ตอนที่ 38

The simple life of the emperor

หลังจากหลับไปได้ไม่นานเทียนหลางก็ถูกปลุกโดยพ่อบ้านเหลา เทียนหลางขยี้ตางัวเงียพร้อมกับเอ่ยออกมา

”มีอะไรงั้นเหรอครับ พ่อบ้านเหลา”

”พวกเขาเรียกทุกคนไปประชุมน่ะ”

”ประชุม ? เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ ?”

เทียนหลางถามด้วยความสับสน พ่อบ้านเหลาก็ตอบกลับโดยทันที

”ดูเหมือนว่าบุกกาบาตนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อคืนนี้น่ะ พวกเซียนจากสำนักต่าง ๆ เลยเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อหาตัวหัวขโมย”

เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและจะตามไป เทียนหลางหัวเราะอยู่ในใจเพราะต่อให้พวกนั้นตรวจยังไงก็คงไม่เจอหัวขโมยเป็นแน่

เทียนหลางคิดจะไปเข้าร่วมการประชุมสักหน่อยเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่พวกนั้นยอมให้เทียนหลางตามมาด้วย ไม่งั้นเขาคงไม่ได้ของล้ำค่าแบบนี้มาง่าย ๆ

เทียนหลางออกมาจากเต็นท์และเดินตรงไปยังที่ประชุมซึ่งเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะจุได้ประมาณ 10-20 คนเรียกได้ว่ามันเหมือนกับบ้านหลังเล็ก ๆ เลยทีเดียว เมื่อเทียนหลางเข้ามาก็พบกับทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเคลียดไม่เว้นแม้แต่คนจากสำนักวารีพิสุทธิ์ที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอก็ยังกลายเป็นเคร่งเคลียด

เทียนหลางนั่งลงด้านข้างหลินจินทงก่อนจะเอ่ยถามเบา ๆ

”เป็นยังไงบ้างครับ ?”

”อืม… เมื่อคืนประมาณตี 2 ในช่วงเวลาที่คนจากสำนักอัคคีกำลังไปเปลี่ยนกะกับคนของสำนักอสรพิษนั้นพวกเขาก็ได้รู้ว่าดาวตกได้หายไปแล้ว ในตอนแรกพวกเราก็สงสัยคนของสำนักอสรพิษเช่นกันแต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วพวกเขานั้นไม่ได้ขโมยพวกมันไป”

”จริง ๆ แล้วคิดว่าการตามหาขโมยไม่ได้ยากนักนะครับ เพราะยังไงเจ้าก้อนหินนั่นก็ปล่อยไอความเย็นอยู่ตลอดเวลาอยู่ ดังนั้นการตามหามันก็น่าจะง่ายไม่ใช่เหรอ ?”

เขาได้เอ่ยออกไป หลินจินทงที่ได้ยินก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น

”พวกเราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเราตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ แล้วไม่เจออะไรเลยราวกับว่าอยู่ ๆ มันก็หายไปเองเฉย ๆ หยั่งไงหยั่งงั้น”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันกลับไปฟังเซียนจากสำนักอัคคีที่กำลังพูดอยู่

”ฉันเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ธรรมดา อาจเป็นการร่วมมือจากหลายฝ่ายและอาจจะมีพวกสมาคมเงามามีส่วนอีกด้วย”

”คุณแน่ใจงั้นเหรอ ? คุณก็รู้อยู่แล้วว่าในหมู่พวกเรานั้นไม่มีใครที่จะไปร่วมมือกับพวกสมาคมเงาอย่างแน่นอน เพราะคุณก็รู้ว่าพวกเรานั้นต่อสู้กับสมาคมเงามาหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีทางที่จะสร้างความร่วมมือได้เพราะหินก้อนเล็ก ๆ หรอกนะ”

เซียนจากสำนักวารีพิสุทธิ์แย้งขึ้น และทุกคนก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วยแต่ถึงอย่างงั้นเซียนจากสำนักอัคคีก็ยังพูดต่อ

”แต่ทุกคนก็รู้ว่าหินอุกกาบาตนั้นมีค่าขนาดไหน มันสามารถหลอมมาสร้างอาวุธ หรือชุดเกราะชั้นยอดได้เลยจึงเป็นธรรมดาที่จะลืมความแค้นชั่วคราวและหันมาร่วมมือกัน แล้วอีกอย่างเมื่อพวกเราตรวจสอบแล้วก็ไม่พบร่องรอยการขนย้ายเลยแม้แต่น้อยและอย่างที่พวกเรารู้ว่าคนจากสมาคมเงานั้นมีเทคนิคลึกลับมากมายที่ยังคงปิดซ่อนอยู่ ไม่แน่อาจจะเป็นฝีมือของหนึ่งในหัวกะทิของพวกนั้นก็เป็นได้”

ข้อโต้แย้งของเซียนจากสำนักอัคคีนั้นฟังดูเหตุผล แต่ถึงอย่างงั้นพวกเขาก็ยังไม่รู้อีกว่าใครกันแน่ที่ร่วมมือกับคนจากสมาคมเงา เพราะทุกคนมั่นใจว่าคนของตัวเองไม่ได้ร่วมมือกับคนนอกแน่นอน การพูดคุยนั้นดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็มีคนจากสำนักอสรพิษมองมาที่เทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้น

”เราก็มีอยู่คนหนึ่งไม่ใช่รึไง ที่มีแนวโน้มจะร่วมมือกับคนนอกมาที่สุด”

ทุกคนหันมามองคนจากสำนักอสรพิษคนนั้นก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

”ใครงั้นเหรอ ?”

คนจากสำนักอสรพิษยิ้มก่อนจะชี้นิ้วมาที่เทียนหลาง ทำให้ทุกคนต่างมองมาที่เทียนหลาง

”เขางั้นเหรอ ?”

เซียนจากสำนักอัคคีถามขึ้น คนจากสำนักอสรพิษก็พยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับพูดขึ้น

”เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อยู่สำนักไหน แถมภูมิหลังเขาก็ไม่มีใครรู้อีกด้วยและตลอดการเดินทางเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินและนอน แม้แต่การต่อสู้กับสมาคมเงาพวกเราก็ไม่เห็นเขาเข้าร่วมการต่อสู้อีกด้วย นั่นน่าจะมีเห็นผลเพียงพอที่เขาจะเป็นผู้ต้องสงสัย”

เมื่อทุกคนลองคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็มองมาที่เทียนหลางทันที เทียนหลางหลับตาลงอย่างใจเย็นก่อนจะพูดขึ้น

”ถ้าหากผมน่าสงสัยแล้วละก็ พวกคุณไม่น่าสงสัยกว่างั้นเหรอ ?”

”แกหมายความว่ายังไง ?”

”ก็ง่าย ๆ พวกคุณหน่ะจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาในช่วงที่พวกเราถูกโจมตีโดยพวกสมาคมเงาและก็มาขอร่วมทางด้วย ทั้ง ๆ ที่คุณสามารถเข้าร่วมกับพวกเราได้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองและดูจากที่พวกเราโดนโจมตีได้ไม่นานแล้ว ผมคิดว่าพวกคุณคงตามพวกเรามาตั้งแต่อยู่ในเมืองแล้วสินะ บางทีมันอาจจะเป็นพวกคุณมากกว่าที่ติดต่อกับสมาคมเงา”

”กะ แก พูดถึงเรื่องอะไร ?”

เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเทียนหลาง พวกเขาก็ได้แต่ทำเสียงตะกุกตะกักเทียนหลางเห็นดังนั้นก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น

”นอกจากนี้ผมยังเห็นพวกคุณทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ตอนกลางคืนอีกด้วยนะ”

ทำพูดนี้ของเทียนหลางทำให้คนทั้งหมดหันไปมองคนจากสำนักอสรพิษทันที

”แกมีหลักฐานงั้นเหรอ ?”

พกวเขาตื่นตระหนกเล็กน้อย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

”โชคดีที่วิทยาการสมัยนี้ก้าวหน้าไปมาก ดังนั้นผมจึงพกเจ้านี่ติดตัวได้”

เทียนหลางพูดจบเขาก็หยิบโทรศัพขึ้นมาพร้อมกับเปิดภาพที่เขาได้ถ่ายเอาไว้ นั่นก็คือภาพที่คนจากสำนักอสรพิษกำลังโปรยผงบางอย่างรอบ ๆ ที่พักของเหล่าคนจากสำนักวารีพิสุทธิ์ เมื่อพวกเขาเห็นก็ต่างมองไปที่คนจากสำนักอสรพิษเพื่อต้องการคำอธิบาย

เมื่อได้รับการจ้องมองจากสายตาของผู้คนจำนวนมาก เขาก็ได้แต่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดขัด

”นะ… นั่นคือผงที่ไว้ใช้สำหรับต้องกันผู้ที่ลักลอบเข้ามานะ”

”งั้นเหรอ ? ผงนั่นทำให้การเดินลมปราณติดขัดด้วยงั้นสินะ”

เทียนหลางพูดแย้งขึ้นทำให้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่คนจากสำนักอสรพิษตาเขม็ง ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดจนกระทั้งเซียนของสำนักวารีพิสุทธิ์พูดขึ้น

”เป็นอย่างที่เจ้าหนูนั่นพูดจริง ๆ การเดินลมปราณของพวกข้าติดขัดทั้งที่ก่อนเดินทางก็ไม่เป็นเช่นนี้มาก่อน ฉะนั้นทุกอย่างคงเกิดมาจากผงที่พวกเจ้าโปรยใส่พวกข้า ข้าขอถามเจ้าได้หรือไม่เจ้าหนู เจ้าถ่ายภาพพวกนั้นเมื่อไหร่”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ

”หลังจากที่พวกสมาคมเงาบุก”

เซียนจากสำนักวารีพิสุทธ์ได้ยินก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปทางคนของสำนักอสรพิษและพูดขึ้น

”ฉันคงต้องขอคำอธิบายจากพวกเธอแล้วละนะ”

หลังจากที่ได้รับแรงกดดันจากคนของสำนักทั้งสี่พวกเขาก็ได้อ้ำอึ้งจนในที่สุดพวกเขาก็หยิบบางอย่างออกมาแล้วขว้างมันลงพื้น

พรึบ !!

เกิดควันฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เมื่อควันจางลงคนจากสำนักอสรพิษก็ได้หายไปแล้ว

”เจ้าพวกบ้านั่น ! กล้ามาวางยาคนของสำนักอัคคี”

เซียนจากสำนักอัคคีโวยวายออกมาก่อนจะพุ่งออกจากเต็นท์ไปเพื่อออกตามหาคนจากสำนักอสรพิษ เทียนหลางเดินตามออกไปอย่างไม่รีบร้อนนัก เมื่ออกมาเขาก็พบว่าเซียนของสำนักอัคคีกำลังต่อสู้กับคนจากสำนักอสรพิษอยู่ และไม่ไกลนั้นเทียนหลางก็เห็นคนจากสมาคมเงากำลังตรงมาทางนี้ด้วย

เทียนหลางกุมขมับก่อนจะพูดขึ้น

”ดูเหมือนจะวุ่นวายน่าดูเลย แต่ก็ดีหน่อยแผนการจะได้เร็วขึ้น”

เทียนหลางพูดจบก็เดินออกไปเพื่อดูการต่อสู้ ยิ่งเวลาผ่านไปการต่อสู้ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นพร้อมกับคนของสมาคมเงาก็เริ่มที่จะมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เขาจ้องมองอยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าสู่การต่อสู้และเริ่มแผนการของเขา

เทียนหลางพุ่งเข้าใส่คนของสมาคมเงาก่อนจะหยิบมีดสั้นออกมาและปาดเข้าที่คอของชายคนนั้นทันที เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามล้มลงเทียนหลางก็จับชายคนนั้นขึ้นมาก่อนจะส่งอักขระบางอย่างเข้าไปในหัวของเขา จากนั้นก็มีวัตถุทรงกลมสีทองลอยออกมาเข้าที่มือของเทียนหลาง

เทียนหลางมองมันสักพักก่อนจะบ่นพึมพำ

”เจ้านี่ไม่ใช่”

จากนั้นเทียนหลางก็บีบวัตถุทรงกลมนั้นจนแตกละเอียดคามือ วัตถุนั้นคือเศษเสี้ยวความทรงจำของชายคนนั้นที่เทียนหลางพึ่งนำมันออกมาจากหัวของเขา โดยใช้อักขระระดับสูง ชื่อของทักษะอักขระนี้คือ อักขระดวงจิตความทรงจำ มันเป็นทักษะที่นิยมใช้กันเพื่อตรวจสอบความทรงจำของฝ่ายตรงข้ามมักมีประโยชน์ในการค้นหาความลับ หรือล้วงเอาข้อมูลสำคัญ ๆ หรือแม้แต่ลบหรือทำลายความทรงจำ แต่น้อยมีคนนักที่จะสามารถใช้ได้เพราะหากผิดพลาดตัวอักขระจะตีกลับเข้าหาผู้ใช้และทำลายความทรงจำส่วนหนึ่งของผู้ใช้แทน

โดยปกติแล้วทักษะนี้เป็นทักษะของพรรคมารพรรคหนึ่งที่เทียนหลางบังเอิญได้ฝึกฝนมันตอนที่เขายังคงเป็นจ้าวอักขระอยู่ โดยที่เขาได้รับมันมาจากศิษย์ของพรรคมารคนหนึ่งที่มาขอร้องให้ช่วย แต่เนื่องจากเทียนหลางไม่ได้จงเกลียดจงชังหรือมีอดีตอะไรกับพรรคมารจึงทำให้เขานั้นยอมช่วยศิษย์คนนั้นแก้ปัญหานั้น

ทักษะนี้เป็นประโยชน์กับเทียนหลางเป็นอย่างมาก เวลาที่เขาต้องการจะสืบเรื่องราวบางอย่างหรือต้องการค้นหาที่ซ้อนสมบัติของใครสักคน

เทียนหลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวคนที่น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตในสมาคมเงา หรือพรรคอสรพิษเพื่อที่เทียนหลางจะได้ค้นหาข้อมูลสำคัญจากหัวของเขาได้จนในที่สุดเขาก็พบคน ๆ หนึ่งซึ่งก็คือคนที่ใส่ร้ายเทียนหลาง

เขาจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานั้นดูเหมือนเจ้านั่นจะติดสู้อยู่กับศิษย์ระดับสูงคนหนึ่งของสำนักวารีพิสุทธิ์ เทียนหลางพุ่งเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดขึ้น

”นี่ผมขอสู้กับมันแทนได้ไหม พอดีมีเรื่องจะเคลียกับเจ้านี้เสียหน่อย”

เธอหันมามองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้และพุ่งออกไปช่วยเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นของเธอ เทียนหลางประหลาดใจเล็กน้อยกับความใจดีของเธอแต่เขาก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าเธอคงไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นละมั้ง

เทียนหลางเลิกคิดเกี่ยวกับเธอและหันมาหาชายตรงหน้าพร้อมกับพูดขึ้น

”ดูเหมือนนายจะเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนักสินะ ถึงได้เป็นหัวโจกของการกระทำนี้”

ชายคนนั้นไม่ตอบแต่กลับมองเทียนหลางด้วยรอยยิ้มทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

”ถ้าแกไม่ตอบงั้นฉันจะงัดมันออกจากหัวของแกเองแล้วกัน”

เมื่อเทียนหลางพูดจบเขาก็พุ่งเข้าใส่ชายตรงหน้าพร้อมกับแทงมีดสั้นเข้าใส่ ชายคนนั้นควักกระบี่ออกมาป้องกันมีดสั้นของเทียนหลางแต่ดูเหมือนจะช้าไป มีดของเทียนหลางเสียบเข้าที่คอของชายคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการฆ่าที่แสนง่ายดายเสียนี่กระไรจนทำเอาเทียนหลางรู้สึกแปลกใจ

จากนั้นเทียนหลางก็เขียนอักขระยัดใส่เข้าไปในหัวของเขาเพื่อค้นหาข้อมูลสมบัติที่ซ้อนไว้ของพรรคอสรพิษ หลังจากนั้นความทรงจำของชายคนนั้นก็ลอยเข้ามาในมือของเทียนหลาง

เทียนหลางส่องดูอย่างใจเย็นจนได้รู้เรื่องน่าตกใจอย่างหนึ่งของชายคนนี้ คือเขาเป็นศิษย์ของเซียนในสำนักอสรพิษและด้วยการที่เขาเป็นศิษย์ของเซียนทำให้เขาเข้าถึงสมบัติส่วนหนึ่งของสำนักได้และดูเหมือนว่าอาจารย์ของเขากำลังจะมาช่วยเขาเสียด้วย

เมื่อเทียนหลางได้รู้เรื่องนี้เขาก็มีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่งผุดขึ้นมา เทียนหลางบีบความทรงจำของชายคนนั้นจนแตกละเอียดก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ศพของเขาเพื่อรออะไรบางอย่าง

และไม่นานสิ่งที่เทียนหลางรอก็มาถึง นั่นคือเซียนของสำนักอสรพิษที่เป็นอาจารย์ของชายคนนั้น เมื่อเขามาถึงและเห็นเทียนหลางนั่งอยู่ข้างศพของศิษย์ตัวเองเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามันนี่แหละที่ฆ่าศิษย์ของฉัน

”แกกล้าฆ่าศิษย์ของข้างั้นเหรอเรอะ เจ้าหนู !”

เทียนหลางเงยหน้ามองชายชราก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น

”ก็อย่างที่เห็นละนะ”

”ดี ! กล้าทำก็กล้ารับ ฉะนั้นเจ้าก็รับโทษซะ”

เมื่อพูดจบเขาก็พุ่งชักกระบี่ออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าใส่เทียนหลาง เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะควงมีดสั้นไปมาเล็กน้อยและต้านรับกระบี่ของชายชราเอาไว้
พร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

”อย่างแกนะเหรอจะลงโทษข้า หัดรู้จักเจียมตัวเสียบ้าง”