้…”

“จุดแปลกก็หาไม่พบ…”

ผนึกที่นี่แกร่งจนเหนือความคาดหมาย

หนิงอี้จ้องโลงศพนั้นไกลๆ พลางเอ่ยอย่างจริงจังทีละคำ “โลงศพนั้นเป็นของใคร”

อู๋เต้าจื่อปากแห้ง ลองเดินไปหนึ่งก้าว

พลังสังหารพลันลุกขึ้น ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของหนิงอี้กับนักบวชสองคน เศษหญ้าบนที่ราบทุ่งหญ้าพลันระเบิดขึ้นลง ทันทีที่นักบวชเดินก้าวนั้นก็เหมือนได้ทำงานยอดค่ายกลสะท้านฟ้าบางอย่าง พลังสังหารทั้งหมดถาโถมเข้ามา

ทั้งทุ่งหญ้าเหมือนสันหลังมังกร มังกรยักษ์เปิดดวงตาหลับใหลขึ้น แสงสว่างบนฟ้าทั้งหมดดับลง

หลับตาปิดตา หยินหยางตัดสลับ เงามืดและแสงสว่าง

ค่ำคืนนิรันดร์แผ่เข้ามา

เหมือนกับหมอกหนา ค่ำคืนไหลหลากเข้ามาเหมือนคลื่นสมุทรตรงโลงศพนั้น

แผ่นดินสั่นไหว

จากนั้นเท้าม้าข้างหนึ่งยกขึ้นสูง ม้างามสีดำวิ่งออกมากลางหมอกดำ ในดวงตาเป็นเปลวไฟวิญญาณแดงฉาน บนหลังม้าเป็นนักรบแห้งกร้านสวมชุดเกราะสีขาวหิมะ ถือหอกยาว ชูขึ้นและปาออกไปอย่างสุดแรง

ฟิ้ว!

หอกยาวสีแดงฉานนั้นข้ามผ่านท้องนภา ตรงไปที่อู๋เต้าจื่อ

นักบวชหน้าเปลี่ยนสีไป ยกแขนเสื้อใหญ่ขึ้น ตราเวทสีทองพุ่งออกไป ขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศไม่หยุด ชนกับหอกยาวนั้น ก่อนทั้งสองจะแตกกระจาย เกิดพายุขึ้น

ความเร็วของหมอกดำช้าลง หมุนม้วนทุ่งหญ้าไปมากกว่าครึ่งแล้ว

ผีดิบแห้งกร้านที่ขี่บนหลังม้าเหยียบหมอกดำออกมาช้าๆ บังคับบังเหียนหยุดม้า ดวงตาวาววับ จ้องหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ ตรงหน้าอกแห้งยุบลงไปช้าๆ เว้าเป็นเส้นโค้งน่าเหลือเชื่อ เงยหน้าขึ้น แผดเสียงคำรามแหลมเล็ก

อู๋เต้าจื่อมองไปรอบๆ หน้าขาวซีด

นักบวชพูดงึมงำ “มารดาเถอะ…มารดาเถอะ…”

ร่างเงาสูงใหญ่สีดำก้าวออกมาจากหมอกดำนั้นช้าๆ ทีละร่าง เสียงดังสนั่นฟ้าดินก่อนหน้านี้เป็นการพุ่งเข้ามาของม้านับพันนับหมื่น ร่างเงาทหารเงามืดขี่ม้าพากันออกมาจากหมอกดำอย่างไม่รีบร้อน แผ่ร่างใต้ยามราตรีนิรันดร์ นี่คือการคืนชีพครั้งแรกในกาลเวลายาวนานของพวกเขา

ดวงตาของทหารม้าเงามืด จับจ้องผู้บุกรุกสุสานจักรพรรดิสองคน

หนิงอี้แกะผ้าดำที่พันพินิจเหมันต์แล้ว

เขาจับกระบี่ยาวเงียบๆ

ทหารเงามืดผ่านทาง…นี่เป็นปรากฏการณ์ใหญ่หลายอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้ามที่สุดในสุสาน หากเจอเข้า มีเพียงถอย หากไม่มีสิ่งมงคลที่บุกเบิกแสงสว่างหรือสมบัติวิเศษที่ใช้ปราบทหารเงามืด และหากหลบไม่ทัน ถูกปราณหยินกัดกินก็จะไม่รอด

ตอนนี้ทหารเงามืดพวกนี้ดูไม่ได้จะผ่านทางนี้เลย

แต่วางไว้ให้พุ่งเข้ามาหาตน

นี่คือค่ายกลสุสานที่อันตรายและเหี้ยมโหดกว่าทหารเงามืดผ่านทาง

หนิงอี้มองทางนั้นของหมอกดำ โลงศพนั้นนอนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงกลางทุ่งหญ้า เศษหญ้าทั้งหมดถูกปราณหยินกัดกินจนขาวซีด แทบจะเหือดแห้ง ปลายใบหญ้าตกลง ก้มหัวคารวะไปทางนั้น…เจ้าของสุสานที่นอนในโลงศพเคยเป็นเจ้าของทั้งใต้ฟ้าต้าสุย ประชาชนทั้งหมดยอมศิโรราบ สำหรับเขาแล้วสิ่งมีชีวิตในโลกก็เหมือนเศษหญ้าในสุสานตอนนี้ หากมีคนกล้าบุกสุสานของเขา ทำลายความสงบ เช่นนั้นก็มีเพียงความตาย

ทหารเงามืดมรณะมากันมืดฟ้ามัวดิน

ผู้เข้าสุสานเขาต้องตาย

ซ้ายขวาหน้าหลังมืดมิด

ทหารเงามืดที่ก้าวออกมาจากหมอกช้าๆ สวมชุดเกราะหนัก เกราะเงาวาวขึ้นสนิม มีคราบเลือดเป็นรอยด่าง ดวงตาไม่แข็งทื่อ ดูเหมือนเปิดสติปัญญาแล้ว ทั้งยังมีสติปัญญาไม่ต่ำ

หลังนักบวชแนบชิดกับหลังของหนิงอี้

“คนนี้ก็โหดเหมือนกัน…” อู๋เต้าจื่อขนหัวลุก พูดงึมงำ “ขึ้นเหนือล่องใต้ สุสานเยอะขนาดนี้ นี่เป็นคนที่โหดที่สุดแล้ว สุสานนี้ดูเงียบสงบ กลางวันแสกๆ โลกสว่างสดใส ข้าเดินแค่ก้าวเดียว…ก็ส่งทหารเงามืดบุกมาเยอะขนาดนี้ นี่จะฆ่ากันชัดๆ!”

“….”

หนิงอี้ได้แค่เงียบ เขาเอาสองมือจับด้ามกระบี่พินิจเหมันต์แน่น ปราณในตันเถียนตกลง สองเท้าเหยียบพื้นทุ่งหญ้า เศษหญ้าข้างรองเท้าหนังลอยขึ้นจากพื้น วนเวียนชุดคลุมดำ หมุนวนเบาๆ

จักรพรรดิทุกองค์แห่งต้าสุยที่ฝังในสุสานจักรพรรดิ ไม่รู้ว่าโลงศพนั้นเป็นจักรพรรดิองค์ใด ค่ายกลสังหารนี้พุ่งเข้ามา อย่าว่าแต่ตนกับอู๋เต้าจื่อเลย ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตระดับราชันดาราก็ไม่อาจต้านไหว

อู๋เต้าจื่อชิดหนิงอี้ เสียงสั่นๆ พูดด้วยความโกรธ “ตราสะท้านฟ้าระดับแปดของข้าปาไปยังแตกเป็นเสี่ยงๆ ทหารเงามืดพวกนี้เป็นผู้บำเพ็ญที่ฝังไปพร้อมกับเขารึ ดูจ้องข้าสิ อยากจะกินเราใจจะขาดแล้ว”

หนิงอี้จับพินิจเหมันต์แน่น จ้องหมอกดำไกลๆ เงียบๆ ไม่พูดจา ทหารเงามืดขี่หลังม้าทยอยกันมา ตัวทะลวงหมอกมาช้าๆ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ จ้องตากับหนิงอี้และอู๋เต้าจื่อในระยะห่างช่วงสั้นๆ

หลายร้อยตน

เป็นพันตน

หรือเป็นหมื่นตน

หมอกดำคลุมเมือง เมืองยังจะถล่ม

ทหารเงามืดพวกนี้หยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นมีธงใหญ่ที่ชูสูงมา หมอกดำท่วมฟ้า ปักลงพื้นอย่างแรง ชักสองดาบข้างหลัง จากนั้นเริ่มพุ่งเข้ามา…

สี่ด้านแปดทิศ

ฟ้าดินสั่นสะเทือน

หนิงอี้ได้สัมผัสความรู้สึกอยู่ใจกลางสนามรบเป็นครั้งแรก ฟ้าดินมืดครึ้ม หอกยาวนับไม่ถ้วนปาเข้ามา ทันทีที่ปลายหอกมืดฟ้ามัวดินปาออกมาก็ลอยขึ้นฟ้า หยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถาโถมลงมาเหมือนไข่มุกเล็กใหญ่ตกลงบนถาดหยก เสียงเยื่อแก้วหูระเบิดกดดันจนหนิงอี้แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น

อู๋เต้าจื่อแผดเสียงตะโกน ถูกเสียงทะลวงอากาศดังฟิ้วๆๆ กดเข้ามา นักบวชโบกชุดคลุมใหญ่ ในชุดคลุมหยาบขาดวิ่นนั้นมีแสงสีทองมากมายพุ่งออกมา

หนิงอี้ใช้สองมือปักกระบี่ เบิกตาโต มองอู๋เต้าจื่อด้วยความตื่นตกใจ

ตราสะท้านฟ้าระดับแปดก่อนหน้านี้ สมบัติภูเขาวิญญาณที่ปะทะกับผู้ฝึกหลอมกายขอบเขตที่แปดได้ ตอนนี้อู๋เต้าจื่อโยนออกไปเหมือนขนวัว พาพลังวิญญาณแสงดาราของนักบวชพุ่งออกไป ก่อนขยายใหญ่ขึ้นและปะทะกับฝนหอก ขยายออกกลางอากาศ ท่ามกลางเสียงสมบัติวิเศษแตกกระจายดังสนั่น แสงดารามากมายระเบิดเหนือศีรษะสองคน เหมือนเกิดพายุฝนตกลงมา แต่กลับไม่โดนหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ เม็ดฝนแสงดาราตกลงพื้น เด้งขึ้น กางเป็นปราการเดิมขนาดจั้งกว่ารอบตัวสองคน

นักบวชมีสมบัติวิเศษมากขนาดนี้เชียว

“หนิงอี้! สมบัติเจ้าล่ะ!”

อู๋เต้าจื่อทำหน้าถมึงทึง เขาใช้กำลังคนเดียวต้านการบุกโจมตีของทหารเงามืด นี่เพิ่งจะเป็นการปาหอกครั้งแรก ต่อไปต่างหากคือช่วงเวลาที่ยากจะทนได้

นักบวชหันมาตะโกนเสียงดัง “หาจุดแปลกไม่พบ เราก็ต้องตายกันที่นี่!”

หนิงอี้หน้าซีดขาว หน้าผากเขามีแต่เหงื่อ พยายามคาดการณ์สุดชีวิต

ยันต์คัมภีร์แสวงมังกรรอบชุดคลุมดำลอยไปถึงที่สุด สมบัติสูงสุดของศาสตร์ฮวงจุ้ย ไร้ผลอย่างแท้จริงในสุสานแห่งนี้ ปรมาจารย์ที่ออกแบบสุสานนี้เหมือนจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว จึงซ่อนจุดแปลกไว้ดียิ่ง!

ให้แขกทุกคน…มาได้แต่กลับไปไม่ได้!

หนิงอี้มีที่ราบกระดูก แต่หากหาจุดแปลกไม่พบก็ต้องตายที่นี่!

เขาอยากจะหาทางออกสุดชีวิต…

หรือหาวิธีที่ให้ตนรอดปลอดภัย…

ยันต์อำพรางของเด็กสาวไม่ได้ผล ที่ราบกระดูกก็ไม่ได้ผล

ตนยังมีวิธีใดอีก

หนิงอี้หลับตาลง เสียงทั้งหมดค่อยๆ ไกลออกไป

…..

ม้าดำเหมือนคลื่นลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ พลังชั่วร้ายรวมกันข้างหูอู๋เต้าจื่อ ภูเขาร่ำไห้ทะเลกรีดร้อง นักบวชหน้าซีดขาว เหมือนตกลงมาในนรกไร้ขอบเขต ผิวหนังมีเลือดซึมออกมา มีเส้นเลือดแสงสีทองจางๆ ลอยขึ้นมาเต็มไปหมด ซึมผ่านชุดคลุมหยาบ ทำให้นักบวชที่กางสองแขนดูเหมือนพระพุทธองค์นิพพาน

รูปลักษณ์ถมึงทึง

ม้าเหล็กเหลือคนานับควงดาบยาว เริ่มห้อวิ่งมาจากทุ่งหญ้าห่างไปหลายพันจั้ง

กลางคลื่นดำ มีหลายร่างเงาที่เด่นตาที่สุด รวดเร็วปานสายฟ้า ทหารเงามืดก่อนหน้านี้ไม่รีบร้อนบุก ก็เพราะรอคำสั่งจากหลายร่างเงานี้

ยอดขุนพลหลายคนที่นำมา ต่อให้ตายไปหลายปีก็ยังคงสีหน้าในตอนนั้น ช่วงที่ก้าวออกจากหมอกเงามืด เกราะนรกบนตัวเปิดปิดช้าๆ ตามลมหายใจ เกล็ดสามหมื่นหกพันชิ้นมีขนาดเท่ากำปั้นทารก เหมือนคืนชีพขึ้นมา

ขุนพลใหญ่พวกนั้นถือดาบยาว ควบบนหลังม้า พุ่งมาตามม้า ปลุกกลิ่นอายมรณะในตัว สีหน้าเฉยชาไม่เหมือนคนตาย เพียงแค่ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่ใบหน้ากลับขาว เส้นผมยาวสีดำสะบัดไปมาไม่หยุดตามการโคลงเคลงบนหลังม้า

ในนั้นมียอดขุนพลที่มีเอกลักษณ์นุ่มนวลอย่างยิ่ง เอียงตัวช้าๆ ง้างคันศร เพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยก็ยิงธนูออกไปอย่างไม่ลังเล

เส้นสีดำสายหนึ่งขยับวูบผ่านกลางฟ้าดิน

ง่ายดาย แต่กลับเหมือนค้อนหนักฟาดลงมา!

เสียงฟิ้วดังขึ้น ปราการนั้นที่อู๋เต้าจื่อกางไว้ถูกทะลวงในพริบตา ม่านตาเขาหรี่แคบลง ทั้งตัวถูกแรงมหาศาลกระแทกใส่ ผู้หลอมกายที่มีกายและจิตเปราะบางเหมือนกับกระดาษ ดอกบัวที่ซ้อนทับกันหลายชั้นขยายออกบนบ่า นักบวชที่ท่องในสุสานสั่งสมสมบัติติดตัวมาไม่รู้เท่าไรร้องออกมาทีหนึ่ง แทบจะใช้สมบัติทั้งหมด ธงเวทโถทองและยันต์ ปาออกไปไม่หยุด แต่ก็ระเบิดออกทั้งหมดภายใต้ธนูดอกนี้

สุดท้ายธนูดอกนั้นลอยอยู่ตรงบ่าชุดคลุมหยาบนักบวช ถูกโถทองที่เต็มไปด้วยแสงพุทธกันไว้ ก่อนระเบิดกลางอากาศ ลูกธนูนี้ไม่ได้สังหารคน แต่ปราการที่กันไว้เหนือหัวสองคนกลับถูกกระเทือนจากในไปสู่นอกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

นักบวชกระแทกใส่ตัวหนิงอี้ กระอักเลือดออกมา สภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง

เขาสิ้นหวังนิดๆ แล้ว

เงยหน้าขึ้น

หอกเต็มฟ้ากำลังตกลงมาราวฝน

ยอดขุนพลที่ควบมุ่งหน้ามาไกลๆ คนนั้น ง้างคันศรบนหลังม้าโคลงเคลงอีกครั้ง ขึ้นธนู

……

บนทุ่งหญ้า

เด็กหนุ่มคนหนึ่งลืมตาขึ้น

หน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ในช่วงสุดท้ายนี้ได้เคลื่อนไหวตามความคิด…เปิดกระเป๋าเอว นำของชิ้นหนึ่งออกมา

เป็นหญ้าแห้งต้นหนึ่ง

หญ้าแห้งที่ดูสาก และแห้งมาก

…………………….