ตอนที่ 2

Dungeon Defence

Chapter 1 – เมื่อ 2 ปีก่อน(Part 1)

ขอเปิดอกพูดตามตรงว่า ชีวิตของผมมันจบลงไปแล้ว

แต่ถ้าจะให้พูดถึงซักเรื่องหนึ่งของชีวิตในอดีต ก็คงเป็นเรื่องของพ่อผม ชายผู้ที่เป็นขยะของแท้

มีครั้งหนึ่งที่พ่อดื่มจนเมาจากนั้นก็ไปลวนลามเด็กผู้หญิงเข้า แล้วเด็กที่ว่านี่ก็เป็นสาวมัธยมปลายซะด้วย ถึงตอนนั้นผมมัวแต่อึ้งอยู่เพราะเป็นพ่อของตัวเองก็เถอะ แต่ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องแบบนี้ยังไงก็คงจะเกิดขึ้นซักวัน

“ถ้าจะต้องไปลวนลามใครซักคน มันจำเป็นที่จะต้องเจาะจงเลือกสาวมัธยมปลายด้วยหรือ?

“แหม สาว ๆ สมัยนี้นี่โตกันไวดีจังเลยน้า”

นี่คือคำตอบที่ผมได้รับหลังจากที่ไปเจอหน้าพ่อ

ขอแก้คำพูดเมื่อสักครู่

ไม่ใช่เป็นแค่ขยะทั่วไป แต่เป็นขยะอาหารบูดเน่า

“เด็กคนนั้นอายุน้อยกว่าผมตั้ง 5 ปี”

“แค่ 5 ปีเองหรือ? นี่หรือว่าแกยังเรียนอยู่มหาลัยเนี่ย?”

พ่อของผมขมวดคิ้วเข้าหากัน

ท่าทางจริงจังสุด ๆ

“ฉันนึกว่าแกอายุ 41 ปี แล้วซะอีก”

“ถ้าพ่อมองหน้าผมดี ๆ ก็จะเห็นว่าหน้าผมยังดูเด็กอยู่เลยนะ”

“ก๊ากฮ่าฮ่า! อย่าทำให้ฉันขำสิ หน้าแกน่ะมีหนวดตั้งแต่เป็นทารกแล้วรู้มั้ย”

หนอย ถ้าจิตสังหารมันฆ่าคนได้จริง ๆ ล่ะก็

แต่แล้วสีหน้าของพ่อผมเปลี่ยนกลับมาเป็นมองผมด้วยท่าทางวิตกกังวล

“แม่ของแกโกรธจริง ๆ งั้นเหรอ?”

“แม่คนไหนล่ะครับ?”

ผมตอบกลับแกแบบโกรธหน่อย ๆ

“มีผู้หญิงอย่างน้อย ๆ ก็ 4 คนที่ผมเรียกพวกเธอว่าแม่ได้ ผมไม่ค่อยแน่ใจครับคุณพ่อกำลังหมายถึงคนไหน”

“ฉันกำลังพูดถึงแม่ของแกนั่นแหละ”

ผมถอนหายใจ

ผมจะพูดอีกครั้ง

ฮาเร็มนั้นคืออาชญากรรม

การที่มีคนรักเป็นขโยงยังไม่พอ แต่ยังไปไข่ไว้ตรงนั้นทีตรงนี้ทีอีก มันเป็นอะไรที่บัดซบที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ไอ้ตัวต้นเหตุน่ะอาจจะรู้สึกไม่เป็นไร

แต่ในฐานะลูกอย่างผมนี่สิ อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ

ขนาดอายุเลย 40 กันไปแล้วเหล่าแม่ ๆ ของผมก็ยังคงแข่งขันและทะเลาะกันเพื่อแย่งตัวพ่อผมกันอย่างดุเดือด ส่วนพ่อก็ทำตัวเรื่อย ๆ ไม่ได้ตัดสินใจเลือกใครซักคนเหมือนเคย

ผลก็คือ คนที่ตกอยู่ในอันตรายแทนก็คือเหล่าลูก ๆ

คนที่จะต้องซวยเพราะการแข่งขันระหว่างเหล่าแม่ ๆ ทั้งหลายก็คือพวกเราที่ไม่ได้เกี่ยวเลยนี่แหละ

‘ถ้าแกฉลาดกว่านี้ล่ะก็ พ่อของแกก็คงสนใจชั้นมากกว่านี้ไปแล้ว! ไม่ว่าจะยังไงแกก็ต้องสอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนให้ได้เข้าใจมั้ย!’

เข้าใจความรู้สึกที่ต้องมาทนฟังอะไรแบบนี้ทุกวันไหม ยังดีที่ผมเป็นผู้ชายสถานการณ์ของผมเลยดีกว่าคนอื่นหน่อย

แต่เหล่าน้องสาวของผมนี่สิที่น่าสงสารจริง ๆ เพื่อที่จะทำให้พ่อหันมารักแม่ของตัวเองมากขึ้นอีกแม้แต่เพียงนิดเดียว พวกเธอก็ต้องมาคอยเอาอกเอาใจพ่อในทุกโอกาสที่ทำได้

สำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องมามองเรื่องที่เกิดขึ้นพวกนี้ทั้งหมดอย่างผม ขอพูดเลยว่าระดับความประทับใจในตัวพ่อของผมน่ะมันแย่จนไม่มีแย่ไปมากกว่านี้อีก โอกาสที่จะได้ยินคำชมพ่อตัวเองออกมาจากของผมน่ะรึ ฝันไปเถอะ

“ฟังดี ๆ นะพ่อ ต่อจากนี้ผมจะค่อย ๆ พูดสิ่งที่พ่อควรทำหลังจากนี้อย่างละเอียด ที่ผ่านมาคำแนะนำของผมก็ไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังใช่มั้ยล่ะ?”

“ถูก พูดมาได้เลย ป๋าล้างหูรอรับฟังแล้ว”

“อันดับแรก พ่อต้องพยายามอยู่ในคุกนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และห้ามออกมาเด็ดขาด”

“หือ”

พ่อผมขมวดคิ้วเข้าหากัน

“นั่นออกจะเป็นคำแนะนำที่ผิดไปจากที่ป๋าคนนี้คิดเอาไว้นิดหน่อยนะ”

“อยู่ข้างในคุกไปตลอดชีวิต ไม่ออกมาจนกว่าจะตาย ถึงจะมีคำว่า ‘ปล่อยตัว’ หรืออะไรเทือกนั้นโผล่ออกก็ห้ามไปคว้ามัน จงจบชีวิตที่น่าสลดในเรือนจำนี้ซะ

“ที่ผ่านมาป๋าเชื่อว่าแกเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มาตลอด แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้ว ไอ้ลูกชาย ถามจริงเถอะว่านั่นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วเรอะ?”

“แม่ของผมกำลังพยายามฆ่าพ่อ”

เงียบ

พ่อของผมเอียงคอสงสัย

“แกกำลังบอกว่าเธอโกรธขนาดว่าอาจจะมาฆ่าป๋าก็ได้งั้นรึ?

“ไม่ครับ ความหมายตรงตามคำพูดของผม เธอกำลังพยายามฆ่าพ่ออยู่”

“ภาษาเกาหลีนี่ยากจัง… ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเลยแฮะ…”

“อ้างอิงจาก พจนานุกรมภาษาเกาหลีฉบับมาตรฐาน ที่ถูกจัดทำขึ้นโดย กระทรวงภาษาแห่งชาติ คำกริยา’ฆ่า’ มีทั้งหมด 11 ความหมาย และในความหมายทั้งหมดนั้น ผมกำลังใช้ความหมายแรกของมันอยู่ครับ; ตอนนี้แม่ของผมกำลังพยายามที่จะฆ่าพ่ออยู่”

“ป๋าขอถามได้ไหมว่าคำจำกัดความแรกมันคืออะไร?”

“เพื่อยุติหรือจบชีวิตของผู้อื่น”

“ช่างเป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งความหวังและความหวังจริง ๆ น้า…..”

พ่อของผมก้มหัวลงบนแขนทั้งสองของตัวเอง

ในที่สุดเขาก็ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว

“พ่อชอบเรียกแม่ผมด้วยคำแปลก ๆ อย่าง ‘ซึนดาเระ’ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ตอนนี้ผมขอบอกไว้เลยว่าแม่ผมน่ะเป็น ‘ยันดาเระ’ ต่างหาก จงสำนึกเสียใจที่ตัวเองไปแต่งงานกับคนที่ไม่ควรไปแต่งที่สุดของการมีเมียหลายคนเถอะ”

“แต่ตอนที่พ่อถูกสายตากระหายเลือดของแม่แกจ้องแล้วตัวของพ่อมันสั่นไปหมดเลยนะ…… นี่แหละคือเสน่ห์ของแม่แก!”

“ตายไปซะตอนนี้เลยยิ่งดี”

ผมถึงกับหลุดปากออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผมไม่เชื่อก็คือ ถ้าพระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงล่ะก็ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าผมคนนี้ก็ต้องถูกฟ้าลงทัณฑ์ไปนานแล้ว คนเลวทรามบัดซบอย่างพ่อผมนี่แหละที่ทำตัวอย่างกับเชื้อโรคติดต่อที่คอยทำให้คนใกล้ตัวสิ้นศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งผมเรียกมันว่า ‘ไวรัสขยะมนุษย์’

“ก็ตอนแรกฉันไม่รู้ด้วยซ้ำนี่นาว่านั่นเป็นสาวมัธยมปลาย ไม่สิ ฉันน่ะจับก้นคน ๆ นั้นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงรึเปล่าด้วยซ้ำ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยซักนิด”

“พ่อจะบอกว่าพ่อถลกกระโปรงของเธอขึ้นเพราะคิดว่าเธอเป็นผู้ชายงั้นหรือ? ยินดีด้วยครับพ่อ ที่ในที่สุดพ่อก็ได้มีโอกาสค้นพบรสนิยมทางเพศที่แท้จริงของตัวเองในตอนที่มีอายุขนาดนี้ นี่ถ้าพ่อค้นพบตัวเองเจอเร็วกว่านี้ซัก 25 ปีล่ะก็ โลกนี้ก็คงสงบสุขมากขึ้น หลายครอบครัวก็จะสงบร่มเย็น และชีวิตของผมก็คงราบรื่นขึ้นด้วย”

“ตอนนั้นฉันดื่ม โซจู ไป 7 ขวดแล้ว สติสตางค์มีไม่ครบเท่าไหร่หรอกนะ”

“พ่อเคยมีสติสมบูรณ์ดีด้วยหรือ?”

ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้

และพูดต่อด้วยสีหน้าบึ้งตึงระหว่างที่ก้มลงมองยังพ่อตัวเอง

“อย่าหยิบเอาเรื่องเหล้ามาพูดในศาลเด็ดขาด ถ้าศาลนำเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วยจำนวนวันที่พ่อต้องติดคุกก็คงน้อยลง แล้ววันที่พ่ออกมาจากห้องขัง แม่ของผมก็คงรอรับพร้อมกับมีดในมือ

“ไอ้ลูกรัก…”

“มีอะไรก็พูดออกมาเถอะครับ พ่อที่ผมไม่รัก”

“แกต้องตัดสินใจเลือกตัวเลือกในชีวิตของแกให้ดี ๆ นะ”

ผมส่งเสียง ฮึ ออกทางจมูก

“พอได้ยินคำนี้จากพ่อแล้ว รู้สึกว่ามันฟังดูจับใจสุด ๆ เลย”

“ใช่มั้ยล่ะ?”

“ผมจะมาเยี่ยมทุกครั้งที่มีเวลาแล้วกัน ทำตัวดี ๆ ล่ะพ่อ”

ไม่ว่าจะด้วยมุมมองจากสายตาใคร พ่อของผมก็ถูกมองว่าเป็นสามีที่ล้มเหลว

ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่จะมาปฎิเสธเรื่องนี้ได้

แต่ว่าถ้าเป็นในฐานะผู้ปกครองแล้ว ผมและพี่น้องอีก 6 คน ล้วนได้มีชีวิตที่กินดีอยู่ดี นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมมาก
ในระหว่างที่คนเรามีชีวิตอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นในฐานะสามีหรือผู้ปกครอง ตราบใดที่ทำได้ยอดเยี่ยมแม้เพียงแค่ด้านเดียวก็เถอะ ผมก็คิดว่ามันก็น่ายกย่องพอแล้ว และความคิดนี้ของผมก็ยังไม่เปลี่ยนไป

อยู่ในคุกตลอดไป

พ่อของผมยินดีที่จะทำตามคำแนะนำสุดท้ายของผม

แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

เพราะสี่วันหลังจากนั้น พ่อของผมก็หัวใจล้มเหลวและจบชีวิตลง