ตอนที่ 1

Dungeon Defence

คุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร?

[Yes] [No]

“เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?”

“ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย”

“น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก”

รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ

มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา

ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมือง

อีกฝ่ายหนึ่งที่นั่งอยู่เป็นชายผู้ดำมืด ปกปิดตัวด้วยผ้าคลุมและเสื้อผ้าที่ดำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากจะให้บรรยาย ก็มิอาจจะบรรยายไปได้มากไปกว่าความมืดมิด ที่กำลังทำในสิ่งที่ขัดหูขัดตาอย่างการค่อย ๆ เด็ดกลีบของดอกกุหลาบออกทีละกลีบทีละกลีบและปล่อยให้มันร่วงหล่นลงสู่พื้น สร้างความรู้สึกอัปมงคลให้แก่ทุกคนที่พบเห็น

“เจ้าเคยมีโอกาสที่จะขอยอมแพ้”

“เรายอมรับเรื่องนี้”

“ทั้งหมดสี่ครั้ง”

เขาพูดต่อ

“ข้าเคยส่งทูตมามอบโอกาสให้เจ้ายอมแพ้ สี่ครั้ง

แต่ทุกครั้งเจ้าก็ปาดคอทูตของข้าแล้วส่งศพกลับมา

มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ขอเปิดอกบอกว่า

ข้าอยากจะตัดหัวอันงดงามของเจ้ามาเสียบประจานบนปลายหอก”

เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเสียจนหากมีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องมาได้ยินเข้าล่ะก็ ก็คงนึกว่าเขากำลังพูดเรื่องสภาพอากาศทั่วไป

แม้บทสนทนาของพวกเขาและเธอจะฟังดูปกติแค่ไหนก็ตาม แต่หากเพียงเหลือบไปมองด้านข้างเพียงสักเล็กน้อย ไม่ว่าผู้ใครก็ย่อมรู้สึกถึงความไม่ปกติ เพราะตั้งแต่ก็อบลินไปจนถึงออรค์และไปสิ้นสุดที่ออเกอร์ เหล่ามอนสเตอร์อันใหญ่โตพวกนี้วางกำลังคุ้มกันฝ่ายชายโดยไม่เหลือช่องว่างให้ฉกฉวยแม้แต่น้อย เพียงแค่ชายผู้นี้ออกคำสั่ง พวกมันก็พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทั้งห้าพันคนที่มารวมตัวในที่แห่งนี้ทันที

‘ทั้งที่ดูเหมือนเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ แต่กลับส่งแรงกดดันออกมาได้ถึงเพียงนี้…’

สาวขุนนางได้เพียงแต่กลืนน้ำลาย เพราะเธอกำลังแบกรับ หน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องประชาชนเอาไว้

‘ที่ว่าอยากจะตัดหัวเราไปเสียไว้บนหอก นี่เขาพูดจริงหรือแค่จะขู่กันแน่? หรือที่จริงแล้วก็แค่คิดจะทดสอบเรา…?’

คริสเตียน ลูอิส วอน โวลฟัสบรูค

วีรสตรีที่รู้จักกันในชื่อ ‘ไข่มุกแดนเหนือ’ ของจักรวรรดิ

เริ่มก่อการกบฎขึ้นภายในกองทัพจอมมาร อาศัยโอกาสที่ประชาชนในจักรวรรดิ์ยังไม่ยอมรับการปกครองของปีศาจดีเพราะเพิ่งเข้ามาปกครองเพียงครึ่งปี เธอในตอนนั้นดีดลูกคิดดูแล้วเธอคิดว่าโอกาสก่อกบฎสำเร็จนั้นมีสูง

เพียงแต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับชิงเคลื่อนไหวก่อนใคร

เพียงไม่กี่วัน การติดต่อสื่อสารระหว่างเมืองต่าง ๆ ถูกตัดขาด เส้นทางส่งเสบียงถูกปล้นชิง ป้อมปราการถูกยึด กว่าเธอจะตั้งหลักติด อีกสี่เดือนต่อมาเมืองของเธอก็ถูกตีแตกแล้ว

‘นี่น่ะหรือจอมมาร…’

เธอได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง

หนึ่งในสมาชิกทั้ง 72 ตน ที่ปกครองปีศาจทั้งมวล

เจ้าแห่งการแปรธาตุปลอมและศิลปะแห่งการหลอกลวงทั้งปวง

นักแสดงในหมู่นักแสดง

ผู้ถูกยกย่องว่าเป็นจอมมารผู้มีหลากหลายหน้า

ดันทาเลี่ยน

จอมมารดันทาเลี่ยน

คือนามของชายผู้นี้

ตัวของเธอสั่นด้วยความหวาดกลัว

‘ถ้าเราผิดพลาดอีกแม้เพียงก้าวเดียวก็คงต้องจบชีวิตลงที่นี่…!’

เพื่อที่จะสะกดสองขาที่กำลังสั่นไม่หยุด เธอหวนนึกถึงคำสั่งเสียสุดท้ายของของบิดา ‘จงทำตัวสง่างามอยู่เสมอ’ ใช่แล้ว นี่แหละคือเวลาที่จะต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นขุนนางและตอบสนองอย่างกล้าหาญ

‘ถ้าถึงคราวจำเป็น เราก็ยังสามารถใช้ร่างกายของเราเป็นเครื่องต่อรองได้’

ข่าวลือที่ว่าจอมมารข้างหน้าเธอนั้นมักมากในกามเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้

ถึงแม้เธอจะไม่เคยโอ้อวด แต่เธอเองก็มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่พอสมควร

ถ้าเพื่อปกป้องชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแล้ว ถึงต้องลดตัวไปเป็นทาสบำเรอกามเธอก็จะทำ

เธอได้ตัดสินใจแล้ว

“โอ ท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่-”

“โทษทีนะ แต่ช่วยอย่าเรียกข้าแบบนั้นได้ไหม?”

เขาพูดขัด ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการรังเกียจอย่างชัดเจน

“ไอ้ ‘โอ ท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่’ ที่เธอพูดมาน่ะ ทางนี้แค่ได้ยินก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนแทบอยากจะอ๊วกแล้ว ไอ้คำเยินยอแบบนั้นน่ะ แค่ได้ยินหูข้าก็แทบจะละลายจนหลุดออกมาซะให้ได้แล้ว คิดดูสิ แค่ทวีปนี้ทวีปเดียวนี้ก็มีจอมมารอย่างข้ามากกว่า 50 ตนแล้ว ใช่ว่าจะมีแต่ข้าคนเดียวที่เป็น ‘จอมมารผู้ยิ่งใหญ่’ ที่ไหนล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น… เราผู้นี้ควรจะเรียกฝ่าบาทว่าอะไร…?”

“ก็เรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ นั่นแหละ”

เธอพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาท เราผู้นี้ขออนุญาตทูลบอกท่านถึงสาเหตุ 3 ประการด้วยกันที่ท่านควรไว้ชีวิตเราได้หรือไม่?”

“อย่างนั้นหรือ? งั้นข้าจะรับฟังสักข้อหนึ่งก็แล้วกัน”

เขาเด็ดกลีบดอกไม้ออกมากลีบหนึ่งแล้วปล่อยมันร่วงลงพื้นอย่างช้า ๆ

“พูดสิ ข้าไม่ได้มีความอดทนมากนักหรอกนะ”

“…!”

ความรู้สึกถึงความหนาวสะท้านที่กำลังแล่นไปตามหลังของเธอ ทั้งที่ชายคนนี้ไม่ได้เหลือบมองเธอด้วยเลยแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกราวกับว่ามีดวงตาที่มองไม่เห็นนับร้อยดวงกำลังจ้องมองลงมายังตัวเธอ

‘ระ…เรา ต้องรู้สึกไปเองแน่ ๆ’

ข้างในปากของเธอแห้งผากไปหมด

‘ไม่มีอะไรทั้งนั้น เราแค่รู้สึกหลอนไปเองเท่านั้นแหละ’

เธอได้แต่นึกถึงคำสอนของปราชญ์ที่ถ่ายทอดต่อกันมาในตระกูลของเธอ

‘โอ ลูกหลานเอ๋ย อย่าได้เคารพความฉ้อฉลเพราะได้เติบใหญ่ อย่าได้หมางเมินความยุติธรรมเพราะความเยาว์’

ราวกับคนที่เดินอยู่กลางเส้นทางบนภูเขาอันมืดมิด โดยมีเพียงคบไฟชั้นเลวนำทาง คริสเตียน ลูอิส สามารถรวบรวมความกล้าเพียงพอที่จะพูดออกไปได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยการอาศัยความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลเธอ

“…ยังมีอีกหกเมืองที่ยังให้การสนับสนุนการก่อกบฎครั้งนี้ ซึ่งหากฝ่าบาทจะปราบปรามให้หมดล่ะก็ คงจะต้องเสียทั้งเวลาและกำลังพลไปมหาศาลเป็นแน่”

เขายักไหล่เป็นการตอบรับ

“ใช่แล้ว แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาข้าเองก็รู้สึกคิดอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาแล้วสิ”

“แต่ฝ่าบาทสามารถที่จะสยบเมืองที่เหลือด้วยความเมตตาแทนการใช้กำลังได้ ขอเพียงฝ่าแสดงความเมตตาและยกโทษให้กับเราล่ะก็ เมืองอื่น ๆ ก็จะเข้ามาขอยอมแพ้ไปเอง ในทางกลับกันหากฝ่าบาทปฎิบัติต่อเราอย่างโหดเหี้ยม…”

“ก็จะรู้สึกกลัวที่อาจจะถูกปฎิบัติแบบเดียวกัน แล้วก็จะแข็งข้อหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

เขาชิงพูดตัดหน้าเธอ

“เจ้าตั้งใจจะบอกแบบนี้ใช่ไหม?”

“ค่ะฝ่าบาท”

เขาคนนี้เข้าใจได้อย่างรวดเร็วอย่างที่เธอไว้คิดจริง ๆ

เธอเริ่มจะมองเห็นความหวังขึ้นมาร่ำไรแล้ว

ชายที่อยู่ข้างหน้าเธอไม่ได้เป็นแค่จอมมารที่เหี้ยมโหด แต่เป็นพวกที่ชอบใช้มันสมองด้วย สรุปก็คือ เขาเข้าใจคำพูดที่เธอต้องการจะสื่อ ความหวังที่เธอจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปยังไม่ได้เป็นศูนย์ซะทีเดียว เธอเริ่มรู้สึกหายกลัวขึ้นมาแล้ว

จากนั้นก็ไม่มีซุ่มเสียงใด ๆ อีก

ก็จะมีแต่เพียงเขาที่ยังเด็ดกลีบดอกกุหลาบต่อไปจนหมดดอก จากนั้นก็หยิบดอกใหม่ขึ้นมาและกระชากกลีบบนดออกทิ้งทั้งหมดโดยปราศจากคำพูดใด ๆ มีเพียงกลีบกุหลาบสีแดงที่ฟุ้งกระจายออกราวกับหิมะ ก่อนที่จะร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นที่เท้าของเขา

“ถอดซะ…”

หนึ่งคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาได้ยินไปทั่วทั้งบริเวณ

คำพูดของเขาถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด

แต่เธอกลับไม่สามารถทำความเข้าใจกับสถานการณืเบื้องหน้า

นอกจากจะกระพริบตาด้วยความงุนงง

“คะ?”

“บารอนเนส วอน โวลฟัสบรูค เพราะเจ้าและความดื้นรั้นของเจ้าจึงทำให้เกิดการกบฎครั้งนี้ขึ้นมา และผลลัพท์นั้น ก็มีประชาชนมากกว่าสองพันคนที่ต้องเสียชีวิตไป แต่สองพันที่ตายไปนั้นมันหาใช่คนของข้าไม่ ดังนั้นจะเป็นสองพันหรือสองหมื่นจริง ๆ ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ว่า….”

เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ทำให้เธอมีโอกาสได้สบตากับเขาเป็นครั้งแรก

ดวงตาดำคู่นั้นราวกับว่ากำลังมองทะลุเข้าไปยังก้นบึงของหัวใจเธอ

“…คนที่ต้องตายไปกลับไม่ใช่เจ้า แต่เป็นประชาชนสองพันคนที่เป็นคนของเจ้า ทั้งที่ในโลกนี้ คนที่จะสามารถรับผิดชอบชีวิตของพวกเขาที่ต้องตายไปก็มีแต่เจ้าเท่านั้น”

เขาถอนหายใจ

“แต่ไม่กี่นาทีมานี้เจ้ากลับขอร้องข้าให้ไว้ชีวิตเจ้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรทำ สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือ การขอร้องชีวิตให้กับประชนชนของเจ้าที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่ร้องขอชีวิตตัวเจ้าเอง นี่ต่างหากการที่เรียกว่าการแสดงรับผิดชอบ

“ฝะ…ฝ่าบาท เราผู้นี้มิได้…”

“บารอนเนส คริสเตียน ลูอิส วอน โวลฟัสบรูค เบื้องหน้าเจ้าเป็นผู้หญิงผู้มีจิตใจเมตตาและงดงาม แต่เบื้องลึกแล้วเจ้ากลับมีนิสัยต่ำช้า ดังนั้นข้าขอตัดสินให้มอบความตายอันน่าอับอายให้แก่เจ้า

ทันทีที่เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้

เหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดในที่นั้นก็ชูอาวุธของตัวเองขึ้นมา ประชาชนต่างร้องระงมและถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ

และแล้วคำสั่งตายของจอมมารก็ตกลงที่ใจกลางของพวกเขา

“เจ้าจะต้องถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ ต้องถูกกระทำการเหยียดหยามด้วยทหารของข้า ต่อหน้าประชาชนตรงนี้ทุกคน ในนามของข้า ดันทาเลี่ยน จอมมารอันดับที่ 71 ผู้มีฉายาว่าจอมมารผู้มีหลากหลายหน้า ขอตัดสินให้ คริสเตียน ลูอิส ถูกริบฐานันดรทั้งหมดและต้องตายอย่างคนธรรดา”

“ฝ่าบาท……!?”

“ณ ที่นี่ จะต้องมีคนจำนวนมากที่จบชีวิตลง จงรู้สึกสิ้นหวังในระหว่างที่ข้าจดจำชื่อของคน ๆ หนึ่งที่ทำให้ชีวิตของคนอื่นต้องดับสูญไปในก้นบึงที่สุดของหัวใจข้าเถอะ”

แล้วเขาก็ลุกเดินออกจากเวทีไปโดยไม่สนใจอะไรอีก

การเคลื่อนไหวอย่างกระทันหันของผ้าคลุมเขาก่อให้เกิดสายลมเล็ก ๆ บนพื้น โดยเบื้องหลังของเขามี คริสเตียน ลูอิส ที่ร้องตะโกน “ฝ่าบาท!” ไม่หยุด แต่ เขาก็ไม่เคยหันกลับมาเหลียวมองอีกเลย

ในวันนี้เอง ผู้หญิงที่เคยถูกเรียกว่า “ไข่มุกแดนเหนือ” ได้ถูกประหาร

และชื่อของ จอมมารดันทาเลี่ยน ก็ได้ถูกกล่าวขานซ้ำบนทวีปแห่งนี้อีกครั้ง

จอมมารอันดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน ผู้มีหลากหลายหน้า

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

บัดซบข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันกลายเป็นแบบนี้!

คริสเตียน ลูอิส เป็นหนึ่งในตัวละครที่ได้ปรากฎตัวบนเกมในฐานะวีรสตรี บทของเธอคือคนที่คอยช่วยเหลือตัวเอกที่เป็นผู้กล้าในด้านการเมืองต่าง ๆ และฉากจบที่เธอและตัวเอกสามารถก้าวข้ามความแตกต่างของชนชั้นและแต่งงานในสุดก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟน ๆ จำนวนมาก แน่นอนว่าข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะไว้ชีวิต

ตัวจริงของเธอนั้นมันงามวิจิตรยิ่งกว่าภาพวาดในเกมเสียอีก

ราวกับนางฟ้าลงมาจุติ

งดงามจนไม่กล้ามองตรง ๆ ได้แต่เพียงก้มหน้าเอาไว้ เพราะกล้วว่าจะลุ่มหลงในความงาม เช่นเดียวกัน เหตุผลที่ข้าเอาแต่เด็ดดอกไม้ ก็เพื่อปิดซ่อนอารมณ์ที่กำลังหวั่นไหว…

[1. ประหาร]

[2. ไว้ชีวิต]

เหมือนกับทุกครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ก็จะมีกล่องตัวเลือกมีแต่ข้าเท่านั้นมีมองเห็นโผล่ขึ้นมาในสายตา แน่นอนว่าในตอนแรกก็พยายามที่จะเลือกข้อสองเพื่อไว้ชีวิตเธอและประชาชนทั้งหมด

แต่หลังจากสนทนากันไปเรื่อย ๆ อารมณ์ของมันสนทนามันก็พิลึกพิลั่นขึ้นทุกที

ต่อให้ไร้ยางอายอย่างไร ก็ไม่นึกเลยว่าจะมีคนไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้

คนตายไปสองพันคน ตั้งสองพันคน นอกจากไอ้เรื่องที่มีกล่องตัวเลือกโผล่มากับ หน้าจอสเตตัสที่แสดงให้ข้าเห็นแล้ว ที่เหลือมันก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้ายดี ๆ นี่เอง และในความเป็นจริงนี้คนสองพันคนต้องตายไปเพราะความทะเยอทะยานของคนคนเดียว

แต่ท่าทางของ คริสเตียน ลูอิส กลับไม่มีเศษเสี้ยวของความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

อารมณ์ของข้าเริ่มเย็นเยียบลงเรื่อย ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบกับหนึ่งในวีรสตรีที่เคยได้แต่มองผ่านจอคอมพิเตอร์มาจนถึงตอนนี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกตัวอีกที… ก็พบว่าได้สั่งประหารเธอด้วยวิธีการที่อับอายที่สุดไปแล้ว

ทำลงไปอีกซะแล้ว

ข้าถอนหายใจเล็ก ๆ ก่อนหันไปสั่งลูกน้อง

“เจ้ากลับไปที่เวทีแล้วตัดหัวพวกนักโทษซะ”

“จะไม่ทรมาณพวกมันให้มากกว่านี้หรือขอรับ?”

“พอแล้ว แค่นี้ก็พอที่จะเป็นตัวอย่างสำหรับเมืองอื่น ๆ แล้ว”

ลูกน้องรับคำสั่งและเดินกลับไปยังเวทีเมื่อซักครู่

จากนั้นไม่นาน

[1. ประหาร]

[2. ไว้ชีวิต]

ตัวหนังสือก็ส่องแสงสว่างไสวอยู่บนอากาศ

จากนั้นก็แตกสลายสลายเป็นผงสีขาวและกระจายตัวไป แม้จะรู้สึกว่าผงสีขาวนี้พร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ แต่พวกมันก็กลับมารวมตัวเป็นคำใหม่อีก

[การตัดสินใจที่อำมหิตไร้เมตตา!]

[ผู้คนทั้งทวีปต่างตกตะลึงในความโหดเหี้ยมของท่าน]

[ชื่อเสียงด้านลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก]

จากนั้นตัวอักษรทั้งหลายก็กระจายหายไปราวกับกลีบดอกไม้

ข้อมูลที่บอกว่าชื่อเสียงด้านลบเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกหดหู่เข้าไปอีก

“มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ไงน้า”

ทำได้แต่ถามตัวเอง

ความจริงไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลยซักนิด

ทั้งที่จุดประสงค์หลักของข้าก็แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแท้ ๆ

มันเริ่มผิดเพี้ยนตั้งแต่ตอนไหนกัน ไอ้การที่ข้าคนนี้เกิดมานี่มันไม่มีทางเป็นความผิดพลาดได้หรอก? หรือจะเป็นแบบนั้น? นั่นสินะสิ่งที่เรียกว่าชีวิตมันก็เป็นอะไรที่ไม่มีเหตุผลมาตั้งแต่แรกแล้ว…

อา… ทั้งที่อยากบีบหน่มน้มของคริสเตียนแท้ ๆ

ไม่ใช่แค่คริสเตียนคนเดียว แต่เคยอยากจะหลั่นล้ากับชีวิตไปด้วยกันกับเหล่าวีรสตรีทั้งหลายอย่าง โรเมย์ ไม่ก็ลูกสาวของจักรพรรดิ์ อลิซาเบ็ท ด้วย

พูดตามตรงแล้ว ข้าไม่เคยคิดอยากจะทำงานเลยด้วยซ้ำ

ให้ตายสิ ทำไมต้องมาเข้าสิงร่างของจอมมารด้วยนะ

จะเป็นใครก็ได้ ช่วยมาซ่อมไอ้ชีวิตพัง ๆ ของข้าทีเถอะ…

ไม่ก็ขอเวลาพักร้อนซักเดือนหนึ่งก็ยังดี…!