บทที่7ตอนที่3

 

 

ถึงกระนั้นผลจากการกระทำของเคน โนทิส ก็ยังเป็นที่กล่าวขานอย่างไม่หยุดหย่อน

 

 

เหมือนกับพวกปี 1 ปี 3 เองก็เม้าท์กันอย่างดุเดือด

 

 

ไอริสที่ดูแลโนโซมุเสร็จแล้ว กำลังเดินไปที่ห้องเรียน

 

 

โฮมรูมตอนเช้ายังไม่เริ่ม จากห้องเรียนจะได้ยินการซุบซิบเรื่องข่าวกัน

 

 

ไอริสที่มาถึงหน้าห้องเรียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและสัมผัสประตู

 

 

เมื่อประตูเปิดออก สายตาของทั้งห้องก็จับจ้องมาที่เธอ

 

 

ความคึกคักทุกอย่างหยุดลง สายตาต่างจับจ้องมาด้วยความสนใจและความอยากรู้อยากเห็น

 

 

ไอริสนั่งลงบนที่นั่งของเธอโดยไม่สนใจสายตาจากรอบด้าน

 

 

เรื่องที่ไอริส ซีน่า และ ลิซ่าที่คอยดูแลโนโซมุที่บาดเจ็บนั้นไม่ได้บอกให้คนนอกรู้

 

 

อย่างไรก็ตาม โนโซมุที่มักจะอยู่กับไอริสและคนอื่นๆตลอดเวลาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งก่อนและกำลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล

 

 

หากพวกเขาตั้งใจสังเกตก็จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่เกาะติดกับโนโซมุหลังเลิกเรียน จะรีบออกจากห้องเรียนทันที ถ้าสังเกตดูก็พอจะเข้าใจได้

 

 

มีนักเรียนคนหนึ่งถามไอริสว่า “ไปเยี่ยมโนโซมุคุงเหรอ?” ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

สิ่งเดียวที่จิฮัดห้ามไม่ให้แพร่พรายคือเรื่องที่โนโซมุเป็นดราก้อนสเลเยอร์และสังหารอบิส

 

 

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโนโซมุเข้ารับการรักษาตัว ดังนั้นเลยไม่มีอะไรให้ปฏิเสธมาก

 

 

ข้อเท็จจริงนั่นทำให้เกิดความโกลาหลกับเหล่านักเรียน

 

 

ไอริสเป็นสาวสวยติดท็อปห้าของสถาบันแห่งนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสามารถ ชาติตระกูล และศักยภาพในอนาคตแล้ว เรียกได้ว่าไม่สามารถเพิกเฉยได้

 

 

ดอกฟ้าที่อยู่ไกลเกินเอื้อมซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คน

 

 

เจ้าหญิงผมดำคนนี้กำลังมีความรัก

 

 

เมื่อเร็วๆนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับโนโซมุกำลังไปได้ด้วยดี และข่าวลือดังกล่าวก็แพร่กระจายไปทั่วสถาบัน ที่หนักกว่านั้นทุกคนต่างรู้ว่าเธอเป็นคนคอยดูแลโนโซมุทำให้ยิ่งดังเข้าไปใหญ่

 

 

ในขณะเดียวกันฝ่ายลิซ่าก็มีข่าวลือเสียๆหายๆเกิดขึ้นมากมาย

 

 

 

「นี่ จากเหตุการณ์นั้นหรือว่าไอริสดิน่าซังกับหมอนั่น……」

 

「จะเป็นแบบนั้นรึเปล่านะ? โนโซมุและไอริสดิน่าเหมาะสมกันจริงๆน่ะเหรอ? แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งก็จริงแต่ว่าฐานะทางบ้านต่างกันเกินไปไหม?」

 

「แต่ว่าท่าทีของเจ้าหญิงผมดำในทุกวันนี้ก็แปลกไปอย่างเห็นได้ชัดเลยนี่ ปฏิเสธไม่ได้หรอก……」

 

เสียงรอบข้างนั้นยังคงพูดคุยต่อไปเรื่อยเปื่อย แต่ไอริสนั้นไม่ได้สนใจ

 

 

เพราะแต่เดิมแล้วไอริสก็คุ้นเคยกับการเป็นจุดสนใจ

 

 

เธออาศัยอยู่ในสังคมชนชั้นสูงที่ใจแคบและอ่อนไหวง่ายต่อข่าวลือ

 

 

เมื่อเทียบกับโลกเบื้องล่างทั่วไป เธอไม่สนใจข่าวลือเกี่ยวกับนักเรียนเท่าไร

 

 

ดังนั้นข่าวลือไม่ได้เข้าหัวเธอเลย

 

 

สิ่งที่อยู่ในใจของเธอตอนนี้คือภาพของโนโซมุที่หลับอยู่ในห้องพยาบาล และภาพของเพื่อนสมัยเด็กที่คอยดูแลเขา

 

 

 

「นี่ คิดอะไรอยู่?」

 

「หืมมม….เควินเองเหรอ……」

 

「……หาา!?」

 

「เอ่อ ขอโทษไม่มีอะไร……」

 

「ไอ้โง่ไปถามทำไม……」

 

「ก็แค่เผลอ……」

 

「เหรอ……」

 

ไอริสหันออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเมินเฉยต่อเสียงรอบตัว

 

 

ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

บนกิ่งก้านของต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ในสวนนั้นมีนกที่มาพักขนของพวกมันอยู่

 

 

นอกหน้าต่างรายล้อมไปด้วยบรรยากาศสดใส

 

 

ตรงกันข้ามกับเมืองที่ส่องแสงสว่างจ้า ท่ามกลางแสงแดดนั่น อารมณ์ของเธอกลับมืดมนและหดหู่อย่างสุดซึ้ง

 

 

ภาพของโนโซมุที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อเธอเห็น ก็มีภาพหนึ่งที่อดนึกถึงไม่ได้

 

 

เป็นเรื่องของไอริสตอนยังเด็ก

 

 

ตอนนั้นโซเมียยังจำความไม่ได้เลย แต่เธอจำแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปได้

 

 

รอยยิ้มอันอ่อนโยนและท่าทางอันอ่อนไหว เธอเป็นคนจิตใจงดงามเพียงแค่ยืนก็ดึงดูดสายตาคนรอบข้าง

 

 

ไอริสนั้นรักแม่ของเธอมาก เธอมักจะคอยไปเฝ้าแม่ของเธอและเรียก “มาม๊า มาม๊า”

 

 

บางครั้งเธอก็เลือกชุดเดรสไม่ก็ดอกไม้ที่แม่ชอบโดยตั้งใจจะทำเป็นของขวัญให้ แต่ว่าท่านแท่ของเธอที่อ่อนโยนก็เพียงแค่ลูบหัวเธอไม่เคยดุเคยว่าเธอเลยสักครั้ง

แต่ว่าท่านพ่อกลับโกรธมาก

 

 

ตอนนั้นจำได้ดีเลย พอเธอร้องไห้ออกมาท่านแม่ก็ช่วยปลอบเธอ

 

 

ไอริสลูบผมสีดำมันเงางามของเธอด้วยปลายนิ้ว

 

 

ผมสีดำมันวาวที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านแม่ เป็นสิ่งสำคัญที่เธอภาคภูมิใจอย่างมากและชวนให้นึกถึงท่านแม่ผู้เป็นที่รักยิ่ง

 

 

แต่ว่าท่านแม่ของไอริสนั้นอ่อนแอ  

 

 

ตอนแรกท่านแม่ก็ลำบากอยู่แล้วที่ต้องให้กำเนิดเธอที่เป็นลูกสาวคนโต

 

 

ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีลูกคนที่สอง

 

 

พอได้ยินแบบนั้นไอริสก็ยิ้มกว้างและรอลุ้นว่าจะได้น้องชายหรือน้องสาว

 

 

เมื่อโซเมียได้ถือกำเนิด ท่านพ่อก็จ้างหมอฝีมือดีที่สุดในประเทศมาช่วยดูแล

 

 

ไอริสรู้ดีว่าร่างกายของท่านแม่นั้นอ่อนแอ เธอจึงอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้น เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุ 6 ขวบเท่านั้น

 

 

ท่านแม่ของเธอตามปกติก็มีโรคประจำตัวและร่างกายอ่อนแอตั้งแต่แรกเริ่ม มักจะป่วยอยู่ตลอดเวลา

 

 

หมอนั้นช่วยในการคลอดลูกได้อย่างดี แถมท่านพ่อยังเอายาหายากมาช่วยรักษาท่านแม่

 

 

แต่ว่าแม้จะพยายามยื้อชีวิตสักแค่ไหนมันก็ไม่ได้ผล ท่านแม่เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

 

 

เวทย์รักษาไม่สามารถใช้กับแม่ที่สภาพร่างกายอ่อนแอได้

 

 

หากฝืนใช้ แทนที่จะฟื้นฟูสภาพร่างกาย มันก็คงทำได้เพียงแค่เพิ่มพละกำลังที่เหลืออยู่แค่นั้นเอง ซึ่งมันจะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกแล้ว

 

 

มีไข้ถี่ทุกๆสองสามวัน ท่านแม่เริ่มเดินไม่ไหวแล้ว

 

 

เมื่อท้องโต ช่วงเวลาที่ท่านแม่นอนหลับก็สั้นลง สำหรับไอริสแล้วชีวิตที่กำลังกำเนิดใหม่นี้เหมือนจะพรากแม่ของเธอไป

 

 

ท้ายที่สุดแล้วท่านแม่ก็กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว

 

 

 

“ที่รัก ช่วยเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดด้วยนะคะ……”

 

ไอริสบังเอิญได้ยินคำพูดของท่านแม่ที่คุยกับท่านพ่อในตอนกลางดึก

 

 

ไอริสทราบดีว่าชีวิตของท่านแม่เธอกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และคอยได้แต่เฝ้าภาวนาทุกคืน

 

 

 

“ได้โปรดช่วยท่านแม่ด้วยนะคะ!”

 

ในเวลานั้นไอริสเฝ้าอ้อนวอนภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าหวังว่าท่านแม่ของเธอจะรอดชีวิตมากกว่าชีวิตที่กำลังเกิดมานี้

 

 

สำหรับเธอแล้วเด็กที่กำลังเกิดมานั้นกลายเป็นตัวตนอันแสนเลวร้ายที่จะพรากท่านแม่ของเธอไป

 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกนะไอริสดิน่า….แม่คนนี้จะพยายามนะ……”

 

 

 

แม่พูดออกมาเช่นนั้น

 

 

ท่านแม่ที่สภาพร่างกายอ่อนแรงอย่างมาก ตัวผอมแห้งและโหนกแก้มก็แทบจะไม่เหลือไขมันแล้ว เธอลูบท้องที่พองโตด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ราวกับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

 

 

 

“นั่นสินะไอริสจะได้น้องชายหรือน้องสาวกันนะ…แค่กแค่ก! แม่จะรอเฝ้าดูนะ”

 

ร่างของท่านแม่ที่ยังยิ้มออกมาด้วยความรักและแสดงความอบอุ่นซึบซับเข้ามาในใจของไอริส

 

 

ราวกับว่าเตรียมตัวจะขึ้นสวรรค์เพื่อแลกกับชีวิตที่จะเกิดมา

 

 

ท่านแม่คิดว่าลูกที่เกิดมาจะต้องงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ต่อให้ร่างกายของท่านแม่จะต้องผอมแห้งแรงน้อยแค่ไหนก็ตาม

 

 

นั่นคือรอยยิ้มสุดท้ายของท่านแม่ที่ไอริสได้เห็น

 

 

เมื่อน้องสาวของเธอได้คลอดออกมา ท่านแม่ก็ได้สิ้นใจลง

 

 

ร่างของท่านแม่ที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับมันยังคงเป็นภาพจำอยู่ในจิตใจของเธอ

 

「ที่รัก ที่รัก……?」

 

ไอริสพยายามเรียกท่านแม่เท่าไร แต่ว่าแม่ก็ไม่ตอบสนองต่อเธออีกต่อไปแล้ว

 

「มาม๊า มาม๊า!!」

 

แม้ว่าเธอพยายามตะโกนย้ำสักเท่าไร เขย่าและดึงมือ ท่านแม่ แต่ว่ามือที่เย็นชานั้นก็ไม่มีอาการตอบสนองอีกต่อไปแล้ว

 

 

ท่านแม่ได้จากไปแล้ว ไอริสที่เห็นภาพท่านแม่ที่ต้องจากไปต่อหน้าต่อตาของเธอ ท่านแม่ที่เป็นดุจดั่งแสงไฟของชีวิต ได้จากเธอไปแล้ว

 

 

ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออกและพ่อที่เงียบอยู่แต่เดิมก็ได้ร่ำไห้ออกมา

 

 

ซึ่งไอริสที่ยังเด็ก การจากไปของท่านแม่ของเธอราวกับเป็นคมมีดที่กรีดลึกลงไปกลางใจของเธอ

 

 

ความเจ็บปวดอันรุนแรงไหลลงมาที่อก ความอบอุ่นที่ได้รับกลายเป็นความร้อนรุ่นในจิตใจที่แผดเผาไหม้

 

 

หัวใจและอารมณ์ต่างหยุดนิ่ง เหมือนกับท่านแม่ที่นอนอยู่ตรงหน้านี้

 

 

 

“อูวว~อูวววววววววー!”

 

ในเวลานั้นเสียงของน้องสาวแรกเกิดที่ก้องอยู่ในห้องอันแสนเงียบสงบ

 

 

ชีวิตวัยเยาว์ที่เกิดจากการแลกชีวิตกัน

 

 

ไอริสที่เห็นท่านแม่จากไปแล้วก็ได้ให้ความสนใจไปที่น้องสาวของเธอ

 

 

เด็กน้อยตัวเล็กๆที่นอนอยู่ข้างๆซึ่งท่านแม่ได้หลับไปอย่าสงบ

 

 

อ่อนแอราวกับกระจกพร้อมที่จะแตกหักได้ทุกเมื่อ แต่ว่ามีพลังชีวิตที่เปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์

 

 

เธอค่อยๆเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของน้องสาว

 

 

อบอุ่นเหลือเกิน

 

 

เสียงเต้นของหัวใจและความร้อนที่สัมผัสตรงฝ่ามือค่อยๆซึบซับสู่ร่างกายของไอริส

 

 

ขณะที่นึกถึงภาพท่านแม่ก่อนใกล้ตาย

 

 

ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจ

 

 

อาาา ท่านแม่ยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อมอบความอบอุ่นดุจดวงตะวันให้กับเด็กคนนี้

 

 

 

「มาม๊า……」  

 

บางอย่างกำลังไหลออกมาตรงแก้มของไอริส

 

 

ความรู้สึกที่ว่าน้องสาวได้พรากชีวิตของท่านแม่ไปมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

 

 

อุณหภูมิร่างกายของน้องสาวสัมผัสได้ผ่านมือของเธอ ซึ่งมันช่วยเยียวยาจิตใจของไอริสตัวน้อยเหมือนกับท่านแม่ของเธอ

 

 

แผลที่ถูกเปิดออกในใจถูกปิดเพราะน้องสาวของเธอที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

 

 

ในเวลานั้นเธอสาบานต่อหัวใจตัวเอง ว่าพยายามปกป้องน้องสาวแทนท่านแม่ของเธอ

 

 

ถึงแบบนั้นการที่ได้เห็นโนโซมุหลับไหลไปแผลที่ควรจะปิดไปแล้วกลับเปิดขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

「โนโซมุ……」

 

ชื่อของโนโซมุเล็ดลอดออกมาจากปากของไอริสที่มองออกไปนอกหน้าต่าง

 

 

ภาพของโนโซมุเธอรู้สึกได้ว่ามันซ้อนทับกับท่านแม่ของเธอ

 

 

ใบหน้าที่กำลังหลับไหลของโนโซมุ ซึ่งดูเหมือนกับได้จากไปแล้ว

 

 

ไอริสกุมอกของเธอแน่นราวกับพยายามระงับบาดแผลที่เกิดขึ้น

 

 

หมอบอกว่าไม่เป็นไรร่างกายของโนโซมุนั้นเหมือนกับการจำศีลไปเท่านั้น

 

 

ยังไงก็ตามเธอยังคงกระวนกระวายใจ

 

 

จิตใจและร่างกายนั้นสัมพันธ์กัน

 

 

ถ้าดวงจิตได้ดับไปร่างกายก็จะตายจากไปด้วยและในทางกลับกัน

 

 

ยิ่งกว่านั้น โนโซมุยังมีสิ่งที่อันตรายอยู่ภายในตัวของเขา

 

 

ถ้าโนโซมุไม่ตื่นขึ้นมา คำทำนายสุดแสนเลวร้ายที่สุดก็น่าจะเกิดขึ้นไอริสคิดแบบนั้น

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึกกังวล

 

 

ทุกครั้งที่โนโซมุสลบไป ไอริสก็จะนึกถึงภาพของแม่เธอ

 

 

จวบจนบัดนี้ก็เพียงไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

 

 

ความรู้สึกไม่สบายใจและความเหงานั้นผลักดันเข้ามาในใจเธอ

 

 

ในเวลานั้นทัศนวิสัยของไอริสที่สะท้อนไปในหน้าต่าง

 

 

ก็มีภาพของสาวผมแดงที่มัดไว้อยู่ทางด้านหลังและก้มหน้าลงเพื่อนซ่อนตัวในเงาของบริเวณโดยรอบ

 

 

 

「…………」

 

เมื่อเห็นภาพตรงหน้าความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้น

 

 

และความเจ็บปวดยังคงเพิ่มพูน ความรู้สึกของโนโซมุมีส่วนที่เธอทำให้เขาเจ็บปวด

 

 

 

“ฉันอยากให้นายอยู่เคียงข้างฉัน”

 

คำพูดสำหรับโนโซมุที่กำลังถูกเทียแมตกลืนกินร่างและควบคุมตัวเองไม่ได้ ความปรารถนานั้นออกมาจากใจของเธอ

 

 

ไอริสเองก็ไม่ได้นึกถึงลิซ่า เฮาวด์

 

 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงคนเดียวในโลกเท่านั้นที่สามารถบอกเล่าความจริงกับเธอได้ มีเพียงโนโซมุเท่านั้นที่พูดคุยกับเธอได้คนเดียวเท่านั้น

 

 

ไอริสกัดฟันแน่นและพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้

 

 

เป็นรอยยิ้มของเขาที่ยอมรับเธออย่างเข้าใจ เป็นรอยยิ้มที่พร้อมให้อภัยเพื่อนสมัยเด็กของเขา

 

 

เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ไม่ใช่รอยยิ้มจากใครอื่นและไม่ใช่รอยยิ้มจากคนในครอบครัวแต่มันเป็นรอยยิ้มของเขาคนนั้น ไอริสที่เห็นภาพนั้นก็พยายามระงับอารมณ์อันแสนสิ้นหวังที่หมุนอยู่ในอกของเธอ

 

 

โดยหวังว่าเขาจะตื่นโดยเร็ววัน

 

 

◆◇◆

 

 

เมื่อไอริสกำลังทรมานใจ มีคนๆหนึ่งที่ได้รับแผลใจเช่นเดียวกัน

 

 

คาบเรียนบรรยายยังคงดำเนินต่อไปในชั้นปี 3 ห้อง 2

 

 

 

「……ดังนั้นโดยหลักแล้ว การวางกองกำลังแต่ละกองทัพในการรุกรานครั้งยิ่งใหญ่ อยู่ในรูปแบบของแต่ละประเทศที่ปรับใช้รายบุคคลและเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่รุกเข้ามา

ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการติดต่อผสานงานของแต่ละกองทัพนั่นเอง」

 

ซีน่าเปิดหนังสือเรียนแล้วกำลังมองตามตัวอักษรที่เขียนในห้องเรียน

 

 

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของดวงตานั้นผิดปกติและเธอไม่ได้จดจ่อกับอะไรสักอย่าง

 

 

นิ้วที่เรียวยาวของซีน่าแต่อยู่ที่มุมของหนังสือเรียนโดยไม่สะทกสะท้าน

 

 

เธอที่จริงจังอยู่เสมอ ดูสวยงามดุจนางฟ้าและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่พบเห็น

 

 

ตอนนี้เธอไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์ ดูเหมือนใจลอยไปที่ไหนสักแห่ง

 

 

สติของเธอนั้นจับจ้องไปที่นอกหน้าต่างแทนที่จะฟังคำบรรยาย เธอจ้องมองไปที่สถาบันวิจัยกลอวรัม มองจากหน้าต่างและนึกถึงชายหนุ่มที่นอนอยู่ที่นั่น

 

 

 

「เดิมทีแล้วกองกำลังพันธมิตรจะรวมตัวกันตามคำขอของประเทศที่ถูกรุกรานโดยสัตว์อสูร แต่เมื่อผนวกกองกำลังเข้าด้วยกัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะบัญชาการ……」

 

ซีน่าพยายามเชื่อมต่อเข้าไปในโลกวิญญาณของโนโซมุแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในชั้นเรียน

 

 

หลับตาและค่อยๆดึงด้ายที่ยึดติดกับตัวเธออย่างระมัดระวัง

 

 

เมื่อเธอใส่พลังเวทย์ลงไป ด้ายเส้นเล็กๆก็ค่อยๆหนาขึ้นเรื่อยๆ

 

 

พลังเวทย์ที่หลั่งไหลเข้ามาจะทำให้ด้ายเล็กกลายเป็นเชือกที่หนาแน่น

 

 

จากนั้นก็มีภาพมุมกว้างพร้อมกับสายลมอ่อนๆพัดผ่านมา

 

 

ทางเดินเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณของโนโซมุและซีน่าถูกสร้างขึ้นมา และเธอพยายามเข้าไปในโลกจิตวิญญาณของโนโซมุ

 

 

ไม่มีพื้นดินในเส้นทางเดิน โลกแห่งนี้ไม่ถูกผูกมัดด้วยแรงโน้มถ่วงและวิญญาณของซีน่าก็ล่องลอยได้เหมือนกับนก

 

 

ขณะที่ลมพัดผ่านแก้มของซีน่า เธอก็มุ่งหน้าไปทางด้านหลังทางเดินมุ่งเป้าไปหาโนโซมุ

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอพยายามเข้าใกล้โลกวิญญาณของโนโซมุ สิ่งนั้นก็ปรากฏขึ้น

 

 

 

「อึก……!」

 

ทันใดนั้นโซ่จำนวนมากก็วิ่งไปข้างหน้าซีน่าที่เชื่อมต่อกันด้วยวงจรเวทย์

 

 

เช่นเดียวกับเหล่าฝูงปลาที่แหวกว่ายไปในทะเล มันเคลื่อนไหวอย่างอิสระ

 

 

ฉากที่เหมือนกับฝัน แต่ซีน่าพยายามเพิกเฉยต่อโซ่ที่ล่องลอยไปในอากาศและพยายามมุ่งไปด้านหน้า

 

 

จากนั้นเองกลุ่มโซ่จำนวนมากก็หันกลับมาและพุ่งเข้าโจมตีซีน่า

 

 

 

「บ้าอะไรเนี่ย!?」

 

ซีน่าเอนตัวออกไปเพื่อหลบกลุ่มโซ่ที่เข้าโจมตีเธอ

 

 

โซ่นั้นแทงทะลุพื้นที่ๆซีน่าเคยอยู่และลอยขึ้นไปอีกครั้งจากนั้นก็กระจายไปทุกทิศทาง

 

 

โซ่ที่แยกออกจากกันก็โจมตีพร้อมกันทุกทิศทาง

 

 

ซีน่าควมคุมร่างกายของเธอพยายามหลีกเลี่ยงโซ่ที่เข้ามาโจมตี

 

 

เธอเร่งความเร็วเพื่อหลีกหนีจากโซ่ที่ไล่ตามและพยายามหลีกเลี่ยงโซ่ที่เข้ามาจากสองฝั่ง

 

 

โซ่ที่มาจากเบื้องบนโดนบิดตัวหลบได้ ในขณะเดียวกันโซ่ที่มาจากด้านล่างก็ดันออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มันพันมือของเธอ

 

 

ซีน่ายังคงลอยไปรอบๆ ตามวงจรเวทย์ ขยับไปมาและพยายมเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุด

 

 

อย่างไรก็ตามยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไรก็จะยิ่งมีโซ่ตรวนจำนวนมากพุ่งเข้าหาซีน่า

 

 

จำนวนโซ่ตอนแรกที่มีไม่กี่เส้น ตอนนี้มีเกินนับสิบและเกินยี่สิบไปแล้ว

 

 

และก่อนที่จะรู้ตัวโซ่ที่มากกว่าร้อยอันกำลังไล่ตามเธอ

 

 

 

「โถ่วเอ้ยยยย! คนกำลังรีบๆตามตื้อไม่เลิกเสียที!」

 

ซีน่าที่บ่นออกมาด้วยความผิดหวังเพราะโซ่นั้นตามตื้อไม่เลิก

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอบ่นออกไป สติของซีน่าที่ซึ่งตั้งสมาธิไว้ก็เผลอวูบไปชั่วขณะ

 

 

มีโซ่เข้าพันรอบขาของเธอราวกับไม่ให้ผ่านไป

 

 

 

「คิย๊าาาาาาาาา……!?」

 

เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากของซีน่า

 

 

โซ่ที่พันขาของซีน่าพยายามฉุดร่างกายของซีน่าลง

 

 

โซ่นั้นดึงร่างของเธอกลับไปยังจุดเดิมอย่างรวดเร็วโยนเธอทิ้งราวกับเศษกระดาษ

 

 

เมื่อซีน่าที่โดนเหวี่ยงออกมาและหมุนตัวไปรอบๆ ก็ได้เห็นรูปร่างเงาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ

 

 

พูดง่ายๆก็คือ “กำแพงลูกโซ่” ที่สูงตระหง่านไปจนถึงสวรรค์

 

 

โซ่ตรวนมากมายนับไม่ถ้วนยาวจนไร้ที่สิ้นสุดตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าซีน่า

 

 

เธอคว้าโซ่เส้นหนึ่งและพยายามเคลื่อนไปข้างหน้าขณะบีบผ่านมัน

 

 

 

「อึก อ๊าาาาาาาาาาา~~~!!」

 

พยายามดึงโซ่นั่นด้วยสุดกำลังของเธอ

 

 

อย่างไรก็ตามโซ่นั้นตึงมากจนซีน่าขยับมันไม่ได้เลย

 

 

ซีน่าพยายามดิ้นรนอยู่กับโซ่พักหนึ่ง แต่เธอก็ต้องถอดใจ

 

 

 

「อย่างที่คิดยังไงฉันก็ผ่านเข้าไปไม่ได้สินะเนี่ย……」

 

ซีน่าพึมพำเช่นนั้นขณะสัมผัสกับโซ่ตรงหน้า

 

 

ซีน่าพยายามเข้าหาโนโซมุอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ก็มีกำแพงโซ่นี่ขวางทางอยู่ตลอด

 

 

เสียงอันอ้างว้างของเธอดังก้องไปทั่ววงจรเวทย์

 

 

โซ่นั้นไม่มีเสียงตอบรับอะไรมันเพียงแค่เงียบเฉย

 

 

ซีน่าจ้องมองกำแพงตรงหน้าสักพักหนึ่ง หลังจากถอนหายใจ เธอก็มองลอดผ่านช่องว่างระหว่างโซ่

 

 

จากอีกด้านหนึ่งของช่องว่าง มีแสงสว่างที่กำลังส่องไปมาเหมือนกับเปลวเพลิง

 

 

 

「แต่ว่านายคงอยู่ตรงนั้นสินะ」

 

มันพร่ามัวจนแทบจะมองไม่เห็น แต่เป็นแสงที่สงบราวกับทารกที่กำลังหลับไหล

 

 

ซีน่าถอนหายใจเล็กน้อยและหันหลังให้กับกำแพงโซ่

 

 

 

「อืม ถ้างั้นฉันจะเฝ้ารอ เพราะงั้นจะปล่อยให้นายได้อยู่กับตัวเองสักพักก็ได้……」

 

ซีน่านั่งสมาธิชั่วครู่หนึ่งปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามความรู้สึก

 

 

หัวใจของเขาสามารถมองเห็นได้ผ่านโซ่ตรวนนั่น

 

 

เธอรู้สึกถึงการมีอยู่ของตัวตนแสนอันตรายอย่างเทียแมตในตัวของเขา และสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือการที่มังกรยักษ์นั่นจะกลืนกินวิญญาณของเขา

 

 

แต่ว่าดูเหมือนว่าโนโซมุแค่กำลังหลับไหลอยู่เท่านั้น

 

 

หากบอกกันสักนิดก็จะได้ยืนยันข้อเท็จจริงทำให้เพื่อนที่รออยู่ด้านนอกได้โล่งอกกันบ้าง

 

 

อย่างไรก็ตามความเย็นที่สัมผัสได้ผ่านแผ่นหลังของเธอทำให้รู้สึกถึงความเหงาขึ้นมา

 

 

เธอรู้ว่าเขา ไม่ได้ยิน มองเห็น หรืออยู่เคียงข้างเธอเลย

 

 

รอยยิ้มของเขานั้น เธอไม่มีวันลบมันออกจากหัวได้เลย

 

 

เธอรู้สึกว่าอยากจะอยู่กับเขาตลอดไปแม้ว่าเขาจะไม่ตอบโต้อะไรก็ตาม

 

 

 

「อืมม……」

 

ในเวลานั้นคำพูดของเพื่อนสนิทก็ผุดเข้ามาในใจของซีน่า

 

“ฉันคิดว่าซีน่าก็แค่ต้องตามหาคนๆนั้นให้เจอ คนที่เธอชอบ ตัวเธอที่อยากอยู่เคียงข้างเขา และอยากจะออดอ้อนคนๆนั้น”

 

ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว มิมูรุกับทอมก็มีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าทางฝั่งทิม่าเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นกับมาร์คุงด้วยสินะ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ซีน่าสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” จากก้นบึ้งของหัวใจ มันเป็นช่วงเวลาที่เธอได้สังเกตเห็นถึงเปลวไฟเล็กๆที่ถูกจุดอยู่ในอกของเธอ

 

 

ในเวลาเดียวกันไฟเล็กๆนั่นก็ค่อยๆเผาดวงใจของซีน่า

 

 

คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบและความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่อาจเข้าใจได้แม้ว่าจะได้อยู่เคียงข้างแล้วก็ตาม

 

 

 

「นายกำลังทำอะไรอยู่นะ รีบๆตื่นขึ้นมาได้แล้วโนโซมุ……」

 

เสียงพึมพำของเธอนั้นดังก้องไปทั่ววงจรเวทย์ที่ถูกครอบงำไปด้วยความเงียบจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นที่ดังก้องอยู่ภายใน

 

 

กำแพงโซ่ที่ขวางกั้นซีน่ากับเขาออกจากกัน แสงทรงกลมที่ส่องประกายอยู่ทางด้านหลังโซ่นั่น

 

 

โนโซมุนายกำลังทำอะไรอยู่……。

 

「ที่นี่มันที่ไหนกัน?」

 

ขณะพึมพำเช่นนั้น เธอก็กำลังมองทิวทัศน์ที่แปลกประหลาดออกไปตรงหน้าของเธอ

 

 

ป.ล. ความจริงว่าจะแปลสองตอนในวันนี้ แต่พอแปลเนื้อหาของไอริสแล้ว มันดันตรงกับชีวิตผมมากๆ และระหว่างที่แปลผมก็น้ำตาไหลพยายามทำใจแปลต่อไปให้เสร็จ จากความตั้งใจที่จะแปลต่อทำให้อารมณ์ผมดิ่งลงทันที

 

พี่สาวนั้นเกิดมาก่อนผม และผมเป็นลูกคนที่สอง ตอนที่แม่คลอดผมมา ผมเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด เป็นเด็ก 7 เดือน ไม่ใช่ 9 เดือนเหมือนชาวบ้านเขา ตอนที่แม่คลอดผมก็มีอุปสรรคเยอะแยะมากมายไหนจะครรภ์เป็นพิษ แถมยังต้องรีบคลอดก่อนกำหนด แม่ของผมคลอดผมไม่ไหว ดังนั้นวิธีที่จะเอาตัวผมออกมา ก็คือ การผ่า ซึ่งหลังจากผ่าแล้วก็เกิด

มาเป็นเด็กผิดปกติซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพวกออทิสติกนั่นแหละครับ แต่ว่าผมเป็นพวกหัวไว และจะมีสมาธิกับเรื่องที่รักอย่างเดียว แต่ว่าแม่ที่คลอดผมไม่ได้เสียหรอกนะครับ แต่เป็นพ่อผมต่างหากที่เสียไป บอกตามตรงถ้าพ่อผมยังอยู่สภาพฐานะในครอบครัวผมคงดีกว่านี้ แต่ว่าทางบ้านแม่และพ่อไม่ถูกกัน ปกติผมจะต้องอยู่กับฝ่ายพ่อ แต่ว่าแม่ก็เลือกที่จะเอาผมมาเลี้ยงด้วยตัวเอง ซึ่งตระกูลฝ่ายพ่อผมก็เป็นเศรษฐีแหละครับ แต่ว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้ผมคือที่ดิน ตอนที่ผมเกิดมาพ่อผมก็จากไปโดยทันทีครับ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ความ และภาพถ่ายครอบครัวก็ไม่เคยมีรูปของพ่ออยู่เลยซึ่งผมก็ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อตัวเองเลยสักครั้ง หลุมศพพ่ออยู่ที่กรุงเทพซึ่งผมไม่เคยไปพบกับญาติของฝ่ายพ่อเลยสักครั้ง เรียกว่าแม่ไม่อยากพาผมไปพบเสียมากกว่า ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่รูปถ่ายครอบครัวก็ไม่เคยมีภาพพ่ออยู่เลย ซึ่งมันก็ทำผมรู้สึกเหงาๆเหมือนกันครับ

บางคนอาจจะคิดว่าผมอินกับนิยายเกินไป ใช่ครับผมอินและมันทำให้ผมนึกถึงพ่อของผมขึ้นมา ตอนที่แปลออกมายังน้ำตาไหลอยู่เลยพอเป็นเรื่องกับครอบครัวแบบนี้

ก็นะก็แค่อยากระบายให้ฟังเท่านั้นเองเพราะตอนนี้มันแทงใจดำผมสุดๆเลยยังไงล่ะ