จริงด้วย! ทหารสู้รบด้วยชีวิต เหตุใดต้องให้ผู้อื่นขโมยผลงานด้วย
หากเฉินลั่วกลายเป็นคนเช่นนั้น ในหมู่ทหารยังจะมีใครเคารพเขาอีก
ต่อให้วันหนึ่งเขาอาจได้เป็นเจิ้นกั๋วกง แต่จะใช้อะไรไปโน้มน้าวใจคนหมู่มากได้
ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ
ถ้าหากเป็นผู้อื่นที่พานพบกับเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปลอบโยนเฉินลั่วสักสองสามประโยคเพื่อชี้แนะแนวทางให้เขา แต่หวังซีคิดแตกต่างออกไป
ตำแหน่งต่าง แผนการก็ต่าง
วาจาฮ่องเต้นั้นทรงอำนาจ จะตรัสสิ่งใดจึงสมควรต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ต่อให้ไม่ตั้งใจ ก็ไม่สมควรได้รับการให้อภัย ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้อยู่ในตำแหน่งมานานหลายปี แล้วก็มิใช่บุคคลธรรมดาสามัญ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่กล่าวออกมานั้นมีผลกระทบต่อเฉินลั่วอย่างไรบ้าง
เช่นนั้นฮ่องเต้มีเจตนาอะไรกันแน่
เฉินลั่วเป็นทั้งขุนนางผู้ใต้บังคับบัญชาและเป็นทั้งคนรุ่นหลาน นอกจากนี้ขุนนางกินเงินหลวง อย่างไรก็ต้องร่วมแบ่งเบาภาระหลวง ต่อให้ฮ่องเต้มีเจตนาอะไร เฉินลั่วก็สมควรจะยอมรับ ไม่ควรกรุ่นโกรธเช่นนี้ถึงจะถูก
ปัญหาของเรื่องนี้คงมิใช่แค่ว่ามันมีผลกระทบไม่ดีต่อตัวเฉินลั่วเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หวังซีถาม “ณ ตอนนั้นเจ้าเอ่ยปากพูดอะไรได้หรือไม่”
หากพูดอะไรได้ ก็มีโอกาสได้อธิบาย แต่บางครั้ง ก็เหมือนกับเวลาที่นางสร้างปัญหาแล้วสาวใช้ข้างกายนางต้องเป็นแพะรับบาปแทนนาง
แต่ก็มิใช่ว่าคนเป็นแพะรับบาปจะเสียเปรียบเสมอไป
สิ่งสำคัญคือยังต้องดูด้วยว่าหลังเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วมีการชดเชยอะไรให้บ้าง
ได้ยินถ้อยคำของหวังซีแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เฉินลั่วรู้สึกโล่งอก
เขาค่อนข้างเป็นกังวลกลัวหวังซีจะเกลี้ยกล่อมเขาว่าไม่ว่าจะเป็นเสียงฟ้าคำรามหรือหยาดฝนชุ่มฉ่ำโปรยปรายล้วนเป็นความเมตตาของผู้อยู่เหนือหัวทั้งสิ้น ให้เขาอย่าถือโทษโกรธเคือง
ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นแพะรับบาปนั้นไม่มีปัญหา แต่ไม่ควรผลักเขาออกไปเหมือนเขาเป็นคนโง่เช่นนี้ ยังต้องการให้เขารู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตา คิดว่าเขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสวรรค์อีก
ตอนที่เฉินลั่วคิดถึงตรงนี้ แววตาหนักอึ้ง คำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่เคยกักเก็บไว้ก็เล่าออกมาให้หวังซีฟังจนหมด “สือเหล่ยเป็นคนเสียผู่ที่ฝูเจี้ยน ครอบครัวมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลยศขั้นสี่เป็นมรดกตกทอด เขาเป็นบุตรชายคนรอง พี่ชายใหญ่ของเขาเป็นคนสืบทอดตำแหน่งขุนนาง บิดาของเขาประจบประแจงผู้มีอำนาจเก่ง เดินอยู่ในเส้นสายของหวังหลง อดีตขันทีตรวจฎีกาผู้ทรงอำนาจ เขาย้ายสือเหล่ยมาอยู่จิงเฉิงและเข้าร่วมกองพลทองคำ สือเหล่ยยังมีน้องชายอีกผู้หนึ่ง แต่ติดตามเหยียนเจิ้ง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถของเหยียนเจิ้ง สร้างผลงานในสนามรบหลายต่อหลายครั้ง…
…อย่างไรก็ตาม น้องชายของสือเหล่ยมีข้อเสียร้ายแรงอย่างหนึ่งก็คือเขาไม่ชอบเรียนหนังสือ ยศซิ่วไฉทางทหารที่ได้มาก็ได้มาจากการสร้างผลงาน ให้เขาเขียนฎีกาสักฉบับนั้นยากเย็นกว่าให้เขาไปสู้รบกับข้าศึกในสนามรบเสียอีก…
…เหยียนเจิ้งปรารถนาจะขอเลื่อนตำแหน่งให้เขาหลายต่อหลายครั้ง ก็ถูกผู้อื่นฟ้องร้องหมด สุดท้ายจึงยังไม่ได้ข้อสรุป…
…การสู้รบกับชาวแคระที่หมิ่นหนานในครั้งนี้ น้องชายของสือเหล่ยก็สร้างผลงานชิ้นใหญ่อีกครั้ง…
…เจ้าว่า ฮ่องเต้ทรงเลือกตรัสเรื่องให้ข้าเดินทางไปหมิ่นหนานในจังหวะที่เหยียนเจิ้งส่งฎีกามาขอเลื่อนตำแหน่งให้น้องชายของสือเหล่ยพอดิบพอดีอย่างไม่เร็วไปและไม่ช้าไปแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้ สือเหล่ยจะคิดอย่างไร”
หวังซีมองเฉินลั่ว พึมพำกล่าว “คงคิดว่าเจ้าไปแบ่งผลงานกับน้องชายของเขา?”
เฉินลั่วพยักหน้า กรุ่นโกรธจนต้องลุกขึ้นมา เดินไปเดินมาอยู่ใต้ซุ้มองุ่น กล่าวว่า “ไม่เพียงแค่นั้น ข้ายังกลัวว่าสือเหล่ยจะคิดมาก คิดว่าฮ่องเต้กำลังขู่กรรโชกเขาเพื่อข้า เป็นเหตุให้เขาเอาเงินมาติดสินบนข้า ถึงเวลาข้าไม่เพียงทำให้ตระกูลสือขุ่นเคืองเท่านั้น ยังทำให้เหยียนเจิ้งไม่พอใจอีกด้วย…
…ถึงแม้ว่าข้าไม่กลัวเรื่องนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปฮ่องเต้กลับตรัสกับข้าว่า นี่เป็นความคิดของฮองเฮาเหนียงเหนียง ให้ข้าไปบอกมารดาของข้าสักคำหนึ่ง ให้มารดาของข้าไม่ต้องเป็นห่วงอนาคตของข้า เส้นทางในอนาคตของข้านั้นอยู่ในใจของเขาแล้ว…
…ข้าอยากถามเหลือเกินว่า ในใจของเขานั้น ข้าสมควรจะมีอนาคตเช่นไร…
…ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่ง แต่งตั้งเฉินอิงเป็นซื่อจื่อหรือไม่ก็แต่งตั้งข้าเป็นซื่อจื่อก็ได้แล้ว เขากลับต้องการยุยงปลุกปั่นให้เกิดปัญหา กระทุ้งยุแหย่จนทุกคนไม่เป็นสุขกันทั้งหมด”
“ฮ่องเต้ขู่กรรโชกขุนนางให้หลานชาย?!” หวังซีปากอ้าตาค้าง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
เฉินลั่วยิ้มขื่น กล่าวว่า “ตอนข้าเป็นเด็กฮ่องเต้ก็ทรงทำเหมือนพูดเล่นบอกให้หม่าซานหาชามข้าวทองคำ[1]ให้ข้าสักใบหนึ่ง หม่าซานไม่ใส่ใจ ฮ่องเต้ยังจงใจถามเขาต่อหน้าขุนนางใหญ่จำนวนมากว่าได้หาให้ข้าหรือยัง ทำเอาหม่าซานหน้าแดงหูแดงไปหมด แล้วก็หาตำแหน่งงานที่เป็นดั่งชามข้าวทองคำให้ข้าหนึ่งตำแหน่งจริงๆ อย่างเสียมิได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าทุกคนล้วนคิดว่าต่อให้เป็นวาจาล้อเล่นของฮ่องเต้ แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับเฉินลั่วแล้ว คำพูดล้อเล่นก็อาจกลายเป็นคำพูดจริงได้
ถือว่าไม่เป็นผลดีสำหรับเฉินลั่วเลย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว พระเมตตาที่ฮ่องเต้มีต่อเฉินลั่วนั้นช่างมีจำกัดจริงๆ
เฉินลั่วคิดมากยิ่งกว่านั้น
ไม่ให้เขาเดินกลับไปกลับมาสักสองสามรอบก็ยากที่อารมณ์จะสงบลงมาได้ แต่พอเดินกลับไปกลับมาแล้ว ก็ร้อนจนเหงื่อไหลไม่หยุด
สุดท้ายร้อนมากจนเหลือจะทานทน เขานั่งลงมาดื่มน้ำชาอึกๆ ไปสองถ้วยในคราวเดียว ถึงได้สงบลง
หวังซีหยิบพัดรูปใบไม้ส่งให้เฉินลั่ว
เฉินลั่วพัดแรงๆ ไปสองสามที นึกถึงตอนที่เขากับหวังซีพบกันเมื่อคราก่อนขึ้นมา ที่หวังซีเคยเตือนสติเขาว่าควรจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนนั้น เขายังไม่ได้เล่าความคืบหน้าให้นางฟังเลย กล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “ก่อนหน้านี้มารดาของข้าตั้งใจจะให้ข้าเดินทางไปหมิ่นหนานจริงๆ ภายหลังข้ากลับไปบอกนางว่าข้าอยากเป็นเจิ้นกั๋วกง แม้นนางจะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงตัดสินใจจะไปสอบถามฮ่องเต้ให้ข้า…
…มารดาของข้ายังไม่ทันได้เข้าวัง ฮ่องเต้กลับให้ข้าเดินทางไปหมิ่นหนานอย่างกะทันหัน สอดคล้องกับสิ่งที่มารดาของข้าเคยคิดไว้ หากมิใช่เพราะฮองเฮาเหนียงเหนียงไปพูดอะไรต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ก็ต้องเป็นเพราะฮ่องเต้อยากให้ตระกูลสือหรือไม่ก็เหยียนเจิ้งทำอะไรบางอย่างให้เขา”
หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะมาปรึกษานาง น้ำเสียงนี้ให้ความรู้สึกของคนเป็นพันธมิตรอยู่ด้วยหลายส่วนจริงๆ
นางยิ้มแป้นกล่าวว่า “หากฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นคนไปกล่าวอะไรต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้จริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าควรหาทางทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงยุ่งเรื่องของเจ้าให้น้อยลงหน่อย แม้นข้าไม่เคยพบฮองเฮาเหนียงเหนียงมาก่อน แต่เจ้าดูนาง นางวางแผนมานานหลายปีขนาดนี้ แต่ก็ยังเอาหมวกรัชทายาทมาให้องค์ชายรองสวมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านางมิใช่คนฉลาดเจ้าแผนการมากขนาดนั้น…
…ถ้าหากนางคิดวางแผนเผื่อเจ้าก็ดีไป กลัวก็แต่ว่าเจตนาดีของนางจะทำเสียเรื่อง ยามไร้ที่พึ่งแล้วต้องวุ่นวายเป็นแน่”
เมื่อก่อนเฉินลั่วไม่ได้คิดลึกซึ้งมาก รู้สึกแค่ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เป็นคนมีภูมิหลังดีขนาดนี้ แต่กลับยอมอดทนอดกลั้นทุกอย่าง เป็นคนจริงใจและไม่ถือตัว อบอุ่นอ่อนโยนและจิตใจกว้างขวาง
วันนี้ดูแล้ว นางเป็นคนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอารีก็จริงแต่ขาดความกล้าหาญไป หากอยู่ในบ้านของตระกูลใหญ่ตระกูลโตทั่วไปนับเป็นสะใภ้เอกที่ดีคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในพระราชวังแล้วกลับไม่เพียงพอให้คนเคารพนับถือจริงๆ
เฉินลั่วเม้มปากแน่น
ฮ่องเต้ทรงมองออกมานานแล้ว และก็คิดเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่
เขาหลุบตาลง ปกปิดความเฉยเมยในใจ
คล้ายกับว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะรักษาภาพลักษณ์อบอุ่นและใจดีต่อหน้าหวังซีเอาไว้ได้
ส่วนเรื่องที่เหตุใดต้องรักษาภาพลักษณ์นี้เอาไว้นั้น เฉินลั่วก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน และไม่มีทางไปขบคิดให้ลึกมากกว่านี้ด้วย
เขาเพียงรู้สึกวุ่นวายใจ
นับตั้งแต่ที่เขาตามสืบเรื่องธูปหอมที่ปรากฏอยู่ในพระตำหนักเฉียนชิงเป็นต้นมา เรื่องรอบกายเขาก็ไม่มีอะไรราบรื่นอีกเลยแม้แต่เรื่องเดียว
แน่นอนว่าบางทีเมื่อก่อนก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่คิดมาก จึงไม่ได้ไปตามสืบอย่างละเอียด ประกอบกับไม่ค่อยมีปัญหา ก็เลยไม่ได้ขบคิดมากมายขนาดนี้
แต่หากให้เขาเลือก เขาอยากให้ตัวเองสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากกว่านี้
เขายอมตายอย่างคนตื่นรู้ มากกว่ายอมอยู่อย่างคนดวงตาพร่ามัว
นึกถึงตรงนี้ เฉินลั่วอดมองหวังซีไม่ได้
หวังซีกลับยังคงนั่งยิ้มอย่างขะมักเขม้นและจริงใจอยู่ใต้ซุ้มองุ่น ไม่มีความกังวลว่าประเดี๋ยวจะกลับช้าให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่มีความรำคาญที่ต้องฟังเขาเจื้อยแจ้วมาอย่างยาวนานด้วย นางนั่งนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น คล้ายดอกไม้สูงส่งดอกหนึ่ง ที่สายลมวสันต์หรือฝนสารทฤดูธรรมดาล้วนทำอะไรนางไม่ได้
พริบตานั้นเขารู้สึกผิดเล็กน้อย
เขาสนใจแต่จะพูดเรื่องของตัวเอง กลับลืมไปว่าควรสอบถามนางสักหน่อยว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกคนที่เคยเจอกันเพียงสองถึงสามครั้งชวนไปเป็นแขกที่บ้าน ก็น่าจะต้องรู้สึกอึดอัดบ้างกระมัง
เฉินลั่วรู้สึกผิวหน้าร้อนเล็กน้อย กล่าวว่า “วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าให้หกปั๋วไปเชิญเจ้า คงไม่ได้ทำให้ตกใจกลัวกระมัง”
แน่นอนว่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่ยังไม่ถึงขั้นตกใจกลัว
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเจตนาดีของเฉินลั่ว
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ดี สิ่งสำคัญคือเพราะคุณหนูหกปั๋วเป็นคนน่าสนใจมาก วันนี้ไม่เพียงพาข้าไปชมเรือนเย็บปักของนางเท่านั้น ยังให้ข้าดูลายและผลงานเย็บปักของนางอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าฝีมือเย็บปักของคุณหนูหกปั๋วจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถึงกับเชี่ยวชาญการปักภาพพระโพธิสัตว์และคัมภีร์พระสูตรด้วย”
เฉินลั่วเหยียดมุมปากยกขึ้นข้างหนึ่ง
เขารู้สึกว่านี่ไม่มีอะไรให้น่าอัศจรรย์ใจขนาดนั้น
คุณหนูจวนโหวผู้หนึ่งแข่งขันความสามารถกับช่างเย็บปัก หกปั๋วกล้าพูด แต่เขาละอายที่จะฟัง
เห็นได้ชัดว่าหวังซีเป็นคนถ่อมตัวมากผู้หนึ่ง
เขากล่าวอย่างขออภัยเล็กน้อยว่า “หกปั๋วชอบทำเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจกัน วันนี้ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์แล้ว”
“ใต้เท้าเฉินกล่าวอะไรกัน” หวังซีตอบอย่างสุภาพ ทว่าในใจกลับคิดว่า แม้นางจะไม่เชี่ยวชาญการเย็บปัก แต่นางก็ชอบของสวยงาม ชอบคุยเรื่องลายดอกไม้และเรื่องอาภรณ์แบบใหม่ วันนี้นับว่านางกับคุณหนูหกปั๋วมีความชอบเหมือนกัน ช่วงเวลาสองสามชั่วยามที่อยู่ตระกูลปั๋ว นอกจากนางจะไม่รู้สึกว่าต้องทนทุกข์แล้ว ยังรู้สึกสนุกมากอีกด้วย
นางไม่ได้ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่นางก็ไม่พูดเรื่องนี้กับเฉินลั่วให้มากความ
ที่เฉินลั่วเรียกนางออกมา ก็เพราะอยากช่วยนาง!
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เฉินลั่วพลันกระโดดตัวโหยงขึ้นมา
เวลาไม่เช้าแล้ว เขาต้องส่งหวังซีกลับจวนหย่งเฉิงโหว ไม่อย่างนั้นคนจวนหย่งเฉิงโหวต้องเป็นห่วงแย่แน่
หากไปตามหาที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวขึ้นมาคงวุ่นวายแน่นอน
เขาไม่อาจเป็นเหมือนฮองเฮาเหนียงเหนียงอย่างที่หวังซีกล่าวมา เจตนาดีแต่ทำเสียเรื่อง ทำให้หวังซีดูแคลนได้!
“เจ้ากลับจวนเวลานี้หากบอกว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็นก็น่าแปลกเกินไป” เฉินลั่วกล่าวอย่างขออภัย “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าล่าช้า เจ้ากินอะไรง่ายๆ จากที่นี่ไปสักเล็กน้อยก่อน อีกสองวัน ข้าค่อยเลี้ยงข้าวเจ้า ถือเป็นการชดเชยให้กับความลำบากของเจ้า”
หวังซีได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย กล่าวว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง! ใต้เท้าเฉินไม่ต้องชดเชยอะไรให้ข้า แต่หากใต้เท้าเฉินไม่สบายใจจริงๆ วันนี้ก็เลี้ยงข้าด้วยขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมของหวังจี้ได้หรือไม่ ได้ยินว่าขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมของหวังจี้ที่จิงเฉิงทำได้อร่อยที่สุด ข้ายังไม่มีโอกาสได้กินเลย!”