ตอนที่ 3

Dungeon Defence

Chapter 1 – เมื่อ 2 ปีก่อน(Part 2)

“เหนื่อยแทบตายจริง ๆ ……”

หลังจากจัดกล่องต่าง ๆ กับเฟอร์นิเจอร์เสร็จ ก็ได้เวลาทิ้งตัวนอนแผ่หลาบนเตียง

เดือนที่แล้วนี่ผมต้องเผชิญหน้ากับนรกทั้งเดือน นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ มันแย่ถึงขนาดว่าถ้ามีปีศาจตนไหนได้มาเห็นสารรูปที่ที่น่าสมเพชจนดูไม่ได้ของผมเข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นปีศาจก็เถอะ มันก็คงต้องรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจจนขนาดว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปเลยเป็นแน่

ผมค่อย ๆ นับนิ้วลงทีละนิ้ว ๆ

‘งานศพจบแล้ว อสังหาริมทรัพย์ก็จัดการเรียบร้อย มูลนิธิก็ส่งต่อแล้ว…”

จัดแจงโยนทุกอย่างที่ไม่ต้องการในชีวิตออกไปให้หมด

จากนั้นก็ถอนตัวจากกองมรดก

ทันทีที่พ่อจบชีวิตลง ผมก็ทิ้งลูกระเบิดนี้กลางวงทันที

แม่ของผมช็อคจนสลบ พี่น้องต่างแม่ก็โหวกเหวกโวยวายกันใหญ่ โดยเฉพาะน้องสาวต่างแม่คนที่สองของผม เธอถึงกับดึงขากางเกงของผมจนขาด แต่ว่ามันก็เท่านั้นแหละ เพราะความตั้งใจของผมมันมั่นคงดุจกองหิมะที่ทับถมอยู่บนยอดเขาหิมาลัย ถ้าคิดจะทำให้ผมเปลี่ยนใจให้ได้ก็ต้องมีแต่ทำให้โลกในตอนนี้มันร้อนเท่ากับในอนาคตอีก 600 ปี ข้างหน้าให้ได้ล่ะนะ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเหล่าแม่ ๆ กับพี่น้องของผมไม่มีความสามารถพอที่จะเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม 70 เท่าได้ซะด้วยสิ

‘ถ้าพี่ชายไม่ยอมทำต่อล่ะก็ พวกเราต้องพังพินาศแน่!’

‘พี่ชายงี่เง่าบ้าที่สุด’

‘จะไม่ขอเจอหรือคุยกับพี่อีกแล้ว!’

ในที่สุด หลังจากที่น้องสาวต่างแม่คนที่สองถอดใจ ผมก็หลุดพ้นเสียที

ฟู่ว

รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฎขึ้นบนหน้าผม

เพราะจากนี้ไปชีวิตของผมก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องโลกภายนอกอีก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตัวเป็นในสิ่งที่ไม่ได้เป็น ไม่จำเป็นต้องเลือกซื้อของให้เหมือนกับพวกชนชั้นสูง แต่สามารถซื้อทุกอย่างที่อยากได้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งในขณะเดียวกับที่น้อง ๆ ของผมบางคนก็ดีใจที่จะได้เป็นประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อย มีแค่น้องสาวต่างแม่คนที่สองของผมเท่านั้นแหละที่พูดออกมาว่า… ‘ต่อให้พวกเราต้องดึงหูของพี่ชาย(ผมนั่นแหละ)จนหลุดออกมา เราก็จะปล่อยให้พี่หนีไปไม่ได้นะ! ถ้าไม่มีพี่ล่ะก็ บ้านเราต้องล่มจมไม่เหลืออะไรในเวลา 6 ปีแน่!’ …ซึ่งผมเองก็รู้สึกค่อนข้างมั่นใจว่าเธอพูดถูก

“เอาล่ะ จัดการทุกอย่างเรียบร้อย จากนี้ไปก็เป็นอิสระเสรีเสียที…!”

ขอบคุณครับ พ่อ

ที่ช่วยจากไปในเวลาที่เหมาะเหม็ง

ความรู้สึกจากใจจริงของผมที่แสดงถึงความไม่เคารพอย่างยิ่ง และเป็นประโยคที่ไม่ควรอย่างที่สุดที่จะพุดกับพ่อแม่นี้ ได้ทิ้งความรู้สึกอันหนักอึ้งไว้บนมโนธรรมข้างในจิตใจผมไปถึง 1 มิลลิกรัม แต่พอคิดถึงเรื่องบัดซบมากมายที่พ่อเหลือทิ้งเอาไว้ให้ผมแล้ว ไอ้น้ำหนักของมโนธรรมที่กดทับจิตใจของผมอยู่ที่แทบจะไม่มีอยู่แล้วของผมนั้นก็หายไปเองเรียบร้อย

เพราะต่อให้ผมตายไปก็จะไม่มีวันลืมความทรงจำตอนที่พ่อใช้ลูกชายตัวเอง(ผมนี่แหละ)ต่างโล่เพื่อที่จะหลบจากมีดที่ฟันโดยแม่ผมเด็ดขาด (นี่เป็นความทรงจำอันเจ็บปวดจากช่วงตอนกลางหน้าร้อนระหว่างชั้น ประถม 2)

เมื่อคิดถี่ถ้วนทุกประการแล้ว ผมในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชนะในเกมที่เรียกว่าชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อย

เพราะตอนนี้ในสมุดธนาคารของผม มีเงินก้อนโตจำนวนมากกว่าห้าร้อยล้านวอนนอนอยู่(ราว ๆ เกือบ 16 ล้านบาท)

การที่ผมถอนตัวจากกองมรดกไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ได้เอาเงินติดกระเป๋ามาด้วย เพียงแค่นี้ผมก็สามารถสนุกสนานกับชีวิตที่เหลืออยู่ของผมได้โดยที่ไม่ต้องทำงานอีก

ใช่

ไม่ใช่ทั้งชีวิต แต่เป็นที่เหลืออยู่

ไม่ใช่การที่มีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่หมายถึงเท่าที่ชีวิตของผมยังมีเหลืออยู่ ผมตั้งใจแบบนี้จริง ๆ

ผมลุกขึ้นจากเตียง ถือพู่กันในมือ จากนั้นก็เขียนตัวหนังสือตัวโต ๆ บนกระดาษ

นี่คือ เงื่อนไขทั้งหลายที่จะนำทางผมต่อไปในอีก 50 ปีข้างหน้าของชีวิตที่เหลืออยู่

┌ ┐

  1. ไม่ทำงาน

  2. ไม่มีเพื่อน

  3. ไม่แต่งงาน

└ ┘

“…งดงามจริง ๆ”

ผมรู้สึกประทับใจกับการผลงานของตัวเองยิ่งนัก

อยากรู้ว่าเมื่อตอนที่ พีทาโกรัส ได้ค้นพบกฎของเลขาคณิตเนี่ย เขาจะรู้สึกประทับใจอย่างล้ำลึกเหมือนกับตัวผมในตอนนี้หรือเปล่า

ข้อแรก ไม่ทำงาน

เรื่องนี้มันของตายอยู่แล้ว

เคยได้ยินว่าโลกนี้มีคนบางจำพวกที่รู้สึกดีที่ได้เห็นความเหนื่อยยากของตัวเองผลิดดอกออกผล ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผมไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกวิตถารมาโซคิสพวกนั้น

ข้อสอง ไม่มีเพื่อน

ไอ้นี่ก็ของตายอีก

ในโลกนี้มันมีแต่พวกหักหลังกับพวกที่มีโอกาสที่จะหักหลังเท่านั้นแหละ มิตรภาพอะไรนั่นมันก็เป็นแค่ความเพ้อฝัน ภาพจำลอง จินตนาการ แค่นั้น จะโต้แย้งบ้าอะไรมาผมก็ไม่ฟังหรอกนะ เสียเวลาผม

ข้อสาม ไม่แต่งงาน

-ข้อนี้ล่ะคือข้อสำคัญ

พ่อของผมมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง 5 คน และจากการที่ได้ชมการแสดงดราม่าความรัก ที่มีดารานำ 6 คนแบบแสดงสดตั้งแต่ยังเด็ก ผมก็ได้ข้อสรุปที่สำคัญอย่างยิ่งยวดออกมา

ว่าการแต่งงานนั้นคือการกระทำอันวิปลาส

ไอ้ความรักที่แท้จริงอะไรนั่นทั้งหลายที่แท้ก็คือเรื่องหลอกลวงที่ห่วยแตก

ความรักก็เป็นแค่วิธีการฆาตกรรมที่อ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงเท่านั้นเอง และผลของมันก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของกับเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา

แน่นอนว่า ผู้ใหญ่ทั้งหลายในสังคมคงจะมีความเห็นที่แตกต่างไปจากผม นั่นก็ไม่เป็นไร ขอให้พอใจกับชีวิตการแต่งงานที่สดใสและสวยงามนั่นก็แล้วกัน เพียงแต่ว่า สมมุตินะ ลองสมมุติว่า วันหนึ่งคุณเกิดแยกทางกับคู่ของคุณ… แล้วลองเทียบชีวิตของคุณในตอนนั้นกับชีวิตคู่ที่ผ่านมาดูสิ ผมขอรับประกันเลยว่าจะมีแต่วันที่สดใสยิ่งกว่าเดิมรอคอยอยู่ข้างหน้าเท่านั้นแหละ ยกตัวอย่างเช่น อย่างแรกสุดก็คือความเสี่ยงที่คุณจะโดนมีดแทงจากข้างหลังมันหายไปแล้วยังไงล่ะ แค่ข้อแรกข้อเดียวนี่ก็กำไรก้อนโตแล้ว จริงไหม?

ใช่ครับ

ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย

แต่เชื่อผมเถอะว่าตอนแรกผมไม่ใช่คนแบบนี้

เดิมทีแล้ว ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาก รู้สึกว่าโลกนั้นช่างสวยงาม มโนธรรมของผมก็มีเยอะเสียจนแค่การตกปลาแม็คคาเรลขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนหัวใจมันถูกบีบจนเจ็บปวดไปหมดแล้ว พูดให้ชัดลงไปอีกก็คือผมเป็นแบบนั้นจนถึงเดือนที่แล้ว จนกระทั่งผมได้เป็นสักขีพยานในศึกระหว่างแม่ ๆ ของผมที่ทำศึก Deathmatch 1:1:1:1 กันกลางงานศพพ่อ และตอนนั้นเองที่ผมได้ทำการเปลี่ยนความฝันและความหวังของผมให้กลายเป็ยเศษขยะอย่างนอบน้อม

โลกมันก็น่าเศร้าเช่นนี้เอง ต่อให้รู้สึกหงุดหงิดยังไง ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นี่คือแหละคือความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่มีทางลดลง เรื่องที่จีนจะเป็นผู้ควบคุมเงินทุนของโลก เรื่องที่จัสติน บีเบอร์จะได้รับรางวัลโนเบลสาขางานประพันธ์ในอนาคต…… และในอนาคตอีก 122 ปี คุณก็จะตาย ผมก็จะตาย พวกเราทั้งหมดก็จะต้องตาย

โอ๊ะ ผมขอบอกเรื่องนี้กับคุณเผื่อเอาไว้เลยก็แล้วกัน ว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณน่ะ ในอนาคตมันก็จะถูกล้อหน้าของจักรยานชนแล้วก็ตายไป…… ผมรู้สึกเสียใจเหมือนกันนะที่ต้องมาบอกข่าวนี้กับคุณ แต่คุณจะทำอะไรได้ล่ะ? ก็นี่มันความจริงนี่นา

ถ้าเสียใจจนพอแล้วก็มาดื่มเบียร์กันเถอะ

เพื่อเป็นการฉลองการเริ่มต้นชีวิต ผมจึงไปที่ร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อกระป๋องเบียร์ 60 กระป๋องกลับมา

พนักงานที่ทำงานพิเศษอยู่ในร้านใช้สายตามองผมราวกับกำลังถามผมว่า ‘ขอโทษค่ะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของทางนี้ก็เถอะ แต่ใช้ชีวิตแบบนี้จะไม่เป็นไรแน่เหรอคะ?’ ผมขอบคุณในความเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งของน้องเขาแล้วก็รูดบัตรจ่ายเงินไปอย่างเท่ ๆ

ก็จะทำไมล่ะ

บัตรของผมมีเงินอยู่ในนั้นตั้งห้าร้อยล้านวอนเชียวนะ ห้าร้อยล้านวอนนี่แข็งแกร่งนะเออ!

เป็นไงล่ะ! ถ้ามีปัญหาก็พูดออกมาเลยสิ!

‘ไอ้ลูกชาย’

‘ไม่ว่าต่อไปแกจะเลือกทางเดินแบบไหน’

‘ไม่ว่าต่อไปแกจะเลือกทางเดินแบบไหน แกจะต้องเลือกให้ดีกว่าป๋า…’

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของเบียร์หรือเปล่า

ผมจึงนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกขึ้นมา

ประมาณว่าความหลังฝังใจ

ผมจึงเปิดกระป๋องเบียร์กระป๋องที่สองแล้วพูดออกมาเบา ๆ

“ผมหนีสำเร็จแล้ว พ่อ”

นั่นคือคำสุดท้ายที่ผมมีให้แก่พ่อผม

จากนั้นผมก็เอาแต่อยู่ในมุมหนึ่งของบ้านตัวเองและก็ไม่ออกมาข้างนอกอีกเลย

ลาก่อน การทำงาน

ลาก่อน โลก

ผมกำลังจะไปยังโลกอีกด้านของจอมอนิเตอร์แล้ว

ขอลาล่ะ