ตอนที่ 161 ล้างสมอง ตอนที่ 162 คนที่มีความสามารถด้อยกว่า มักต้องชิงลงมือก่อนผู้อื่น

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 161 ล้างสมอง

ตามจริงซ่งต๋ายังดีหน่อย อย่างไรเสียก็เป็นลูกของครอบครัวบุตรคนโตในตระกูล เดือนสองเดือนก็ยังได้กินสักครั้งเช่นกัน แต่ซ่งอู่แตกต่างออกไป

บ้านสามมีลูกหลายคน ก่อนหน้าเขาล้วนเป็นพี่ชายที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ดังนั้นปกติแล้วอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้รับการเห็นความสำคัญ เจียวซื่อเอาแต่ทำงาน จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถามไถ่ความต้องการของลูกๆ ต่อให้ถาม แน่นอนว่าก็จะให้ความสำคัญส่วนมากไปที่บุตรคนโตของครอบครัว ดังนั้นซ่งอู่จึงสวมใส่เสื้อผ้าที่เหลือมาจากบรรดาพี่ชายตั้งแต่เด็ก กินก็เป็นของที่เหลือจากบรรดาพี่ชายด้วยเช่นกัน

เขาไม่ได้โชคดีขนาดซ่งหม่านซาน เพราะอายุของพี่น้องทั้งสี่คนไล่เลี่ยกัน ดังนั้นเขาในฐานะน้องชายคนเล็ก ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความรักเหนือกว่าคนอื่น หากแต่ยังถูกมองข้ามอีกด้วย

ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้กินถังเกาเลยสักคำเดียว

“หากพวกเจ้าอยากกินถังเกา เช่นนั้นก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ” ซ่งอิงชักสีหน้าจริงจัง แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “น้องต๋า หากภายภาคหน้าเจ้าทำงานเป็นคนย้อมสีเช่นเดียวกับพ่อเจ้า ก็จริงอยู่ที่เลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ ได้ แต่เจ้าซื้อถังเกาให้ลูกๆ เจ้ากินได้ทุกวันหรือไม่ ถึงตอนนั้น หากเจ้าเหมือนกับพ่อเจ้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ทุกวันก็จะเต็มไปด้วยสีสันเปรอะเปื้อนไปหมด ได้กลิ่นสีมาแต่ไกล เล็บมือก็สกปรกอยู่เรื่อย จะซื้อถังเกาสักชิ้นก็ไม่ง่าย แต่พอถือเอามาไว้ในมือ กลับมองเห็นมือที่สกปรกหยาบกร้านของตนเองเป็นอันดับแรก ถึงตอนนั้น ยังจะกินลงอีกหรือ”

เด็กวัยสิบขวบ คำพูดเช่นนี้ก็น่าจะฟังเข้าใจอยู่บ้างกระมัง?

ซ่งต๋านิ่งอึ้งไป “ก็ไม่ใช่ว่าเหมือนๆ กันหรอกหรือ”

เงินที่พ่อเขาหามาได้ก็ถือว่าเป็นงานที่เบาแรงทีเดียว! เอาเป็นว่าเขาเองก็รู้ว่าคนจำนวนมากอยากเป็นคนย้อมสี ทว่าไม่มีช่องทาง!

อย่างอาสามเขา นอกจากทำงานไม้ได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น จึงทำได้เพียงอยู่ในแปลงไร่นาเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าเหนื่อยยิ่งกว่าอีกหรือ!

ซ่งอิงรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ทำได้เพียงบอกกล่าว “ใต้หล้านี้ ของอร่อยๆ มิได้มีแค่ถังเกาเท่านั้น แต่ยังมีของอื่นๆ ด้วย เจ้าก็รู้นี่ว่า พี่รองเจ้าอย่างข้าผู้นี้เคยอาศัยอยู่ในตระกูลคนใหญ่คนโตมาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนครอบครัวใหญ่โตร่ำรวยเขากินอะไรกันบ้าง”

ซ่งต๋ายืดตัวตรงแหน่ว เผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

เขาเองก็อยากถามมาตั้งนานแล้ว!

“คนในตระกูลใหญ่โตน่ะ ทุกวันล้วนมีไก่เป็ดปลาไข่ให้กิน อาหารในปกติแต่ละวัน ทุกมื้อก็เต็มไปด้วยกับข้าวสิบกว่าอย่าง หากตรงกับเทศกาลประจำปี เช่นนั้นอาหารก็จะยิ่งมากมายไปใหญ่ ขนมของพวกเขาก็หลากหลายด้วยเช่นกัน เพียงแต่ที่ข้าเคยได้ยินและเคยเห็นมาก่อนก็มีหลายสิบชนิด อย่างเช่นถางซูเล่า[1] ขนมดอกกุ้ย[2] ขนมดอกเหมย[3] ขนมหรูอี้[4] ขนมไป่กั่ว[5] ขนมจี๋เสียง[6] ขนมไข่มุกหยก[7] ขนมใบบัว[8] ขนมชีเฉี่ยว[9] ฮวาไคฟู่กุ้ย[10] และสุ่ยจิงจ่าง[11]…รสชาติของทุกอย่างล้วนอร่อยกว่าถังเกาที่เจ้าชอบกินนั้นเป็นร้อยเท่า!”

“คุณชายลูกหลานของตระกูลคนใหญ่คนโตไม่ต้องทำงานใช้แรงงานด้วย ไม่ต้องเลี้ยงหมูกลิ่นแรงไว้ในเรือน ไม่ต้องอดทนเสียงไก่ขันนกร้องเต็มท้องฟ้าไปหมดทุกวี่ทุกวัน พวกเขามีข้ารับใช้หญิงชายคอยให้การดูแลปรนนิบัติเป็นการเฉพาะ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เปลี่ยนวันละชุดหรือไม่ก็วันละหลายชุดก็ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรคนเขาก็ไม่ต้องซักเอง เพราะมีข้ารับใช้เป็นของตัวเอง…”

ซ่งต๋าและซ่งอู่ได้ยินถึงกับตะลึงงัน

“เจ้าดูเสื้อผ้าที่ตัวเจ้าสวมใส่อยู่สิว่าซอมซ่อมอซอใช่หรือไม่ ขาดแล้วขาดอีกก็ยังต้องปะแล้วปะอีก ผิดกับคนตระกูลใหญ่โต เสื้อผ้าของคุณชายที่เป็นลูกหลานเหล่านั้นหากสกปรกแล้วซักไม่ออก เกรงว่าก็คงไม่ต้องการแล้ว พวกเขาออกจากบ้านทีก็ได้นั่งรถม้า เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็สู่ขอบรรดาคุณหนู เจ้าก็รู้นี่ว่าบรรดาคุณหนูล้วนมีลักษณะเช่นไร”

“แม่นางสาวน้อยแห่งตระกูลผู้บรรดาศักดิ์เหล่านั้น แต่ละคนรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ก็เหมือนเทพธิดาหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ พวกนางมีประกายระยิบระยับบนเรือนร่าง เท้าไม่มีดินโคลนเปรอะเปื้อน มือไม้เรียวเล็กกะทัดรัด…”

“แต่คนตระกูลใหญ่โตร่ำรวยเป็นมาอย่างไรล่ะ ย้อนกลับไปที่บรรดาบรรพบุรุษพวกเขาหลายชั่วอายุคน บรรพบุรุษเหล่านั้นก็เป็นผู้ยากจนแร้นแค้นเช่นกันแน่นอน เพียงแต่ต่อมาภายหลังด้วยความมุมานะพยายาม นี่จึงนำความสุขสบายมาให้คนรุ่นหลังได้” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ตระกูลผู้ร่ำรวยและมีบรรดาศักดิ์ก็มีความกลัดกลุ้มเป็นของพวกเขาเอง แต่ยามนี้ นางจำเป็นต้องทำให้เด็กๆ พวกนี้รับรู้ว่า การวางแผนเช่นนั้นของเขา ไม่ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีเลยสักนิด

ตอนที่ 162 คนที่มีความสามารถด้อยกว่า มักต้องชิงลงมือก่อนผู้อื่น

ซ่งต๋างุนงงเล็กน้อย

ขนมมากมายขนาดนั้น แค่ฟังดูก็น่ากินแล้ว

มิหนำซ้ำยังมีคุณหนูใหญ่นั่นอีก…

ขาวผุดผ่องมีประกายกันทั้งนั้นเลยหรือ เขานึกไม่ออกว่าเป็นลักษณะเช่นไร อย่างเช่นพี่สาวคนโตเขา นางทำงานตั้งแต่เด็กๆ ผิวพรรณจึงดำคล้ำ เส้นผมแห้งหยาบกร้าน หากไม่สวมเสื้อผ้าของบรรดาผู้หญิง เกรงว่าจะไม่ต่างจากผู้ชายด้วยซ้ำ

“พี่รอง ที่ท่านพูดนั้น…เรียนหนังสือแล้วก็จะได้มีจริงๆ หรือ” เขาอยากกินขนม

“ไม่แน่เสมอไปหรอก? แต่หากเจ้าไม่เรียนหนังสือก็จะไม่มีโอกาสแน่นอน” ซ่งอิงหัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นลูกชายคนรอง ภายภาคหน้าครอบครัวบุตรคนโตอย่างพวกเจ้าแยกครอบครัวแล้ว ว่ากันตามระเบียบปฏิบัติ เจ้าจะได้ปันส่วนน้อย ไม่ได้เงินมากมายอะไร เช่นนั้นภายภาคหน้าก็คงต้องไม่ต่างจากท่านลุงใหญ่ข้า หรืออาจไม่สู้ท่านลุงใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรเสีย…ลุงใหญ่ข้าก็เป็นบุตรชายคนโต ตอนแยกครอบครัวปู่พวกเราก็ต้องดูแลเขามากหน่อยเป็นแน่ ผิดกับเจ้า”

เมื่อก่อนซ่งต๋าไม่ได้แยแสว่าบุตรชายคนโตบุตรชายคนรองอะไรพวกนี้

เพราะก่อนหน้านี้มักได้ยินมารดาเขาเอ่ยว่าพวกเขาเป็นครอบครัวบุตรคนโต ดังนั้นว่ากันตามหลักการ คิดว่าท่านปู่น่าจะให้สิ่งของแก่ครอบครัวบุตรคนโตมากหน่อย

แต่…

ภายภาคหน้าเขาไม่ใช่ครอบครัวบุตรคนโตแล้วนี่?

ก็หมายความว่า เขาต้องเสียเปรียบ? ทำให้เขาต้องแย่งชิงกับพี่ชายเขา?

ซ่งต๋านึกถึงพี่ชายคนโตของครอบครัวตนเอง คิดว่าความเป็นไปได้ที่ตนจะแก่งแย่งเอามาได้เป็นไปได้น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายเขาใกล้จะมีลูกแล้ว…

อีกอย่าง ต่อให้แย่งชิง ก็ไม่เหมาะสมกับระเบียบปฏิบัติ เพราะในหมู่บ้านล้วนเป็นเช่นนี้ ครอบครัวบุตรคนโตจะได้รับการแบ่งทรัพย์สินมากกว่า!

ซ่งต๋าแอบนึกถึงสภาพที่น่าเวทนาน่าสงสารของตนเองในอนาคตได้รางๆ เหน็ดเหนื่อยหาเงินชั่วชีวิต ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นประหลาดๆ ก็ไม่เท่าไร แต่จะไม่ได้กินของดีๆ ภรรยาที่จะสู่ขอก็ยังดำคล้ำเหมือนถ่าน…

“พี่รอง ข้าอยากเรียนหนังสือ แต่ข้าโง่เกินไป” ซ่งอู่กลับตรงไปตรงมาไม่น้อย

“มีคำพูดหนึ่งเอ่ยว่าคนที่มีความสามารถด้อยกว่า มักต้องชิงลงมือก่อนผู้อื่น เจ้าคิดว่าตนเองเริ่มเรียนช้าและเรียนรู้ได้ช้า เช่นนั้นก็เพิ่มเติมส่วนที่ตามหลังคนอื่นเขา ทางเลือกที่จะได้ในการเรียนหนังสือไม่เพียงแค่สอบเป็นขุนนาง แต่มากกว่านั้นคือเข้าใจเหตุและผล และมีความรู้มากหน่อย”

“คนในหมู่บ้านอย่างพวกเรา ชอบส่งคนที่เล่าเรียนหนังสือไปแห่งหนใดล่ะ” ซ่งอิงเอ่ยถาม

“ข้ารู้ ไปทำงานห้องบัญชี ไม่ต้องตากลมตากฝน ได้เงินไม่น้อยด้วย ได้ยินว่าถ้าทำงานดี เถ้าแก่ร้านยังมีเงินรางวัลให้อีกด้วยขอรับ” ซ่งอู่กล่าว

“ถูกต้อง ก็เพราะพวกเขาเรียนหนังสือ นอกจากนี้ เรียนหนังสือมากๆ ก็จะรู้ตัวอักษรมากไปด้วย รู้หลักการเหตุผลก็มากด้วยเช่นกัน พวกเจ้าทำความเข้าใจการทำไร่ทำนาตามความรู้ในหนังสือ แล้วค่อยนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง จะต้องทำได้ดีเยี่ยมกว่าคนอื่นเป็นแน่…”

“หากพวกเจ้าอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดน้อย ได้แค่เขียนตัวอักษรเท่านั้น เช่นนั้นก็ได้เช่นกัน ภายภาคหน้าก็ไปเขียนจดหมาย บทกลอนคู่ หนังสือคำฟ้องร้องอะไรพวกนี้แทนผู้อื่นได้ น้องต๋าคงเคยไปร้านหนังสือมาก่อนกระมัง? ที่นั่นมีพัดจีบที่ขายโดยเหล่านักปราชญ์ ด้านบนจะวาดรูปง่ายๆ จำพวกดอกไม้เอย ต้นไผ่เอยอะไรทำนองนี้ แล้วก็เขียนตัวอักษรลงไปสองตัว บางอันขายได้หลายตำลึงเงินเชียวละ อีกอย่างด้วยวัยเจ้านี้ น่าจะเคยฟังนิทานมาบ้างกระมัง? นั่นก็เป็นสิ่งที่คนเล่าเรียนหนังสือเขียนขึ้นมาเช่นกัน…”

“แม้แต่นักเล่านิทานบนสะพานวันนั้นก็ยังคุ้นเคยกับหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าอันเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณถึงทุกวันนี้ พวกเจ้ายังคิดว่าเรียนหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์อีกหรือไม่?” ซ่งอิงกล่าวไร้สาระไปเรื่อย

เด็กน้อยทั้งสามคนนิ่งอึ้งไป

ซ่งอิงไม่ได้พูดมากมายขนาดนี้มานานแล้ว ยามนี้ปากคอแห้งผาก จึงดื่มน้ำชาเข้าไปหนึ่งถ้วยใหญ่

บนภูเขาดอกไม้ป่าเริ่มผลิบานแล้ว ชาของนางใช้ดอกจินเช่ว์[12]ที่บานบนเขามาทำ กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ แต่ดีต่อสุขภาพไม่น้อย ตอนนี้ดอกไม้นี้เพิ่งบานจึงเด็ดเอามาไม่มากนัก นางตั้งใจว่าไว้อีกสองวันดอกไม้มากขึ้นหน่อย ค่อยไปเด็ดมาตากแดดให้แห้ง ร้านยาน่าจะรับซื้อ

ภพชาติก่อน นางเคยดื่มชาดอกไม้หลากหลายประเภทเช่นกัน ดอกจินเช่ว์นี้มีสรรพคุณในการบำรุงหยิน ม้าม และส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต เปี่ยมไปด้วยสิ่งดีๆ อย่างวิตามินหลายประเภทและแร่ธาตุ

———————————–

[1] ถางซูเล่า (糖酥酪) คือขนมที่ทำจากวัตถุดิบหลักจากนมสัตว์ เช่น นมแพะ นมวัว โดยผสมกับน้ำตาล เกล็ดอัลมอนด์ ผ่านกรรมวิธีการนึ่ง จะได้ออกมาคล้ายพุดดิ้งนมสด รสชาติหวานนำ

[2] ขนมดอกกุ้ย (桂花糕) คือขนมที่ใส่ดอกกุ้ย หรือเรียกว่าดอกหอมหมื่นลี้ ดอกกุ้ย ในทางยา ใช้ขจัดความเย็น แก้เสมหะ บรรเทาอาการไอ แก้ปวดท้องประจำเดือน

[3] ขนมดอกเหมย (梅花粉糕) คือขนมขึ้นชื่อในย่านเจียงหนาน ทำจากแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ มีรสหวานแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ สีสันภายนอกสีทองอ่อน

[4] ขนมหรูอี้ (如意糕) คือขนมที่ทำจากแป้ง ลักษณะเนื้อแป้งนุ่มมีไส้ถั่วแดงด้านใน อาจโรยหน้าด้วยน้ำตาลทรายแดง ให้รสชาติหวานกลมกล่อม

[5] ขนมไป่กั่ว (百果糕) คือขนมอบตามฤดูกาล ทำจากแป้งข้าวเหนียว ผงน้ำตาลทรายขาว และถั่วต่างๆ ซึ่งมีรสหวานและให้รสสัมผัสนุ่ม

[6] ขนมจี๋เสียง (吉祥糕) คือขนมที่มีเนื้อสัมผัสละเอียดนุ่ม ส่วนผสมหลัก คือ แป้ง ผงฟู น้ำตาลทรายขาว ใส่สีผสมอาหารสีเหลือง

[7] ขนมไข่มุกหยก (珍珠翡翠糕) คือขนมที่ปรุงจากถั่วเขียวเป็นส่วนประกอบหลัก และส่วนประกอบอื่นๆ อย่างผงวุ้น น้ำตาลทราย เป็นต้น วิธีทำคือนำถั่วเขียวไปนึ่ง แล้วค่อยเทลงหม้อผสมน้ำ น้ำตาลทราย ต้มทิ้งไว้ยี่สิบนาที เติมผงวุ้น แล้วเทลงพิมพ์ขนม จากนั้นปล่อยให้เย็นตัว

[8] ขนมใบบัว (莲叶糕) ขนมเค้กรสพิเศษแบบดั้งเดิมในปักกิ่ง ขึ้นรูปอย่างประณีต มีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดและรสหวานนุ่ม มีกลิ่นหอมของเมล็ดบัว

[9] ขนมชีเฉี่ยว (七巧点心) ขนมทานเล่นเจ็ดอย่าง ขนาดพอคำ ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับผู้มาเยือนปักกิ่งเป็นต้องลิ้มรส นอกจากหน้าตาขนมดูดีแล้ว ยังรสชาติอร่อย อาทิ เค้กหอมหวาน เค้กถั่วเขียว เค้กพันชั้น และเค้กเกือกม้าเป็นต้น

[10] ฮวาไคฟู่กุ้ย (花开富贵) คือขนมที่มีวัตถุดิบหลักเป็นแป้ง ผงฟู ผงโกโก้ เกลือ และน้ำตาล นอกจากนั้นยังมีน้ำซุปข้น นมถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดองุ่น นำส่วนผสมทั้งหมดนี้ผสมให้เข้ากันแล้วใส่พิมพ์นำไปอบ จะได้ลักษณะคล้ายโดนัททรงกลม

[11] สุ่ยจิงจ่าง (水晶盏) อาหารอันโอชะของชาวจีนพื้นบ้านที่ทำจากสาคูเป็นหลัก

[12] ดอกจินเช่ว์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Parochetus communis หรือต้นนกกระจอกทอง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งจัดอยู่ในพืชตระกูลถั่ว สูง 10-20 ซม. มีดอกสีเหลือง