รอยยิ้มของอธิบดีเจิ้งชะงักไป
สีหน้าเขาพลันจริงจังขึ้นมาอย่างหาได้ยากนัก ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาของสวีหยางอี้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครืออยู่ไม่น้อย “เมื่อกี้นี้เป็น…จริงๆ หรือ”
“แล้วคุณคิดว่าไง” สวีหยางอี้ไม่ตอบแต่ถามกลับ
อธิบดีเจิ้งมองกระจกกันกระสุนกับลูกกรงหน้าต่างที่กระจัดกระจายเต็มพื้นด้วยสายตาสยดสยอง คำตอบมันชัดเจนมากอยู่แล้ว
“ผมต้องการดูแฟ้มข้อมูล M” สวีหยางอี้เอ่ย “คุณน่าจะรู้ว่าผมมาจากไหน”
อธิบดีเจิ้งไม่ตอบ
ที่มาของอีกฝ่ายเป็นความลับใหญ่หลวงที่ไม่อาจเป็นแพร่งพรายได้ ส่วนองค์กรลึกลับนั่น เขาขอรักและเคารพอยู่ห่างๆ จะดีกว่า หากไม่ใช่เพราะคดีฆาตกรรมต่อเนื่องพิลึกพิลั่นเกินเหตุ ขนาดที่ว่าแค่เห็นศพของผู้ตายก็รู้แล้วว่ามันเกินกว่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ไปได้ เขาไม่มีทางยอมเชิญอีกฝ่ายมาแน่
ไม่สิ…ไม่ใช่คดีหรอกที่แปลกประหลาด แต่เป็น “คน” ทำคดีต่างหากที่แปลกประหลาดไม่มีใครเกิน!
เขายังจำบาดแผลพวกนั้นกับสภาพน่าสยดสยองของผู้ได้รับบาดเจ็บได้ดี มันไม่มีทางเป็นฝีมือมนุษย์ไปได้แน่!
“นายมาจากสำนัก‘เทียนเต้า‘” อธิบดีเจิ้งถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ย “กองกำลังพิเศษลับสุดยอดแห่งหวาซย่า[1] ไม่ได้ขึ้นกับหน่วยงานหรือที่ไหนทั้งสิ้น และไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชา นายมาจากสาขาเมืองอวี๋หยาง จบการศึกษาด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง และตอนนี้อยู่ในช่วงสอบจบ”
“งั้นคุณรู้ไหมว่า…” สวีหยางอี้เคาะโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ตอนผมแปดขวบ ผมเคยเห็นอะไรพวกนี้มาก่อน”
อธิบดีเจิ้งมองสวีหยางอี้ด้วยความแปลกใจ
“วันนั้นเป็นวันเกิดผม” สายตาเขาหลุบต่ำลง มองแสงไฟวูบวาบที่ก้นบุหรี่ ทว่าในน้ำเสียงกลับไม่ได้เจือแววร้อนระอุ และยิ่งไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ ร่วมอยู่ด้วย “ผมกลับมาถึงบ้านก็ต้องพบว่าบ้านกลายเป็นลานประหารไปแล้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปสองวินาทีเต็มๆ ก่อนจะเผยยิ้มออกมา “เพราะฉะนั้น ผมถึงได้เป็นอันดับหนึ่งในสำนักเทียนเต้าสาขาเมืองอวี๋หยาง”
“ที่ผ่านมา…ผมตามหามันมาโดยตลอด” สวีหยางอี้มองอธิบดีเจิ้ง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “เพื่อแก้แค้นให้พ่อกับแม่ และเพื่อชีวิตของผมที่กำลังจะถูกรังควานต่อจากนี้”
“เอื๊อก…” ลำคออธิบดีเจิ้งพลันตีบตันขึ้นมา แม้แต่นิ้วมือทั้งสองข้างที่พยุงโซฟาอยู่ก็ยังขาวซีด!
โรคจิต…ไม่สิ…คนโหดเหี้ยม…นี่มันคนโหดเหี้ยมโรคจิตขนานแท้เลย!
จะมีใครพูดเรื่องพรรค์นี้แล้วยังยิ้มออกมาได้กัน
จะมีใครพูดเรื่องพรรค์นี้แล้วสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิดกัน ราวกับกำลังเล่าเรื่องของคนใกล้ชิดขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่เลยสักนิด
ไม่มีหรอก…อธิบดีเจิ้งยกเท้าที่สวมรองเท้าหนังแต่ยืนได้ไม่มั่นคงนักถอยหลังไป ต่อให้เขาเป็นมือวางอันดับหนึ่งของสำนักงานตำรวจเมืองนี้ และเจอคดีโรคจิตมาไม่น้อย เขาก็ไม่เคยเจอคนแบบนี้!
คำพูดสั้นๆ ที่ดูจะไร้ซึ่งตรรกะใดนั้น เขากลับรู้ว่าอีกฝ่ายฝังความอาฆาตและต้องการสังหารไว้ลึกสุดใจ ไม่แน่ว่าสวีหยางอี้อาจจะเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ออกแรงเพียงเล็กน้อย แล้วเชือดคออีกฝ่ายช้าๆ หรือบางทีอาจจะยังมองอีกฝ่ายเลือดไหลหมดตัวอย่างสบายใจเฉิบก็เป็นได้… เพียงคำพูดไม่กี่คำของเจ้าปีศาจคลุมหนังแกะ[2]พรรค์นี้ ก็ทำให้เขารู้สึกว่า…
นี่ไม่ใช่คนแบบเดียวกันกับเขา!
“ฉันจะเอาให้นายเดี๋ยวนี้…” แม้เครื่องปรับอากาศในห้องจะเปิดไว้ที่อุณหภูมิยี่สิบองศา แต่อธิบดีเจิ้งก็ยังถึงกับต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อเย็นๆ ของตัวเองแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป เขาผุดลุกขึ้นเงียบๆ พลางระแวดระวังมองไปที่ประตูดีๆ อีกครั้ง แล้วหยิบลูกกุญแจในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะกลั้นใจเปิดเอาซองกระดาษหนาๆ ที่ซ่อนอยู่ในชั้นหนังสือซองหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
ได้สัมผัสของสิ่งนี้ทีไร แม้แต่มือเขาก็ยังสั่นไปด้วย
บางอย่าง…ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ แต่ถูกปิดตายอยู่ในตู้นิรภัยลับสุดยอดนี้ มีเพียงมือวางอันดับหนึ่งของเมืองเท่านั้นถึงจะพอรู้บ้างคร่าวๆ แต่ก็ไม่อาจบอกกับใครได้ ต้องซ่อนไว้ให้ลึกที่สุดจนวันตาย
ในฐานะที่เป็นมือวางอันดับหนึ่งของเมือง เขาเคยได้รับสิทธิ์อ่านเอกสารลับสุดยอดฉบับนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้น…เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจินตนาการได้ เมื่อบอกว่าเป็นความลับสุดยอดที่อาจจะทำให้สังคมวุ่นวายขึ้นมาได้ แม้จะเปิดเผยเรื่องราวมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังทำให้เขาหวาดผวาเสียจนอยากทิ้งงานนี้แล้วลาออกกลับไปอยู่บ้านเกิดเสียให้รู้แล้วรู้รอด
อธิบดีเจิ้งหลับตาปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แต่ละหน้าล้วนเป็นเหมือนฝันร้าย… เป็นเรื่องที่รัฐบาลใช้อำนาจปกปิดเอาไว้ ไม่อาจพูดความจริงออกมาได้…
แต่ความจริงทุกอย่างได้ถูกบันทึกไว้ในนี้หมดแล้ว แฟ้มข้อมูลฉบับนี้เรียกว่าแฟ้มข้อมูล M หรือแฟ้มข้อมูล MONSTER เป็นแฟ้มข้อมูลสัตว์ประหลาด โดยทุกๆ ครึ่งปีเบื้องบนจะส่งคนมานำไปตรวจสอบ
เรื่องพวกนี้แค่ผ่านตาก็ชวนให้คนลืมไม่ลง และเขาก็ออกจะจำข้อมูลในนี้ได้มากเกินไปแล้ว
ปี 1993 เขื่อนกั้นน้ำแม่น้ำแยงซีเกียงที่เมืองซานเจียงแตก โดยเจ็ดชั่วโมงก่อนหน้า มีชาวบ้านนับร้อยในหมู่บ้านต้าหยางเห็นปลาคาร์ปสีดำยาวหลายสิบเมตรพุ่งชนประตูเขื่อนกับตา หลังจากเขื่อนแตกสามชั่วโมง เทียนเต้าได้ส่งคนมากั้นสถานที่เกิดเหตุทั้งหมดเอาไว้ จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนทำให้ 3 หมู่บ้านบริเวณปลายสายแม่น้ำเห็นเลือดสีแดงฉานกับเกล็ดปลาสีดำขนาดใหญ่เท่าจานหลายสิบใบลอยมากับสายน้ำด้วย
ปี 2004 โรงเรียนมัธยมในเมืองซานเจียงก็มีเรื่องประหลาด ตอนนี้ถามใครต่างก็รู้กันดีว่าแม้แต่โรงเรียนมัธยมก็ได้เปลี่ยนไปเป็นโรงเรียนมัธยมฝึกหัด และหลังเกิดเรื่อง กว่าร้อยละหกสิบของนักเรียนได้ย้ายโรงเรียนไปแล้ว
เรื่องสะเทือนขวัญราวกับภาพยนตร์เรื่องเขย่าขวัญปี่เซียน[3]เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนสองห้องจำนวนยี่สิบกว่าคนที่ยังอยู่ที่โรงเรียนหลังเลิกเรียนถูกทำร้ายพร้อมกันในเวลาสองทุ่มตรง บริเวณแขนเสื้อถูกตัดขาด อวัยวะภายในหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในตอนตีสามของวันเดียวกันนั้นเอง เทียนเต้าก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จนถึงวันนี้คนทั้งเมืองก็ยังจำแรงสั่นสะเทือนบริเวณรอบๆ โรงเรียนในคืนนั้นได้ดี
เรื่องนี้เขาเป็นผู้จัดการกับสภาพหลังเกิดเหตุด้วยตัวเอง มันทำเอาเขาฝันร้ายไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เพราะสภาพห้องเรียนทั้งสองห้องนั้นมีขนนกเปื้อนเลือดขนาดเท่ากับหนังสือหนึ่งเล่มกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องไปหมด
ปี 2010 เมืองซานเจียงในเขตปกครองอำเภอหนานไค โรงงานหลอมเหล็กของผู้ค้าเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอหนานไคเกิดเหตุระเบิด คนนับร้อยเห็นกับตาว่ามีก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งลอยไปมาท่ามกลางกองเพลิง
มากมายเหลือเกิน…อธิบดีเจิ้งเม้มริมฝีปาก ทั้งฝ่ามือมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาเต็มไปหมด
ตั้งแต่ดูข้อมูลแผนภาพ ตลอดจนจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะติดต่อสำนักงานข่าวและทางอินเทอร์เน็ตอย่างไร จะว่าจ้างพวกสแปมเมอร์มาจัดการกับผลกระทบอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะค่อยๆ ลบเลือนความทรงจำของเหล่าฝูงชนได้… แต่เมื่อได้เห็นวิธีการของรัฐบาลในการจัดการปัญหาอย่างชำนิชำนาญไร้ช่องโหว่แล้ว เขาก็รู้ดีว่าเรื่องที่ต้องทำอย่างละเอียดทุกขั้นตอนราวกับมันเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งแบบนี้ ไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จแน่ ในระดับสูง มือวางอันดับหนึ่งของรัฐบาลเมืองจะต้องเข้าให้ความร่วมมือด้วย ส่วนระดับล่าง เลขาและผู้ช่วยทุกตำแหน่งจะต้องคอยรับคำสั่ง
ของ…และคน ที่คนธรรมดาบางคน…มองไม่เห็น ได้ดำรงอยู่คู่กับประวัติศาสตร์หวาซย่าและประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้มาหลายพันปีแล้ว!
พวกมันไม่เคยจากไป และไม่เคยสาบสูญไปไหน แต่มันยังเดินทางมาร่วมกับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ข้ามผ่านยุคหิน ยุคอารยะ ยุคศักดินา…และเข้าสู่ยุคสังคมข่าวสาร!
พวกมันอยู่ข้างกายเราทุกคนเหมือนเงา และดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางเหล่ามนุษย์
ชื่อของพวกมันคือ ปีศาจ
ข้าราชการทุกคนที่รู้เรื่องปีศาจก็เหมือนกับได้รู้จักกับด้านมืด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยืนอยู่ในที่สว่างอันเป็นฟากปฏิปักษ์กับเงามืดนั้นด้วย ซึ่งคนกลุ่มนั้นก็คือ เทียนเต้า
ไม่มีใครรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกมัน นอกจากพวกมันจะอยู่ใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลกลางของหวาซย่าแล้ว ก็ไม่อยู่ใต้อาณัฐการปกครองขององค์กรอารักขาความปลอดภัยใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิด ‘เรื่องเฉพาะ’ ไร้ทางแก้ไขขึ้นที่ไหน ล้วนแล้วแต่ต้องติดต่อไปยังนอกสำนักเทียนเต้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในสำนักนั้นคืออะไร
สวีหยางอี้รับซองกระดาษเบาๆ มาเปิดออกด้วยแววตาขรึมลง แล้วค่อยๆ อ่านไปทีละแผ่น
เสียง “ซวบ…ซวบ…” ดังก้องขึ้นภายในห้อง บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นน่าสยดสยองเกินไป หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะความเงียบสงัดแบบนี้ทรมานนัก อธิบดีเจิ้งจึงฝืนฉีกยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น “เทียนเต้าเป็นกองกำลังแบบไหนเหรอ”
สวีหยางอี้หยุดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มแปลกๆ “พวกเรา…ล้วนเป็นคนที่เคยเห็นมากับตา เคยเผชิญมากับตัว เป็นสัตว์ประหลาดอีกประเภทหนึ่งที่เคยคบค้าสมาคมกับสัตว์ประหลาดที่ดูลี้ลับและโบราณพวกนั้นมาก่อน”
“คุณจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้”
สวีหยางอี้เปิดวิทยุสื่อสารขึ้น และไม่ได้พูดอะไรกับอธิบดีเจิ้งอีก “เมาปาเอ้อ ฉันเพิ่งอ่านแฟ้มข้อมูล M ของเมืองซานสุ่ยจบ ปีศาจที่อาศัยอยู่เมืองซานสุ่ยนี้ไม่มีสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงู มันน่าจะมาจากที่อื่น”
“งู?” เสียงจากเครื่องวิทยุสื่อสารเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ ‘มัน’ หรอกเหรอ”
“ไม่ใช่” สายตาสวีหยางอี้เย็นเยียบลง “ฉันฝันเห็นมันทุกคืน บาดแผลของผู้ได้รับบาดเจ็บคล้ายกับของพ่อแม่ฉันในปีนั้นมาก ฉันถึงได้ตั้งใจรีบมาที่นี่…แต่ไม่ใช่แน่นอน”
อีกฝ่ายไม่ได้ถามต่อว่าเพราะเหตุใดถึงได้มั่นใจขนาดนั้น เพราะรู้ดีว่าหลายปีมานี้ สวีหยางอี้รู้ลักษณะเด่นของการถูกมันทำร้ายเป็นอย่างดี
“แปลกนะ…” เสียงในเครื่องวิทยุสื่อสารถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “นักศึกษาทุกคนในสำนักเทียนเต้าต่างก็เคยสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์พวกนี้ด้วยตัวเองมาก่อน พวกนายน่ะโชคดี ได้เดินบนเส้นทางที่คนทั่วไปได้เห็นแค่ในนิยาย แต่พวกนายก็โชคร้ายเหมือนกัน…เพราะค่าตอบแทนที่พวกนายต้องจ่ายบนเส้นทางนี้สูงมาก… เรื่องแรกที่เทียนเต้าต้องทำก็คือช่วยพวกนายตามหามือสังหารในตอนนั้นให้เจอ ทั้งสำนักหาเจอกันหมดแล้ว…มีแต่นายนี่แหละ…เครือข่ายของเทียนเต้ามีอยู่ทั่วหวาชย่าไปหมด แต่ไม่มีใครเคยเห็นสักคน…”
อีกฝ่ายหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “จากการคำนวณพลังคู่ต่อสู้ของนายอยู่ที่ขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้น ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 70%-120% นายต้องการกำลังเสริมมั้ย แต่ขอเตือนในฐานะเพื่อนนะ ถ้านายใช้กำลังเสริม คะแนนสอบจบของนายจะถูกหักลงครึ่งหนึ่ง”
“ไม่ต้องการ” สวีหยางอี้หรี่ตาลงพลางหักนิ้วตัวเองส่งเสียงดังกรอบ
“งั้นนายจะมั่นใจตำแหน่งของมันได้ยังไง”
“ง่ายมาก…” สวีหยางอี้ระบายยิ้ม “ ‘คนท้องที่’ ก็ใช่ว่าจะไม่มี ถามเอาก็รู้แล้ว”
“พวกมันสนใจเรื่องที่ว่าจะมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้ามารุกรานยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก…”
สวีหยางอี้ปิดวิทยุสื่อสารแล้วเงยหน้าขึ้นมองอธิบดีเจิ้งที่ยังทำหน้าสับสนงุนงงแล้วพลันยิ้มออกมา “คุณรู้ไหมว่าอะไรจะช่วยกระตุ้นการรวมเผ่าพันธุ์ได้ดีที่สุด”
อธิบดีเจิ้งส่ายหน้า ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาขบคิดถึงคำถามฉุกละหุกแบบนี้หรอก
“คือการใช้ชีวิต…”สวีหยางอี้หรี่ตา “นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ผิดแผกอะไรหรอกนะ อธิบดีเจิ้ง ผมแค่อยากจะเตือนคุณสักครั้ง ปีศาจ…พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่รวมเหล่าอมนุษย์ชั้นหัวกะทิไว้ด้วยกัน…โครงสร้างทางสังคมของพวกมัน…ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่คุณคิด และยิ่งไม่เหมือนกับนิยายที่คุณเคยอ่าน”
พวกมันไม่ใช่กาฝากในสังคมมนุษย์ ถ้าหากมันง่ายเสียขนาดนั้น…พวกนักล่าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนับเป็นตัวอะไร เป็นยาฆ่าแมลงหรืออย่างไรกัน
แต่อย่าเห็นว่าคุ้นเคยกันแล้วจะอะลุ่มอล่วยความผิดให้ได้
สวีหยางอี้ให้ความเคารพสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ มันคือสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ในมุมมืด เขาให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ตอนที่สมควรลงมือ เขาไม่มีทางออมมือให้แน่
และความเงียบสงัดอย่างที่สุดนี้เอง มักจะนำมาซึ่งจุดระเบิดในยามลงมือ!
——————————————————————————————–
[1] หวาซย่า คือ ชื่อเรียกของประเทศจีนในสมัยก่อน
[2] ปีศาจคลุมหนังแกะ เป็นสำนวนจีน หมายถึง การเสแสร้งแกล้งทำดีเพื่อแฝงเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนดี
[3] ภาพยนตร์เรื่อง เขย่าขวัญปี่เซียน (Bixian Panic) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญของจีน ออกฉายในปี 2012