เล่มที่ 1 บทที่ 4 เภสัชพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ (1)

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

เขาผุดลุกขึ้นยืนแล้วผลักประตูเดินออกไป อธิบดีเจิ้งจึงรีบตามออกมาถาม “เสี่ยวสวี…เสียวสวี แล้วคดีล่ะ คดีนี้จะทำยังไง มัน…พวกมันหาฉันเจอได้ยังไง ตอน…ตอนปีนั้นที่ฉันรับตำแหน่งไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนด้วยซ้ำ!”
ตอนนี้เขาไม่อยากให้สวีหยางอี้จากไปเป็นที่สุด ยิ่งเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ในใจก็เกิดสะพรึงกลัวขึ้นมา

เทพแห่งความตายนอนทอดตัวยาวนับร้อยนับพันเมตรจากที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ มันพุ่งปะทะกระจกกันกระสุนของเขาเข้ามา และทำลายทุกอย่างจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง!

สวีหยางอี้หรี่ตาลง หากก็ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย

มันคือการสะท้อนกลับของหอโคมไฟ…อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้มันมั่นอกมั่นใจเกินเหตุหรือว่าบ้าไปแล้วกันแน่ มันถึงได้กล้าลงมือกับตน

หอโคมไฟส่องแสงมายังคน คนก็มองเห็นมัน ตอนเขามาที่เมืองนี้ เขากับอีกฝ่ายก็กลายเป็นหอโคมไฟของกันและกันไปแล้ว จนสองวันต่อมาอีกฝ่ายทนไม่ไหวจึงชิงลงมือก่อนในที่สุด

“คดีนี้ผมจะรับช่วงต่อเอง คนอื่นอย่าสอดมือเข้ามายุ่ง” เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่ก็ไม่ยอมให้มีข้อกังขาอีกเช่นกัน จึงเอ่ยพลางก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ โดยมีอธิบดีเจิ้งเดินตามหลัง คอยตั้งใจฟังคำสั่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพยักหน้าหงึกๆ อยู่ตลอด ไม่เหมือนท่าทางของหัวหน้าที่ปฏิบัติกับลูกน้องสักนิด

สวีหยางอี้พลันหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาลึกล้ำ “รวมถึงคุณด้วย”

“ได้!” อธิบดีเจิ้งตอบรับคำในทันที และรู้สึกวางใจลงกว่าครึ่ง

รัฐบาลลงแรงปกปิดเรื่องนี้ไปเท่าไรกัน คงต้องใช้จำนวนเงินมหาศาลเลยทีเดียว!

เบื้องหลังข่าวที่เหล่ามวลชนตั้งคำถามว่า “ทำไม” ทุกข่าว ได้ซ่อนเรื่องที่พูดออกมาไม่ได้มากมายนัก เป็นความลับที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้

“เรื่องที่สอง จัดกลุ่มกองกำลังฝีมือดีเชื่อถือได้มากลุ่มหนึ่ง ภายในสามวันเตรียมตัวเริ่มปฏิบัติการ”

“ไม่มีปัญหา”

“เรื่องที่สาม ผมต้องได้อำนาจสั่งโยกย้ายเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ คนอื่นห้ามสอดมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด”

“เรื่องนี้…” อธิบดีเจิ้งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นี่ก็เท่ากับว่าเขาถูกยึดอำนาจทั้งหมดที่อธิบดีมือวางอันดับหนึ่งของสำนักงานตำรวจอย่างเขามีต่อคดีใหญ่คดีนี้ไปน่ะสิ อีกทั้งเห็นอยู่ทนโท่ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกเขาว่า ฉันกำลังจะยึดอำนาจนายนะ แต่เขาก็ยังต้องรับปากด้วยตัวเองอีก!

“มีปัญหาเหรอ” สวีหยางอี้หันมามองเขา

“ไม่…ไม่มีปัญหา!” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นกลับทำให้อธิบดีเจิ้งหนาวเหน็บไปทั้งใจ ได้แต่กัดฟันตอบไปในทันที “คดีนี้…ฉันไม่ยุ่ง! เครือตำรวจ เครือตำรวจติดอาวุธ นายโยกย้ายได้ตามใจเลย! ถ้ายังต้องการเครือกองกำลังอีก…ฉันจะไปประสานงานให้เอง!”

MONSTER ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากจะรู้เรื่องในแฟ้มข้อมูล M หรอก

ไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ มีเพียงเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังกริกๆ เท่านั้น ตลอดทางไม่มีการพูดจาใดอีก เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูสำนักงานตำรวจ สวีหยางอี้ก็หันหน้ากลับมาเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยเป็นนัยว่า “อธิบดีเจิ้งยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ”

อธิบดีเจิ้งเดินตามหลังเขามาตลอดทาง

“ไม่ ไม่มีอะไร!” ใบหน้าเหี่ยวย่นของอธิบดีเจิ้งพลันแดงก่ำขึ้นมา เขายังคิดว่าอีกฝ่ายยังต้องการอะไรเพิ่มเสียอีก เจ้าเด็กคนนี้มันยังไงกันนะ หมดเรื่องแล้วก็ไม่คิดจะบอกกันสักคำหรือไง

สวีหยางอี้เงยหน้าขึ้น “งั้นผมไปก่อนล่ะ”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา “อธิบดีเจิ้ง รอเดี๋ยวครับ! รอเดี๋ยว!”

รองหัวหน้าเฉินวิ่งเหยาะๆ ตามมา สวีหยางอี้พลันขมวดคิ้ว เขากำลังยกเท้าเตรียมจะเดินจากไปแต่รองหัวหน้าเฉินก็ร้องเรียกเขาออกมา “หัวหน้าสวี รบกวนรอเดี๋ยว!”

“เหล่าเฉิน” เมื่ออยู่ต่อหน้ารองหัวหน้าเฉิน อธิบดีเจิ้งถึงได้รู้สึกอารมณ์ผ่อนคลายขึ้นมาก เมื่อครู่สนทนากับสวีหยางอี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองต่ำต้อยไปโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายเพิ่งอยู่ในวัย 20 เท่านั้น ว่ากันตามอายุแล้วเขาควรเป็นวัยรุ่นที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ถึงจะถูก

ความกดดันไร้รูปร่างนั้น ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเอามากๆ จนตอนนี้ถึงได้ค่อยกลับมามีท่าทีน่าเกรงขามของหัวหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของเมืองอีกครั้ง

“มีเรื่องอะไร” อธิบดีเจิ้งใช้หางตาเย็นยะเยือกกวาดมองสวีหยางอี้ แล้วเอ่ยเสริมขึ้น “มีเรื่องอะไรก็แจ้งหัวหน้าสวีก่อน รายงานเขา ส่วนนายก็แค่ให้ความร่วมมือกับเขาเต็มที่ก็พอ”

รองหัวหน้าเฉินได้ยินประโยคนี้ก็พลันหยุดชะงักไป แทบสำลักน้ำลายขึ้นมาถึงจมูก

ส่งเด็กเส้นลงมาตามใจชอบ แล้วจะให้ข้าร่วมมือกับมันงั้นเหรอ ที่ต้องทำนี่คือคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนะโว้ย! ร่วมมือแม่Xสิ!

ร่วมมือยังไง ต้องร่วมมือยังไง ไอ้เด็กหน้าละอ่อนนี่เคยเห็นที่เกิดเหตุมาก่อนหรือไง จะไม่ร่วมมือกันจนหน่วยสืบสวนตกเหวไปเลยหรอกหรือ

“อธิบดีเจิ้ง นี่มันเกี่ยวกับคดีที่เราต้องทำต่อไปนะ!” ความเดือดดาลมักจะพาให้คนสิ้นสติเอาง่ายๆ รองหัวหน้าเฉินที่ลุด้วยไฟโทสะไม่มองสวีหยางอี้แม้เพียงหางตา และยิ่งไม่ได้มองสายตาที่กำลังครุ่นคิดของอธิบดีเจิ้งด้วย เขาเอ่ยพลางกัดฟันกรอด “ผมก็ถือเป็นคนเก่าแก่ในสำนักงานตำรวจไม่ใช่เหรอ เหล่าเจิ้ง! ตอนนั้นเราก็จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน! คดีนี้จะทำยังไง ใครเป็นหัวหน้า คุณพูดอะไรหน่อยได้ไหม!”

จู่ๆ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยในมือก็หลุดลอยไป เขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนอธิบดีเจิ้ง พวกเขาอายุเท่ากัน แต่เขาอยู่มาจนหัวหงอกแล้วถึงเพิ่งเห็นความหวังจะได้เป็นหัวหน้าหน่วย แต่ยังไม่ทันจะได้วาดฝัน จู่ๆ ก็มีเด็กเส้นลงมาดับฝันเขาเสียได้

จะให้เขาไม่โกรธไม่เคืองได้ยังไง

ทั้งหน่วยสืบสวนนี้ ใครก็อาจจะกล้ำกลืนความโมโหนี้ไปได้ แต่เขาทนไม่ได้

มุมปากสวีหยางอี้กระตุกขึ้นเล็กน้อย คำพูดนี้แทนที่จะพูดให้อธิบดีเจิ้งฟัง ยังไม่สู้พูดเพื่อเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์[1] คิดจะมาเอาหน้า ได้…ไม่มีปัญหา แต่จะให้ข้าทำงานฟรีๆ ก็คงไม่ได้หรอก ความดีความชอบก็ต้องแบ่งขนาด เอ็งเอาหน้าเสร็จแล้วก็ไป ก็ต้องเป็นข้ารับตำแหน่งเอ็งต่อไม่ใช่หรือไง! เด็กไม่ประสีประสาทำอะไรไม่เป็นอย่างเอ็งรู้เรื่องทำคดีด้วยหรือไง ให้เอ็งมาเป็นหัวหน้าทำคดี หาฆาตกรแต่จะได้เจอศพแทนน่ะสิ!

คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง….ได้ยินว่าทั้งมณฑลให้ความสำคัญมาก โอกาสแบบนี้ เด็กเส้นทำอะไรไม่เป็นอย่างเอ็งเข้ามา พวกเราคงต้องแบ่งผลงานกันอย่างนั้นสิ

อธิบดีเจิ้งขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาชั่วขณะ

เกิดบ้าอะไรขึ้นมา! มันเป็นบ้าอะไรของมัน!

คนจากในเมืองเชิญคนของเทียนเต้ามา! ไม่ยอมหุบปากแล้วยังก่อเรื่องวุ่นวาย! กลัวตัวเองยุ่งไม่พอหรือไง!

เพียงไม่กี่ประโยคนั้นก็ทำเอาอธิบดีเจิ้งราวกับถูกฟาดอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด เขาจับมือรองหัวหน้าเฉินอย่างมีความนัย ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เหล่าเฉิน พวกเราคนกันเองทั้งนั้น อาหารอาจจะกินซี้ซั้วได้ แต่คำพูดจะพูดจะพูดซี้ซั้วไม่ได้….”

แม่Xเอ้ย!

รองหัวหน้าเฉินแทบอ้าปากสบถออกมา เดิมทีเขาก็เดือดพล่านอยู่แล้ว ได้ยินประโยคนี้เข้าก็ทำเอายิ่งกัดฟันกรอด

วันนี้เขาเป็นอะไร พล่ามบ้าอะไรของเขากัน

อธิบดีเจิ้งสนิทสนมกับตนมานานหลายปี แต่วันนี้ตนพูดอะไรก็ผิดไปหมด! นี่เขากำลังเตือนตนว่า…อีกฝ่ายมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังอยู่งั้นหรือ

ไอ้ลูกเมียน้อยสารเลวที่ไหนกัน!

และความเข้าใจผิดโดยสมบูรณ์ก็ได้เกิดขึ้นเช่นนี้เอง อธิบดีเจิ้งเองก็มีเรื่องที่เขาไม่กล้าพูดออกมาเหมือนกัน ทว่าเจ้ารองหัวหน้าเฉินแสนจะมุทะลุคนนี้กลับรู้แต่เพียงว่าตัวเองไม่ได้ตำแหน่งแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังต้องฟังคำสั่งย้ายจากเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งอีก

——————————————————————————————–

[1] เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ เป็นสำนวนจีน หมายถึง จงใจเตือนให้ทราบ ทำให้คนตื่นตระหนก