ตอนที่ 96 อธิบายรายละเอียด

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

แต่ยามที่หวังซีได้เจอเฉินลั่วจริงๆ นั้น ความไม่ยินยอมที่มีเต็มท้องกลับพูดออกมาไม่ได้อย่างกะทันหัน

ตอนเฉินลั่วมาถึงยังสวมชุดขุนนางขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดวงหน้าหล่อเหลามืดครึ้มจนแทบจะหลั่งน้ำฝนออกมาอยู่แล้ว ริมฝีปากเม้มแน่น คล้ายเทพแห่งคงคาที่กำลังจะพิโรธ หากผู้ใดยั่วยุเขา เขากลืนกินคนผู้นั้นลงไปในหนึ่งคำได้เลย

จากที่เคยติดต่อกับเฉินลั่วมาหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ หวังซีเคยผ่านจุดต่ำสุดที่เขาเคยปฏิบัติต่อนางมาแล้ว ความเดือดดาลเช่นนี้ไม่เพียงพอให้นางรู้สึกหวาดกลัว แต่นางรู้สึกเห็นใจเขามากกว่า

ท่าทางของเขานี้ แค่มองก็รู้แล้วว่ามีเรื่องเกิดขึ้น สภาพจิตใจจึงย่ำแย่ยิ่งนัก

นางเองก็ไม่ยิ้ม สนทนากับคุณหนูหกปั๋วสองสามประโยคแล้วตามเฉินลั่วออกไป

กลับเป็นคุณหนูหกปั๋ว ไม่แม้แต่จะหายใจแรง เครื่องประดับหรือผลประโยชน์อะไรต่างๆ ก็ไม่เอ่ยถึงเลยแม้แต่ประโยคเดียว ตอนส่งพวกเขาออกจากประตูคล้ายกำลังเดินไปส่งเทพแห่งภัยพิบัติก็ไม่ปาน ทำให้หวังซีลอบรู้สึกประหลาดใจ

เฉินลั่วนั่งเกี้ยวมา ยังเอาเกี้ยวอีกหลังหนึ่งมารับหวังซีด้วย

หวังซีพิศวงเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังคงขึ้นเกี้ยวไปโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใด

พวกเขามิได้ไปไหนไกล ยังคงอยู่ในเขตเสี่ยวสือยง เข้ามาในบ้านขนาดเล็กสองทางเข้าหลังหนึ่ง ณ ซอยลิ่วเถียวที่อยู่ข้างๆ ซอยไหวหลิ่ว

เกี้ยวตรงเข้ามาที่ประตูชั้นใน

เฉินลั่วกล่าวแนะนำ “นี่คือบ้านอีกหลังหนึ่งที่ข้าซื้อไว้ตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน จึงซื้อบ้านหลังนี้มาในนามของเฉินจง มาพักที่นี่อยู่บ่อยครั้ง” และกล่าวแนะนำอีกว่า “เฉินจงคือบิดาของเฉินอวี้ เมื่อก่อนเป็นบ่าวของตระกูลจิน ต่อมาติดตามมารดาของข้ามาที่จวนเจิ้นกั๋วกง ถือเป็นคนที่มารดาข้ามอบให้ข้า”

เฉินอวี้มีประวัติความเป็นมาเช่นนี้นี่เอง

เฉินลั่วเองก็นับว่าใจกล้าห้าวหาญยิ่งนัก

หรือว่าครานั้นที่เฉินลั่วเห็นจ่างกงจู่กับจินซงชิงแต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรนั้น เป็นเพราะเขาทราบเรื่องมาตั้งนานแล้ว และยอมรับเรื่องของมารดากับจินซงชิงได้แล้ว?

หวังซีอดไม่อยู่ ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นตอนนี้เฉินจงกำลังทำอะไรอยู่”

เฉินลั่วตอบอย่างคลุมเครือว่า “ตอนนี้ช่วยดูแลทรัพย์สินบางส่วนให้ข้าอยู่”

หวังซีพูดไม่ออก

คาดว่าเฉินลั่วคงแอบซื้อทรัพย์สินแล้วให้เฉินจงช่วยดูแล!

อย่างไรก็ตาม บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ บางทีเฉินจงพ่อลูกคู่นี้อาจกลายมาเป็นบ่าวผู้สัตย์ซื่อของเฉินลั่วผ่านการติดต่อกับเฉินลั่วก็เป็นได้

หวังซีทำได้แค่คิดเช่นนี้ ถือโอกาสมองสำรวจทรัพย์สินส่วนตัวของเฉินลั่ว

บ้านไม่ใหญ่ แต่จัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้าน เรือนประธานขนาดสามห้อง เรือนปีกตะวันออกและตกขนาดสองห้อง เสาสีแดงหน้าต่างสีเขียว เบื้องซ้ายเป็นต้นพุทราสูงเลยหลังคาบ้านต้นหนึ่ง เวลานี้ดอกเล็กๆ กำลังชูช่อเบ่งบาน ส่วนด้านขวาเป็นต้นองุ่นซุ้มหนึ่งที่เต็มไปด้วยองุ่นเป็นพวงๆ ดอกบัวที่ปลูกไว้ในอ่างกระเบื้องลายครามข้างต้นองุ่นกำลังชูช่อเบ่งบานอยู่สองสามดอก ภายใต้แสงเรืองรองยามอาทิตย์อัสดง บ้านหลังเล็กเงียบสงบแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เป็นบุรุษจอมแผนการดั่งกระต่ายสามโพรงจริงๆ!

แค่ที่นางรู้เขาก็มีบ้านสามหลังแล้ว

ไม่รู้ว่ายังมีทรัพย์สินซ่อนอยู่ที่ไหนอีกบ้าง

หวังซีและเฉินลั่วนั่งสนทนากันตรงโต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่น

ชาที่ดื่มยังเป็นชาหลงจิ่นที่เก็บเกี่ยวก่อนวันเชงเม้ง

หวังซีสงสัยว่าชาที่เฉินลั่วมีในมือคงเป็นชาหลงจิ่นที่เก็บเกี่ยวก่อนวันเช็งเม้งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการรับรองแขกหรือพบปะมิตรสหาย ล้วนใช้มันรับรองแขกทั้งสิ้น

อย่างไรเสียชาหลงจิ่นที่เก็บเกี่ยวก่อนวันเช็งเม้งนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจับผิดอะไรได้

เฉินลั่วไหนเลยจะคิดว่าหวังซีกำลังวิพากษ์วิจารณ์เขาอยู่ เขากล่าวขึ้นว่า “ข้าเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บ่าวไพร่ในจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นส่วนมากมาจากบ้านเดิมที่เหอหนาน ถึงเวลาให้หมี่เหนียงจื่อแสร้งทำเป็นสตรีจากทางนั้นที่แต่งงานมาที่นี่แล้วมาของานทำเพื่อประทังชีวิต ด้วยนิสัยของบิดาข้าแล้ว เขาต้องรับคนเอาไว้อย่างแน่นอน” กล่าวถึงตรงนี้ มุมปากเขากระตุก เผยความเหยียดหยันออกมาเล็กน้อย

หรือว่าในเรื่องนี้ก็มีเบื้องหลังอะไรซุกซ่อนอยู่?

ตอนนี้หวังซีสนใจเฉินลั่วมากกว่าเจิ้นกั๋วกง นางถาม “บรรพบุรุษของเจ้าเป็นคนเหอหนาน? ที่ไหนของเหอหนานหรือ”

เฉินลั่วตอบอย่างรังเกียจ “ลั่วหยาง”

หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมืองหลวงเก่าอันเลื่องชื่อนี่นา! โบตั๋นของที่นั่นมีชื่อเสียงมาก ข้าเคยกินอาหารจานน้ำของพวกเขาด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่มีน้ำแกงทั้งสิ้น กินหนึ่งอย่างเสร็จก็นำอีกหนึ่งอย่างขึ้นโต๊ะ กินมากถึงแปดหรือสิบอย่าง กินได้ตลอดทั้งวัน ตอนนั้นข้ายังคุยกับพี่ชายรองว่าอาหารเหล่านี้ต้องเป็นสำรับในวังของราชวงศ์ก่อนเป็นแน่ ขุนนางในเวลานั้นบุญหนักศักดิ์ใหญ่กว่าขุนนางปัจจุบันมากนัก ไม่พูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยตอนเข้าร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงก็ไม่จำเป็นต้องรองท้องไปก่อนล่วงหน้า บรรดาขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงรั้งให้อยู่รับสำรับด้วยไม่มีทางกินไม่อิ่ม”

เฉินลั่วได้ยินแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงก่อนหน้านี้ขึ้นมา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่ เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา

เห็นได้ชัดว่าหมอกเมฆกลายเป็นแจ่มใสขึ้นแล้ว

หวังซีไม่คาดคิดว่าเขาจะฟังที่นางพูดจริงๆ

เฉินลั่วกลับรู้สึกว่าการได้อยู่กับหวังซี ได้ฟังนางพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้จริงๆ

เขาอดไม่ได้พูดถึงเรื่องภายในบ้านขึ้นมา “เพราะเป็นเช่นนี้ บิดาข้าจึงมักจะโอ้อวดเสมอว่ามาจากตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง บรรพบุรุษเคยเป็นแม่ทัพใหญ่มาแล้วหลายท่านและแตกต่างจากตระกูลชั้นสูงอื่นๆ ไม่ว่าภายนอกเขาจะเป็นอย่างไร เนื้อในกลับถือตัวสูงส่ง จะคนนี้คนนั้นก็ดูถูกเขาไปหมด”

เพราะเป็นเช่นนี้ แม้นเป่าชิ่งสูงส่งเป็นถึงจ่างกงจู่ แต่เฉินอวี๋ยังคงดูแคลนนางที่แต่งงานเป็นครั้งที่สองอยู่?

หวังซีเกือบจะถามออกไปแล้ว กล่าวหยอกเย้าเฉินลั่วว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาจากครอบครัวที่โดดเด่นเป็นพิเศษ!”

เฉินลั่วเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ถึงกับกล่าวอย่างถ่อมตนเล็กน้อยว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าข้าเกิดมาจากครอบครัวดี แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี”

ก่อนรู้จักตัวตนของเฉินลั่วหวังซีคงคิดว่าเขากล่าวเช่นนี้ชวนให้คนรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก แต่ตอนนี้นางเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

แน่นอนว่าคนที่เกิดมาจากครอบครัวดีย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ครอบครัวที่ไม่กลมเกลียวกัน ครอบครัวที่ทำให้เจ้าไม่อาจอยู่ในบ้านได้อย่างสบายใจ ยามพานพบปัญหาต้องการคนช่วยเหลือกลับไม่มีคนปกป้องเช่นนี้ มิสู้เกิดมาจากครอบครัวธรรมดา มีคนในบ้านคอยทำเพื่อตนอย่างสุดจิตสุดใจดีกว่า

นางรู้สึกว่านี่มิใช่หัวข้อสนทนาที่ดีนัก ได้ยินแล้วพยักหน้ายิ้มๆ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “เหตุใดวันนี้สีหน้าเจ้าถึงย่ำแย่เพียงนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”

เฉินลั่วได้ยินแล้วสลดหดหู่ลงมา

หวังซีดูออกว่าเขากำลังไตร่ตรองอยู่ว่าควรพูดกับนางดีหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเขาคงปฏิเสธไปตามตรงแล้ว คงไม่นิ่งเงียบเช่นนี้

เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เฉินลั่วครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายเล่าให้หวังซีฟังว่า “บ่ายวันนี้ ข้ารับมื้อกลางวันในวังหลวง ฮ่องเต้ทรงพระราชทานมื้ออาหารให้ มีข้ากับสือเหล่ย ผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้าย แล้วก็มีลี่สือเจี๋ย เสนาบดีกรมกลาโหม และเซี่ยสือ เสนาบดีกรมคลังอยู่ด้วย ฮ่องเต้ทรงหารือเรื่องสงครามที่หมิ่นหนานกับลี่สือเจี๋ยและเซี่ยสือ ข้าอยู่เวร ส่วนสือเหล่ยมาถวายคำรายงานฮ่องเต้ คุยไปคุยมา ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ก็ทรงเอ่ยถึงเรื่องที่หม่าซานไปสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารที่หมิ่นหนานขึ้นมา จากนั้นทรงตรัสว่าหลังผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วอยากให้ข้าเดินทางไปหมิ่นหนานสักครั้งหนึ่ง ไปฝึกปรือความสามารถด้านการกรีธาทัพรวบรวมกำลังพลจากเหยียนเจิ้ง”

หม่าซานคือขันทีใหญ่ของฝ่ายกิจการทหาร เคยถวายการรับใช้ฮ่องเต้ตั้งแต่สมัยยังประทับอยู่ที่ตำหนักเฉียนตี่ก่อนขึ้นครองราชย์ นับเป็นหนึ่งในขันทีที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากที่สุด ส่วนเหยียนเจิ้งก่อนหน้านี้เป็นผู้ตรวจราชการฝูเจี้ยน ต่อมาปราบปรามโจรสลัดแคระสำเร็จ ได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้ตรวจราชการหมิ่นเจ้อ ปัจจุบันกำลังนำทัพสู้รบกับโจรสลัดแคระอยู่ที่หมิ่นหนาน

หวังซีคิด นี่เป็นเรื่องดีนี่นา!

ไปแล้วก็ทำผลงานได้

ตามระเบียบปฏิบัติที่ราชวงศ์ปัจจุบันสืบต่อมานั้น มีผลงานสร้างคุณูปการต่อแผ่นดินถึงจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ได้

เฉินลั่วไปแล้ว อาจได้สร้างผลงานให้ตัวเองสักอย่างหนึ่ง จะได้ไม่ต้องแย่งกินแย่งใช้กับเฉินอิงอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงขนาดหนึ่งจุดสามหมู่อันคับแคบนี้แล้ว

แต่ความยินดีนี้ก็เหมือนกับดอกไม้ไฟที่จุดติดเร็ว แล้วก็มอดไหม้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ยังทิ้งระลอกควันเอาไว้อีกด้วย

เรื่องที่นางคิดได้ เฉินลั่วย่อมคิดได้เช่นกัน แต่ดูจากท่าทางของเฉินลั่ว นอกจากไร้ความดีใจแล้ว ยังดูเดือดดาลมากอีกด้วย ในเรื่องนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ ที่นางไม่รู้ซ่อนอยู่ด้วยเป็นแน่

หวังซีเป็นคนที่ไม่รู้ก็ถาม นางเอ่ยถามตามตรงว่า “มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ”

เฉินลั่วพยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงให้มารดาของข้าแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง”

หวังซีรู้สึกว่าเรื่องระหว่างจ่างกงจู่กับเจิ้นกั๋วกงซับซ้อนเกินไป แม้แต่คาดเดายังไม่อยากทำเลย นางจึงส่ายศีรษะรัว

เฉินลั่วปรายตามองหวังซีครั้งหนึ่ง ถามอีกว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าสามในสิบของกั๋วกงใหญ่ๆ ที่เหลืออยู่ เหตุใดถึงมีเพียงจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ไม่ล้มลง?”

นี่คือท่าทีของการอยากเล่าเรื่องแล้ว

แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่ขัดจังหวะ ส่ายศีรษะรัวอีกครั้ง

สีหน้าของเฉินลั่วดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้นอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ เขากล่าว “ปักษาตายสิ้น ธนูดีก็ไร้ความหมาย เพื่อหลบเลี่ยงข้อพิพาทในจิงเฉิง บรรพบุรุษของตระกูลเฉินจึงอาสาไปพิทักษ์เยียนโจว จนกระทั่งยุคปู่ทวดของข้า รบกับเกาหลีสามครั้ง ทำให้เกาหลียอมจำนนและยอมจ่ายเครื่องบรรณาการ ถึงได้ย้ายกลับมาที่จิงเฉิงอีกครั้ง…

…บิดาของข้านั้นแม้นกล่าวว่าคุณสมบัติมิได้โดดเด่นอะไร ทว่าด้านบุ๋นสอบผ่านจิ้นซื่อเป็นบัณฑิตเอกชั้นสอง ด้านบู๊ดึงธนูหนักสามต้าน[1] ได้ บุคลิกไหลลื่นเข้าสังคมเก่ง ครอบครัวร่ำรวยมีอำนาจ ยังเชี่ยวชาญการสำรวจสีหน้าคน ตัดสินสถานการณ์ตามหลักความเป็นจริง และคาดเดาความคิดขององค์เหนือหัวได้”

ยามเขากล่าวถึงประโยค ตัดสินสถานการณ์ตามหลักความเป็นจริง นั้น นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยันเหมือนตอนที่เอ่ยถึง ‘ลั่วหยาง’ เมื่อครู่ออกมาให้เห็นอีกครั้ง

หวังซีนึกถึงเรื่องที่เฉินอวี๋เคยหลบหนีออกจากเมืองเรื่องนั้นขึ้นมา…

“ด้วยเหตุนี้ขุนนางน้อยใหญ่ของเยียนโจว โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายทหารจึงชอบมา ‘พูดเปิดอก’ กับบิดาของข้าเป็นพิเศษ แล้วก็ชอบมาขอให้บิดาของข้าช่วยตัดสินใจให้เป็นการเฉพาะอีกด้วย” เฉินลั่วกล่าว “ยามเกาหลีมาส่งเครื่องบรรณาการ เมื่อส่งหนังสือทางการทูตให้สำนักแปลภาษาแล้วก็จะมาเยี่ยมเยียนจวนเจิ้นกั๋วกง…

…ฮ่องเต้ในเวลานั้นภายในมีตระกูลปั๋ว ภายนอกมีชิงผิงโหว ไม่อยากให้เกาหลีสร้างความโกลาหลอะไรขึ้นอีก ถึงได้ประสงค์ให้มารดาของข้าแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงให้ได้…

…เจิ้นกั๋วกงนั้น ทั้งอยากกดทับชิงผิงโหว ทั้งไม่ยินดียอมรับสถานะต่ำกว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวด้วยสาเหตุจากการเกี่ยวดอง ถึงไม่เต็มใจที่สุด แต่ยังคงฝืนบีบจมูกตอบตกลง”

ตอนเฉินลั่วกล่าวถึงตรงนี้ ดูไร้ทางเลือกเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ดวงตาสุกใสงดงามดุจดวงดารายังดูมืดหม่นไร้แสงไปหมด

หวังซีกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “นี่ก็เหมือนกับทำการค้า ต่อให้เจ้าขาดทุน แต่ตอนแรกก็ไม่ได้มีคนกดศีรษะเจ้าไว้ว่าเจ้าต้องยอมตกลง เจ้าจึงทำได้แค่ต้องตั้งใจทำตามสัญญาให้ดีที่สุดเท่านั้น เจิ้นกั๋วกงหมายความว่าอย่างไร ตัวเองอยากได้ผลประโยชน์ ผลสุดท้ายค้นพบว่าขาดทุน ไม่คุ้มค่า ก็เลยคิดจะกลับคำพูด? ตอนแรกฮ่องเต้ทรงบีบบังคับเขาหรืออย่างไร”

พอขาดทุนแล้วก็คิดจะกลับคำพูด!

ถ้อยคำนี้ช่างกล่าวได้ตรงจุดจริงๆ

นึกถึงตอนนั้น ตระกูลชิ่งอวิ๋นโหวมีฮองเฮาเกิดขึ้นอีกผู้หนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ตระกูลปั๋วยอมลงให้ทุกด้านและยอมอดทนทุกทาง ส่วนชิงผิงโหวเนื่องด้วยความพ่ายแพ้จากการสู้รบที่หย่งชังทำให้ไม่กล้ามีปากเสียง จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่จวนเจิ้นกั๋วกงรุ่งโรจน์จริงๆ แต่จากที่องค์ชายรองเติบโตขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ชิงผิงโหวกู้หกเมืองที่กานกู่กลับมาได้อีกครั้ง ฮ่องเต้เริ่มใช้ชิงผิงโหวกดทับจวนเจิ้นกั๋วกง เฉินอวี๋จึงรู้สึกไม่คุ้มค่าขึ้นมา

แม้นหวังซีจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทว่ากลับกล่าวความนึกคิดของบิดาของเขาออกมาได้อย่างถูกต้อง

เขาอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าช่างฉลาดมีไหวพริบจริงๆ!”

“แน่นอนอยู่แล้ว” หวังซีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ท่านปู่ของข้ากล่าวว่า หากสนใจเรื่องของกินและเสื้อผ้าเครื่องประดับให้น้อยลงหน่อย ข้าย่อมทำการค้าได้ไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายใหญ่ของข้าอย่างแน่นอน แต่ทำการค้าลำบากยิ่งนัก ข้ามิได้ขาดแคลนของกินของใช้เสียหน่อย เหตุใดต้องทำให้ตัวเองต้องลำบากด้วย ข้าย่อมอยากเป็นมอดข้าวนอนอยู่ในยุ้งฉางมากกว่าอยู่แล้ว!”

เฉินลั่วหัวเราะลั่น อารมณ์เบิกบาน แทบจะไม่เห็นความหมองหม่นของเมื่อครู่แล้ว

หวังซีมองแล้วในใจคันยุบยิบ เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น เพราะเหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงขุ่นเคืองใจเพียงนั้น”

เฉินลั่วตะลึงงัน ยังคงมีรอยยิ้มของเมื่อครู่หลงเหลืออยู่บนใบหน้า จากนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “ถ้าหากข้าใช้ผลท้อที่ผู้อื่นได้มาไปสร้างผลงานให้ตัวเอง เจ้าคิดว่า คนเยียนโจวจะพูดถึงข้าอย่างไร”

ข้ารู้สึกว่าข้าพยายามเร่งความเร็วตามกฎและสถานการณ์อย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงรู้สึกว่าคืบหน้าอย่างเชื่องช้าอยู่ดี…