ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกนากากำลังเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านโมริโกะอยู่นั้น ทางด้านอารอนเองก็ได้เดินทางไปยังคลินิกของเขาที่อยู่ในเขตตัวเมืองชั้นนอกด้วยความรีบร้อนโดยมีซึบากิและคาร์เทียร์รีบเดินตามหลังเขาไปไม่ห่าง
 

และหลังจากที่อารอนเปิดประตูเข้าไปด้านในคลินิกของตัวเองแล้วเขาก็ได้พบเข้ากับพยาบาลสาวผมบลอนด์ที่กำลังพยายามปลอบประโลมเด็กทารกตัวน้อยของคาร์เทียร์ที่กำลังร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจกับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในการโจมตีเมื่อสักครู่นี้อยู่

 

ซึ่งเสียงร้องไห้งอแงของเด็กทารกตัวน้อยนั้นก็แทบจะทำให้คาร์เทียร์พุ่งตัวเข้าไปแย่งตัวเด็กทารกน้อยของเธอมาจากคุณพยาบาลผมบลอนด์ด้วยความตื่นตระหนกเพื่อที่จะได้เป็นคนปลอบประโลมเด็กทารกตัวน้อยที่คุณแม่เจนของเธอหลงเหลือเอาไว้เบื้องหลังด้วยตัวเองในทันที

 

ส่วนทางด้านนางพยาบาลสาวผมบลอนด์ที่ถูกคาร์เทียร์แย่งหน้าที่ไปนั้นก็ได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวของเด็กสาวผมสีเทาทีหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปพูดถามอารอนที่กำลังชงกาแฟอยู่ขึ้นมาเบาๆ

 

“พวกเด็กๆ ที่โรงเรียนเป็นยังไงกันบ้างหรอคะอารอน?”

 

“ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก… แต่ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าพรรคพวกของเธอคนนั้นเริ่มดำเนินการตามแผนแล้วมากกว่าล่ะมั้ง…”

 

“แล้วหลังจากนี้อารอนจะเอายังไงต่อล่ะคะ…? จะไปหลบภัยกับพวกเขาตามสัญญาจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงหรือเปล่า?”

 

“…..”

 

อารอนที่ได้ยินคำถามของนางพยาบาลได้แต่มอบความนิ่งเงียบเป็นคำตอบให้เธอกลับไปพร้อมกับรินกาแฟที่เขาเพิ่งจะชงเสร็จใหม่ๆ ลงไปในถ้วยกาแฟประจำตัวก่อนที่เขาจะก้มลงไปมองเงาสะท้อนจางๆ ของตัวเองที่ปรากฏอยู่บนผิวกาแฟแล้วจึงพูดตอบนางพยาบาลของเขากลับไปด้วยความลำบากใจ

 

“ฉัน… ก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

 

“งั้นหรอคะ…”

 

นางพยาบาลผมบลอนด์ที่ได้ยินคำตอบที่เต็มไปด้วยความลังเลของอารอนนั้นกลับไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังออกมาเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งในแววตาของเธอเองก็ยังมีร่องรอยของความอบอุ่นฉาบเอาไว้บางๆ อีกซะด้วยซ้ำ

 

ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าท่าทางของอารอนในขณะนี้นั้นได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ โดยไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายเหมือนกับหลายๆ ปีที่ผ่านมาเพื่อรอคอยให้คำตัดสินจากกลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมถูกส่งมาให้เขาอีกต่อไปแล้วนั่นเอง และเธอเองก็รู้ดีว่าคนที่ทำให้อารอนเปลี่ยนท่าทีไปได้แบบนี้นั้นก็กำลังนั่งจิ้มแก้มของเด็กทารกตัวน้อยอยู่ข้างๆ คาร์เทียร์นั่นเอง

 

“ตอนที่ซึบากิโผล่มาที่นี่เป็นครั้งแรกฉันเองก็ตกใจหมดเลยนะคะ… นึกว่ามันเป็นปาฏิหาริย์หรือว่าอะไรแบบนั้นซะอีก…”

 

“นั่นสินะ… เด็กคนนั้นน่ะเหมือนกับคาเมเรียไปซะทุกอย่างเลย… ทั้งหน้าตาทั้งสีผม… ที่ต่างกันก็มีแค่นิสัยกับหูแล้วก็หางแมวนั่นเองล่ะมั้ง…”

 

อารอนพูดตอบพยาบาลสาวผมบลอนด์ของเขากลับไปพร้อมกับหยิบเอาหนังสือปกหนังที่เขาพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาออกมาเพื่อพลิกเปิดไปที่หน้ากระดาษหน้าหนึ่งที่มีรูปถ่ายเก่าๆ รูปหนึ่งเสียบคั่นเอาไว้ระหว่างหน้ากระดาษพร้อมกับจ้องมองไปยังภายในภาพถ่ายที่เป็นรูปของชายหนุ่มผมสีขาวที่กำลังโอบอุ้มเด็กสาวผมสีดำที่มีนัยน์ตาสีแดงในชุดเดรสสีดำเอาไว้ในอ้อมแขนและกำลังแย้มยิ้มอยู่อย่างมีความสุข

 

ซึ่งอารอนก็ได้หยิบเอารูปภาพนั้นขึ้นมาและยกมันขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบซึบากิที่กำลังนั่งจิ้มแก้มของเด็กทารกตัวน้อยอยู่กับเด็กสาวผมสีดำนัยน์ตาสีแดงในรูปถ่าย ก่อนที่เขาจะลดรูปถ่ายในมือของเขาลงพร้อมกับกัดฟันแน่นแล้วจึงพูดพึมพำออกมาราวกับอยากจะพูดถามความเห็นจากเด็กสาวในรูปภาพที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วขึ้นมา

 

“ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีคาเมเรีย… ฉันควรจะยื่นมือไปช่วยเหลือคนที่เธอรักหรือว่าฉันควรจะสานต่อความฝันของเธอที่มีให้โลกใบนี้ดี… ช่วยบอกฉันทีเถอะคาเมเรีย…”

 

คำพูดของอารอนที่เต็มไปด้วยความสับสนนั้นได้ทำให้พยาบาลผมบลอนด์ตัดสินใจที่จะยื่นมือออกไปโอบกอดนายแพทย์หนุ่มเอาไว้พร้อมกับพยายามพูดปลอบประโลมเขาไปด้วย

 

“นี่อารอน… ฉันเชื่อนะคะว่าไม่ว่าอารอนจะเลือกหนทางแบบไหนเธอคนนั้นก็ไม่คิดจะว่าอะไรคุณอยู่แล้วล่ะค่ะ…”

 

“แต่ถ้าฉันเลือกผิดอีกครั้งล่ะ…? ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ฉันเลือกมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างพังลงมาเหมือนกับครั้งที่แล้วอีกล่ะ…?”

 

“ต่อให้มันจะเป็นแบบนั้นแต่ว่าทั้งฉันทั้งเธอคนนั้นก็ไม่เคยคิดจะถือโทษอะไรคุณค่ะ…”

 

นางพยาบาลผมบลอนด์ที่ได้ยินคำถามของอารอนนั้นได้ก้มลงไปเอาแก้มของเธอแนบเอาไว้กับศีรษะของอารอนพร้อมกับพยายามพูดปลอบประโลมเขาต่อไป ในขณะที่ทางด้านเด็กสาวทั้งสองคนที่กล่อมให้เด็กทารกตัวน้อยหลับลงไปได้เป็นผลสำเร็จแล้วก็ได้เริ่มที่จะหันมาให้ความสนใจกับผู้ใหญ่อีกสองคนที่เหลืออีกครั้งโดยที่ทั้งนางพยาบาลผมบลอนด์และอารอนไม่ทันได้สังเกตเห็น

 

“ได้โปรดอย่าโทษตัวเองไปเลยนะคะอารอน ไม่ว่าอารอนจะเลือกหนทางแบบไหนหรือว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง ฉันก็จะยังอยู่กับอารอนตลอดไปนะคะ…”

 

“ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงงั้นหรอ…”

 

กริ๊งงงงงงงง!

 

“…!?”

 

“อ่ะ…”

 

ในขณะที่นางพยาบาลผมบลอนด์เพิ่งจะปลอบประโลมอารอนจนเขามีอาการดีขึ้นนั้นก็ได้มีเสียงของกระดิ่งที่อารอนติดเอาไว้ที่ด้านหน้าของคลินิกดังขึ้นมาจนทำให้ทั้งสองคนรีบผละออกจากกันในทันที

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้พยาบาลสาวผมบลอนด์ได้พบว่าในขณะนี้ซึบากินั้นกำลังจ้องมองมาทางตนเองด้วยสายตาดุร้ายในขณะที่ทางด้านคาร์เทียร์นั้นก็กำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยสายตาผิดหวังราวกับไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนฉวยโอกาสเข้าไปทำตัวสนิทสนมกับอารอนเข้าให้เองจนทำให้นางพยาบาลสาวผมบลอนด์ถึงกับหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับรีบเดินหนีออกไปก่อนในทันที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอออกไปดูว่ามีใครมาก่อนก็ละกันนะคะอารอน”

 

“อื้อ… ฝากด้วยนะ…”

 

อารอนพยักหน้ากลับไปให้พยาบาลของเขาเล็กน้อยพร้อมกับเก็บรูปถ่ายเก่าๆ ของเขากับเด็กสาวผมสีดำนัยน์ตาสีแดงที่มีลักษณะเหมือนกับซึบากิที่ไม่มีหูและหางแมวอย่างไม่มีผิดเพี้ยนกลับไปไว้ที่เดิมแล้วจึงหันออกไปมองทางด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มจะมีบรรยากาศมืดครื้มเนื่องจากเมฆฝนแล้วจึงพูดพึมพำออกมา

 

“ในที่สุดมันก็ถึงเวลาจนได้งั้นสินะ…”

 

ครื่นนนนน

 

เสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นมานั้นได้ทำให้อารอนละสายตาออกมาจากเมฆฝนสีเทาเบื้องนอกที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าพร้อมกับหยิบเอาถ้วยกาแฟของเขาขึ้นมาถือเอาไว้ แต่ว่าก่อนที่นายแพทย์หนุ่มจะได้มีโอกาสลิ้มลองรสกาแฟในถ้วยของเขานั้นนางพยาบาลผมบลอนด์ที่เพิ่งจะเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือนเมื่อสักครู่นี้ก็ได้เปิดประตูกลับเข้ามาและร้องเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน

 

“อารอน มีแขกมาขอพบค่ะ~”

 

“หืม…? อ่า… จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ…”

 

อารอนที่ได้ยินคำพูดที่เขาไม่ได้คาดคิดจากพยาบาลสาวผมบลอนด์ได้แต่ต้องแสดงท่าทีแปลกใจเล็กน้อยออกมาก่อนที่เขาจะต้องวางถ้วยกาแฟลงไปอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปพบกับผู้มาเยือนที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมาติดต่อขอรับการรักษาอย่างที่เขาคาดเอาไว้

 

ซึ่งหลังจากที่อารอนเดินออกไปจากห้องพักแล้วเขาก็ถึงกับต้องชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะว่าผู้มาเยือนคนนั้นเป็นหนึ่งในคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีที่เขาไม่ได้พบเจอมานานมากแล้วและไม่ควรจะมีโอกาสได้มาพบเจอกันอีกครั้งหนึ่งซะด้วยซ้ำ

 

“แม๊กซิส… นั่นนายหรอ…”

 

“แหม่ ยังจะอุตส่าห์จำกันได้อีกนะครับคุณอารอน อ๋อ… แต่ตอนนี้คงจะต้องเรียกว่าคุณหมออารอนแทนแล้วสินะครับ”

 

ชายวัยกลางคนที่ท่าทางยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในล๊อบบี้สำหรับให้ผู้ป่วยนั่งพักระหว่างรอรับการรักษานั้นก็คือ แม๊กซิส เซมฟิร่า ผู้ที่เคยเล่าให้นากาฟังว่าเขารู้จักและเคยออกเดินทางไปแทบจะทั่วทั้งทวีปกับอารอนเมื่อสมัยก่อนนั่นเอง

 

“เรียกฉันว่าอารอนเฉยๆ ก็พอแล้ว… เข้ามานั่งด้านในก่อนสิ… ฉันเพิ่งจะชงกาแฟเสร็จพอดีเลย…”

 

“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมแค่คิดจะแวะมาคุยกับคุณอารอนสักนิดหน่อยก่อนจะออกเดินทางไปนอกเมืองน่ะครับ”

 

“ถ้างั้นก็รีบว่าธุระของนายมาเถอะ… เพราะถ้าตามสัญญาของเธอคนนั้นแล้วพวกเราไม่สมควรที่จะมีโอกาสได้มาเจอหน้ากันอีกครั้งซะด้วยซ้ำ…”

 

อารอนที่มีท่าทีเหมือนกับว่ากำลังกังวลอะไรสักอย่างอยู่ได้เอ่ยปากเร่งรัดปู่แม็กซ์ออกมาจนทำให้ปู่แม็กซ์ที่ได้ยินแบบนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วจึงพูดบอกนายแพทย์หนุ่มไปตรงๆ

 

“ผมถอนตัวออกจากข้อตกลงนั่นไปแล้วล่ะครับคุณอารอน เพราะงั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะครับว่าการที่ผมมาหาครั้งนี้จะเป็นการทำผิดคำสัญญาน่ะ”

 

“…ไม่ไหวแล้วงั้นหรอ?”

 

“ฮะฮะ… คุณอารอนนี่ก็ถามเหมือนกับเธอคนนั้นไม่มีผิดเลยนะครับ… แต่ก็ยังดีกว่าหน่อยนึงตรงที่รายนั้นเอาปืนมาจ่อหัวผมแล้วถามว่า ‘จะให้ช่วยมั้ย’ ด้วยน่ะ ฮะฮะฮะ…”

 

ปู่แม๊กซ์ที่ได้ยินคำพูดของอารอนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งทั้งสิ่งที่ปู่แม๊กซ์พูดออกมาและท่าทางอารมณ์ดีของเขานั้นก็ได้ทำให้อารอนเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีแล้วล่ะ… นายจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ เขาได้สักที…”

 

“ก็ถ้ามันทำได้ง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะสิครับ…”

 

“ถ้าทำได้…? นี่นายคงไม่ได้คิดวางแผนจะทำอะไรแผลงๆ อีกแล้วใช่มั้ยแม็กซิส…?”

 

“ผม… มีความคิดว่าอยากจะไปพูดคุยกับเธอคนนั้นตรงๆ อีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปน่ะครับ…”

 

“……”

 

คำตอบของปู่แม็กซ์ได้ทำให้อารอนนิ่งค้างไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“แต่นายก็รู้ตัวดีใช่มั้ยว่าต่อให้จะเป็นนายที่เป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุดในหมู่มนุษย์ที่เธอคนนั้นรู้จักจะเป็นคนไปพูดเอง… เธอคนนั้นก็จะยังคงไม่ยอมเปลี่ยนความคิดอยู่ดีน่ะ…”

 

“ครับ… แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดจะลองดูก่อนอยู่ดี เพราะถ้าเกิดว่าเป็น ‘เขา’ ล่ะก็จะต้องทำแบบนี้แน่ๆ อยู่แล้ว… แล้วอีกอย่างนึงผมเองก็คงจะปล่อยให้เธอคนนั้นทำลายโลกใบนี้ทิ้งไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกนะครับ เพราะว่ามันเป็นโลกที่ลูกๆ หลานๆ ของผมรักนี่นา”

 

คำตอบของปู่แม็กซ์ได้ทำให้อารอนนิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้และคว้าเอาถ้วยกาแฟที่นางพยาบาลผมบลอนด์เดินไปหยิบออกมาจากห้องพักให้เขาขึ้นมาจิบ

 

ซึ่งการที่อารอนไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามออกมานั้นก็ได้ทำให้ปู่แม็กซ์ตัดสินใจที่เอ่ยปากพูดถึงจุดมุ่งหมายที่ทำให้เขาแวะมาที่นี่ก่อนที่จะออกเดินทางให้อารอนได้ฟังในทันที

 

“ที่จริงแล้วที่ผมตัดสินใจมาหาคุณอารอนนี่ก็เป็นเพราะอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณอารอนในการช่วยปกป้องโลกที่พวกคุณอุตส่าห์ช่วยกันสร้างขึ้นมานี่เอาไว้น่ะครับ”

 

“……”

 

คำขอของปู่แม็กซ์ได้ทำหน้าอารอนชะงักถ้วยกาแฟของเขาไปเล็กน้อยและนิ่งเงียบไปอีกสักพักเหมือนกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่แล้วจึงยกถ้วยกาแฟของเขาขึ้นมาจิบอีกครั้งก่อนจะพูดถามขึ้นมา

 

“นายมาถามฉันถึงที่นี่… ทั้งๆ ที่นายก็น่าจะรู้ว่าฉันคงจะบอกปฏิเสธแล้วนายก็จะได้รับแต่ความผิดหวังกลับไปน่ะหรอ…”

 

“ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อสักหนึ่งเดือนก่อนผลมันก็คงจะออกมาเป็นแบบที่คุณอารอนว่ามานั่นล่ะครับ แต่ว่าตอนนี้… จากที่หลานสาวของผมเคยเอามาเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่าคุณจะได้พบเจอกับร่องรอยที่เธอคนนั้นหลงเหลือเอาไว้จนดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจแล้วนี่ครับ”

 

“ดูเหมือนว่านายเองก็จะเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันนะแม็กซิส…”

 

“ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่มนุษย์เราก็เปลี่ยนไปทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ แล้วผมก็ดันได้มีโอกาสอยู่มานานจนได้เป็นคุณปู่ทวดของลูกๆ หลานๆ มาตั้งหลายคนแล้วอีกต่างหาก ฮะฮะ”

 

คำพูดหยอกล้อของแม็กซิสได้ทำให้อารอนหันหน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่างที่ปรากฏเมฆสีดำครื้มอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะวางถ้วยกาแฟที่ถือเอาไว้ลงพร้อมกับพูดถามแม็กซิสขึ้นมา

 

“ถึงตอนนี้จะเป็นโอกาสดีเพราะว่าเธอคนนั้นกำลังดำเนินแผนการอะไรบางอย่างอยู่ก็เถอะ… แต่ว่าขอบเขตของแผนการนั่นมันกว้างไปแทบจะครอบคลุมไปทั้งทวีปแบบนั้นนายคิดจะไปตามหาตัวเธอคนนั้นที่ไหนล่ะ…?”

 

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นคุณอารอนไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอคนนั้นเข้ามาพบผมเพื่อแจ้งผลการตัดสินผมสังเกตเห็นว่าพวกเธอมีท่าทีสนใจหมู่บ้านแห่งนึงเป็นพิเศษ… หมู่บ้านที่ชื่อว่าหมู่บ้านโมริโกะที่อยู่สุดเขตตะวันตกที่ก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือนก่อนมี ‘ดาวตก’ ตกลงมาน่ะครับ”

 

“หมู่บ้านโมริโกะงั้นหรอ…”

 

อารอนที่ได้ยินคำพูดของแม็กซิสได้ขมวดคิ้วของเขาด้วยท่าทางเคร่งเครียดในทันที เพราะว่าก่อนที่เขาจะเดินทางออกมาจากโรงเรียนเมื่อสักครู่นี้เอริกะเพิ่งจะส่งคนมาแจ้งกับเขาว่าพรีมูล่าและโมโกะเพิ่งจะขโมยรถกระบะจากทางโรงเรียนไปเพื่อกลับไปช่วยหมู่บ้านของพวกเธอป้องกันตัวจากการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้พยาบาลสาวผมบลอนด์ที่เห็นว่าอารอนมีท่าทีเคร่งเครียดได้เอ่ยปากขึ้นมาในทันที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปบอกคาร์เทียร์จังเขาให้ว่าพวกเราจะไปข้างนอกสักพักนึงแล้วระหว่างนี้ให้เธอไปนอนค้างที่บ้านของคุณเอริกะไปก่อนเหมือนกับที่เคยตกลงเอาไว้ในกรณีที่พวกเราจะต้องออกไปข้างนอกแล้วคาร์เทียร์จังตามไปไม่ได้ก็แล้วกันนะคะ”

 

“อื้ม… ถ้ายังไงฉันขอเวลาสักพักนึงก่อนจะออกเดินทางก็แล้วกันนะแม็กซิส… พอดีว่าฉันมีเรื่องอะไรจะต้องเตรียมตัวสักหน่อยน่ะ…”

 

“เชิญตามสะดวกเลยครับ ในเมื่อวันนี้มันก็เป็นเหมือนกับวันที่จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกเรา… เพราะงั้นถ้าคุณอารอนมีอะไรค้างคาใจก็ใช้เวลากับมันให้เต็มที่ได้เลยครับ”

 

“วันตัดสินชะตา… งั้นสินะ…”

 

 

“…..”

 

ในขณะเดียวกัน บนต้นไม้สูงไม่ห่างไปจากหมู่บ้านโมริกะสักเท่าไหร่นักก็ได้มีเด็กสาวคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมยืนนิ่งมองดูเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ อันแสนสงบสุขอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่ทางด้านหลังของเธอก็ได้มีร่างเงาจางๆ ของหญิงสาวอีกคนยืนจ้องมองเด็กสาวในชุดผ้าคลุมอยู่ด้วยความเศร้าหมองก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ดูเหมือนว่าจะมีคนตรวจจับกองกำลังของพวกเราได้แล้วก็คอยเฝ้าระวังพวกเราอยู่ด้วยนะจ๊ะ…”

 

“คนของเอริกะหรอคะ…?”

 

“ถ้าดูจากความเร็วในการดำเนินการต่างๆ แล้วก็คงจะไม่พ้นเด็กคนนั้นหรอกจ้ะ…”

 

ร่างเงาของหญิงสาวที่ถูกเหล่าแฟรี่เรียกว่าคุณแม่ได้พูดตอบเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกลับไปพร้อมกับลอยตัวมาเบื้องหน้าของเธอก่อนจะยื่นมือเข้าไปด้านในความมืดมิดแปลกประหลาดภายใต้ผ้าคลุมเพื่อพยายามที่จะสัมผัสกับใบหน้าของเด็กสาวด้วยท่าทีอ่อนโยน

 

“แล้วเมื่อกี้นี้หนูนัวร์เขาเพิ่งจะฝากข้อความให้แม่มาบอกหนู… หนูจะฟังเลยมั้ยจ้ะ?”

 

“……”

 

“จ้ะ… นัวร์เขาแจ้งข่าวมาว่าหน่วยของพวกเขากับฮานะกระจายตัวกันไปตามจุดที่กำหนดเรียบร้อยแล้ว หนูนัวร์เขาก็เลยอยากจะขอคำสั่งขั้นต่อไปจากหนูก่อนที่จะถูกใครเจอตัวเข้าน่ะจ้ะ…”

 

“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้สักทีนะ…”

 

ร่างในชุดคลุมได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงไปมองเหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านโมริกะที่กำลังใช้ชีวิตประจำวันกันอยู่อย่างสงบสุขโดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่พวกเขาจะต้องพบเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

 

“หนูแน่ใจแล้วหรอว่าจะทำมันน่ะ…? ถึงเรื่องมันจะไปถึงขั้นนี้แล้วแต่ว่ามันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเปลี่ยนใจนะจ๊ะ…”

 

“……”

 

คำพูดของร่างเงาของคุณแม่ได้ทำให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ร่างเงาของคุณแม่ที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดเกลี้ยกล่อมเด็กสาวขึ้นมาอีกครั้งในทันที

 

“ถึงหนูจะทำสิ่งต่างๆ ลงไปมากมายแล้วก็เถอะ… แต่ว่าแม่เองก็ยังรู้สึกได้อยู่นะถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนพวกนี้ที่หนูพยายามแอบซ่อนมันเอาไว้น่ะ…”

 

“ท่าทางว่าการประมวลผลของคุณแม่จะผิดพลาดแล้วล่ะค่ะ… เพราะไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ยุคอีกกี่สมัย… หนูก็ไม่มีทางอภัยให้กับพวกที่เหยียบย่ำความฝันและทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเราไปได้หรอกค่ะ…”

 

“งั้นหรอจ๊ะ…”

 

น้ำเสียงเย็นชาของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นได้แต่ทำให้ร่างเงาของคุณแม่ต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีกในขณะที่ทางด้านเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ได้ยื่นฝ่ามือเรียวเล็กของเธอออกมาเบื้องหน้าก่อนที่จะมีละอองแสงจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามาก่อตัวเป็นดาบเล่มหนึ่งอยู่ในมือของเธอ

 

“แต่ว่าที่จริงแล้วหนูเองก็มีเรื่องที่จะต้องขอบคุณพวกเขาอยู่เหมือนกัน… ที่ทำให้หนูได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่ก่อนหน้านี้หนูยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่…”

 

“หนูเข้าใจอะไรหรอจ้ะ…?”

 

“ด้วยเวลาที่ผ่านมามันทำให้หนูเข้าใจได้ว่า… ต่อให้หนูจะให้เวลาพวกเขามากมายสักเท่าไหร่… แต่ว่าพวกสิ่งที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์พวกนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเครื่องจักรที่ถูกยัดเอาไว้ในร่างเนื้อพร้อมกับบาปและตัณหาแบบตอนที่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างบกพร่องโดยพระเจ้าที่ไม่มีอยู่จริงของพวกมันเลยแม้แต่น้อย…”

 

“…….”

 

“แต่ว่าหนูเองก็ยังรู้ดีว่านั่นมันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะมอบให้กับหนูได้… เพราะฉะนั้นหนูก็คงจะยังต้องเฝ้ารอดูว่าพวกมันจะมีคำตอบอื่นที่ดีกว่านี้มามอบให้กับหนูหรือเปล่า…”

 

เด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาเบื้องหน้าก่อนที่จะมีละอองแสงอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาและพุ่งเข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นดาบคาตานะอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ได้กำชับดาบทั้งสองประเภทในมือทั้งสองข้างของเธอแน่นก่อนจะกระโดดลงไปจากต้นไม้โดยทิ้งคำพูดเบาๆ เอาไว้ให้กับร่างเงาของคุณแม่ของเธอ

 

“ถ้าเกิดว่าพวกมันสามารถรอดชีวิตไปจากที่นี่เพื่อมอบคำตอบใหม่ให้กับหนูได้ล่ะก็นะ…”

 

 

“อ่ะ— เผลอต้มมาเกินอีกแล้วหรอ… ให้ตายสินี่ก็รอบที่สองของอาทิตย์นี้ได้แล้วมั้งเนี่ย…”

 

ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของหมู่บ้านโมริโกะซึ่งเป็นบ้านที่ของโมโกะที่เป็นครอบครัวนักหาของป่านั้น ก็ได้มีชายวัยกลางคนหูแมวใส่แว่นวัยกลางคนผู้เป็นพ่อของโมโกะที่ในของเขามือกำลังถือนำจานมันต้มจานใหญ่มาวางไว้ข้างๆ กับอาหารอย่างอื่นบนโต๊ะกินข้าวของบ้าน

 

ก่อนที่เขาซึ่งเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนนั้นได้เตรียมอาหารสำหรับสองคนทั้งๆ ที่ในตอนนี้มีเขาอยู่ในบ้านเพียงแค่คนเดียวนั้นจะได้บ่นกับตัวเองออกมาภายในบ้านที่ไร้ซึ่งผู้คนนั้นเบาๆ

 

“ฮะฮะ…พอโมโกะไม่อยู่แบบนี้ยังไงก็ไม่ชินจริงๆ แฮะ… เฮ้อ…”

 

คุณพ่อของโมโกะที่เห็นว่าตนเองทำพลาดไปนั้นก็ได้พูดพึมพำกับตัวเองพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปไปหยิบมีดเล่มหนึ่งมาหั่นมันฝรั่งต้มส่วนที่เกินมานั้นเพื่อที่จะเตรียมนำมันไปเป็นอาหารเย็นของตนในวันนี้เก็บเอาไว้ ก่อนที่เขาหันหน้าออกไปมองท้องฟ้าสีเทาที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นเล็กน้อย

 

“อย่างน้อยก็โชคดีที่วันนี้ไม่ได้ซักล่ะ… หวังว่าโมโกะจะไม่ออกไปตากฝนเล่นด้านนอกจนเป็นหวัดเอานะ… ยิ่งเด็กคนนั้นชอบเล่นซนไม่สนเวลาอยู่ด้วยเนี่ย…”

 

เขาพูดบ่นกับตัวเองพร้อมยิ้มบางๆ ออกมานิดหน่อย เพราะถึงแม้การที่คุณพ่อของโมโกะนั้นจะต้องลาจากโมโกะที่ได้ไปเรียนอยู่ที่เมืองหลวงภายใต้การดูแลของเอริกะ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าทุกอย่างนั้นก็เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของตัวโมโกะผู้เป็นลูกสาวของเขาเอง

 

เลยทำให้ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อคนนี้เลือกที่จะทนกับความเงียบเหงาแบบนี้ต่อไปเพื่อเฝ้ารอวันที่โมโกะนั้นจะกลับมาเยี่ยมเขาบ้างสักครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานสักเท่าไหร่ก็ตาม

 

“เฮ้อ…”

 

ตู้ม—!

 

“เหวอ—!?”

 

แต่ในขณะที่คุณพ่อของโมโกะกำลังถอนหายใจออกมาอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็ได้มีแสงอะไรบางอย่างส่องสว่างวาบพร้อมกับเสียงราวเสียงระเบิดดังมาจากทางด้านนอกหน้าต่างห้องนั่งเล่นที่คุณพ่อของโมโกะนั่งอยู่ ก่อนที่จู่ๆ ก็ได้มีแสงสีแดงราวเปลวเพลิงที่ลุกโชนได้สว่างขึ้นมาจากหน้าต่างบานนั้น

 

“นั่นมันเสียงอะ—”

 

เพล้ง!!