“เมื่อกี้นี้เอริกะเขาบอกว่าหมู่บ้านโมริโกะใช่มั้ย!?”
 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ—”

 

เสียงโวยวายของนากาที่ดังขึ้นมาจากทางด้านบนกำแพงนั้นได้ทำให้เด็กนักเรียนส่วนหนึ่งของกลุ่มดอว์นที่นำโดยเนลพากันเดินขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบนนี้กัน ซึ่งพวกเขาก็ได้พบว่านากากำลังโวยวายอะไรบางอย่างอยู่และกำลังหมุนหน้าปัดของวิทยุไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีเด็กนักเรียนหญิงของหน่วยสื่อสารพยายามห้ามเขาอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เนลต้องรีบเข้าไปช่วยเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นพูดห้ามนากาเอาไว้ในทันที

 

“นากานายใจเย็นๆ ก่อนสิ!”

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะคุณเนล!?”

 

ในขณะที่เนลกำลังพยายามพูดห้ามนากาอยู่นั้นเองก็มีเสียงของรีซาน่าที่เพิ่งจะกลับมาถึงตัวเมืองได้ดังขึ้นมาจากทางด้านล่างกำแพงก่อนที่เด็กสาวร่างยักษ์จะโผล่หน้ามาออกมาจากทางขึ้นบันไดด้วยความสงสัยจนทำให้ไดเอน่าที่เห็นว่าเด็กนักเรียนจากหน่วยจู่โจมกลับมาถึงแล้วรีบหันไปพูดสั่งงานให้รีซาน่าอย่างรวดเร็ว

 

“อ่ะ— พวกเธอกลับมาได้จังหวะพอดีเลยรีซาน่า! ฉันฝากเธอกับพวกหน่วยจู่โจมคนอื่นๆ ไปดูสถานการณ์ของประตูเมืองทิศอื่นให้หน่อยสิ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ฝากบอกพวกทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่นให้ด้วยว่าตอนนี้พวกหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกเมืองกำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะ!”

 

“ถ้าจะแจ้งข่าวให้พวกทหารล่ะก็เดี๋ยวฉันไปให้เองดีกว่าเพราะว่าถ้าให้ฉันที่เป็นลูกขุนนางไปน่าจะดีกว่ายัยยักษ์บ้านนอกนั่นล่ะมั้ง!”

 

“นี่ยังไม่เลิกเรียกคนอื่นว่าบ้านนอกอีกหรือไงกันคะ!?”

 

เสียงของอัลเบิร์ตที่ดังขึ้นมาจากทางด้านล่างกำแพงนั้นได้ทำให้รีซาน่าหันไปตะโกนว่าเด็กหนุ่มผู้มาจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เสียงดัง แต่ว่าทางด้านอัลเบิร์ตนั้นก็กลับทำเพียงแค่ยักไหล่กลับมาให้เธออย่างกวนๆ แล้วจึงใช้พาร์ทส่วนล่างพุ่งตัวลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยหายไปในขณะที่ทางด้านไดเอน่าเองก็ได้หันกลับไปพยายามช่วยเนลและเด็กนักเรียนหญิงจากหน่วยวิทยุพูดห้ามปรามนากาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“นากาคุงถอยออกมาก่อนเถอะ นายหมุนหน้าปัดไปมาแบบนั้นมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกนะ ให้คนที่เขาทำเป็นพยายามติดต่อไปหาคุณเอริกะให้น่าจะดีกว่านะ”

 

“อ–อื้ม”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าถึงแม้ว่าอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของเอริกะจะดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังวิซก็ตาม แต่ว่าส่วนมากของพวกนั้นมันก็เป็นของที่เอริกะเก็บเอาไว้ให้คนสนิทของเธอหรือว่าตัวเธอเองใช้ในการส่วนตัวเท่านั้นไม่เหมือนกับเจ้าอุปกรณ์สื่อสารเบื้องหน้านี่ที่เอริกะนำมาแจกให้เด็กนักเรียนจากที่ไหนก็ไม่รู้ในโรงเรียนใช้กันแบบนี้

 

และเมื่อนากายอมหยุดมือของเขาและถอยออกมาจากวิทยุสื่อสารแต่โดยดีแล้วเด็กนักเรียนหญิงจากหน่วยวิทยุจึงได้เป็นคนลองหมุนหน้าปัดของวิทยุสื่อสารไปมาพร้อมกับคว้าเอาอุปกรณ์สื่อสารของตัววิทยุขึ้นมาพูดพึมพำใส่เบาๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เธอจึงได้หันกลับมาแจ้งผลให้กับไดเอน่าผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มฟัง

 

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากทางด้านคุณเอริกะเลยค่ะ…”

 

“บ้าจริง!”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเด็กนักเรียนหญิงจากหน่วยสื่อสารได้หลุดสบถออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยความวิตกกังวลก่อนที่เขาจะเหลือบไปมองพาร์ทส่วนล่างที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวให้กับผู้สวมใส่ที่รีซาน่าสวมใส่อยู่ด้วยความลังเลว่าจะขอยืมมันมาจากเด็กสาวร่างยักษ์เพื่อใช้มันในพุ่งตรงดิ่งไปตามหาเอริกะที่น่าจะอยู่ที่บ้านหรือไม่ก็ที่โรงเรียนดีหรือไม่

 

“ไม่สิ… ยังไงก็ใช้มันไม่ได้อยู่แล้วนี่นะ…”

 

แต่ว่าเมื่อนากาได้ลองคิดดูดีๆ แล้วเขาก็ได้แต่ต้องพูดบ่นออกมาด้วยความคับแค้นใจ เพราะว่าตัวเขาที่ไม่มีพลังวิซนั้นไม่สามารถใช้งานมันได้ตั้งแต่แรกซะด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าจะมีวิธีการเดินทางที่ดีกว่าการออกแรงวิ่งไปเองก็คงจะมีแต่การขอให้เด็กนักเรียนคนอื่นที่มีวิซธาตุไฟขับรถกระบะที่จอดอยู่เบื้องล่างไปส่งเขาที่โรงเรียนเพียงเท่านั้น

 

“เธอลองพยายามติดต่อดูอีกสักพักหนึ่งก่อนละกัน ถ้าเกิดว่าไม่มีการตอบรับจริงๆ พวกเราค่อยลองยกมันขึ้นไปตั้งไว้ที่สูงกว่านี้ดูก็แล้วกัน เพราะเห็นคุณเอริกะเคยบอกว่าระดับความสูงกับสิ่งกีดขวางต่างๆ มันส่งผลต่อเจ้าเครื่องสื่อสารนี่ด้วยนี่นะ”

 

“—จริงด้วยสิ เครื่องสื่อสาร!”

 

คำพูดของไดเอน่าที่ดังขึ้นมาให้นากาได้ยินนั้นได้ทำให้เขาเบิ่งตากว้างขึ้นมาเมื่อเขานึกถึงเครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่เขาสามารถใช้งานมันได้ด้วยตัวเองที่เอริกะมอบให้เขาพกติดตัวเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้นาการีบแกล้งทำเป็นปลีกตัวไปยืนชมวิวอยู่ที่ขอบกำแพงและล้วงหยิบมันขึ้นมาสวมใส่เอาไว้ในหูเพื่อติดต่อไปหาเอริกะในทันที

 

ปิ๊บ

 

“มีใครได้ยินหรือเปล่า!? เอริกะ! เอริซาเบธ!!”

 

“นากาคุง!? ตอนนี้เธอกับคอนแนลอยู่ที่ไหนน่ะ!? เห็นพี่เทียเขาบอกว่าเธอไม่ได้อยู่กับคนอื่นๆ ในกลุ่มของเธอที่ไปหลบอยู่ในที่หลบภัยนี่”

 

หลังจากที่นากาลองพูดใส่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กของเขาเข้าไปก็ได้มีเสียงของ มีอา พยาบาลสาวผมสีขาวที่เอริกะเคยเรียกเขาไปแนะนำตัวด้วยเมื่อก่อนหน้านี้ดังตอบกลับมาเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาสามารถทราบได้ในทันทีว่ามีอาคงจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและต้องระวังไม่ให้คนอื่นรู้เรื่องเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของเอริกะอันนี้

 

“คือพอดีว่าผมกับคอนแนลมาเข้าร่วมกลุ่มกับไดเอน่าเขาน่ะครับ ตอนนี้เอริกะเขาอยู่แถวนั้นหรือเปล่า พอดีว่าผมมีเรื่องด่วนที่อยากจะถามเอริกะเดี๋ยวนี้เลยแต่ว่าพวกไดเอน่าเขาติดต่อไปหาเอริกะไม่ได้น่ะ”

 

“เอ่อ… คือว่าตอนนี้คงไม่เหมาะสักเท่า…”

 

ตึ้ง!!

 

“หา!? ที่พวกคุณบอกว่าส่งกองกำลังไปช่วยเหลือพวกหมู่บ้านต่างๆ ไม่ได้นี่หมายความว่ายังไงกันคะ!?”

 

ในขณะที่มีอากำลังจะพูดตอบนากากลับไปนั้นก็ได้มีเสียงทุบอะไรบางอย่างดังลั่นออกมาจากเครื่องสื่อสารก่อนที่จะมีเสียงตวาดของเอริกะดังตามขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด และหลังจากที่เสียงของเอริกะเงียบลงไปสักพักหนึ่งก็ได้มีเสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งดังแทรกผ่านเครื่องสื่อสารมาให้นากาได้ยิน

 

“มันก็ตามที่ผมบอกไปนั่นล่ะครับว่าผมไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้น่ะ! ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะมีเหตุผลมากพอก็ลองว่ามาก่อนสิครับผมจะได้เอาไปแจ้งให้ท่านเสนาธิการทราบน่ะ!”

 

“ก็ฉันก็บอกอยู่นี่ไงคะว่าการโจมตีประตูเมืองทั้งสี่ทิศเมื่อสักครู่นี้มันเป็นแค่ตัวล่อน่ะ เป้าหมายจริงๆ ของพวกนั้นก็คือพวกหมู่บ้านต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทั้งทวีปนั่นต่างหากเล่า!! นี่พวกคุณคิดจะปล่อยให้พวกประชาชนไม่มีทางสู้กับพวกทหารยามประจำหมู่บ้านรับมือกับอาวุธที่แม้แต่กระทั่งพวกคุณเองก็ยังไม่รู้จักด้วยตัวเองกันจริงๆ งั้นหรือไง!?”

 

“แต่ว่าถ้าดูจากข้อมูลเก่าๆ ของคุณเอริกะแล้วกลุ่มคนที่บุกมาโจมตีเมืองรีมินัสครั้งนี้กับกลุ่มคนที่บุกไปโจมตีปราสาทกราวิทัสแล้วก็ปราสาทแพนเทร่าก็เป็นกลุ่มเดียวกันไม่ใช่หรือไงครับ!? คุณเอริกะมีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกนั้นจะไม่ซ้อนแผนเพื่อให้พวกเราเคลื่อนย้ายกำลังพลออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะได้บุกเข้ามาโจมตีพระราชวังกันได้ง่ายๆ มั้ยล่ะครับ!? ถ้าเกิดว่าไม่มีงั้นไม่ว่ายังไงความปลอดภัยของปราสาทรีมินัสกับเชื้อพระวงค์ก็ต้องมาก่อนครับ!!”

 

ชายหนุ่มคนเดิมได้ขึ้นเสียงเพื่อเถียงเอริกะที่กำลังตวาดเสียงดังแบบที่นากาไม่เคยได้ยินมาก่อนกลับไป ซึ่งหลังจากที่คำพูดของเขาจบลงเสียงสนทนาที่ดังออกมาจากเครื่องสื่อสารของนากาก็ได้เงียบลงไปสักพักหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนกับข้าวของถูกโยนกระแทกกำแพงจนเกิดเสียงดังลั่น

 

โคร๊ม!!

 

“ถ้าเกิดเจ้าพวกนั้นคิดจะบุกไปที่ปราสาทจริงๆ ล่ะก็ต่อให้พวกคุณมีกองกำลังมากกว่านี้อีกสักสิบเท่าร้อยเท่ามันก็อยู่รอดกันได้ไม่ถึงสิบห้านาทีหรอก!!”

 

“ว๊าย—!? จ—ใจเย็นๆ ก่อนสิคะคุณเอริกะ—!!”

 

เสียงโครมครามและเสียงโวยวายของเอริกะนั้นได้ทำให้มีอาที่ปิดปากเงียบตั้งแต่ตอนที่เอริกะเริ่มต้นเถียงกับชายหนุ่มอีกคนรีบเข้าไปพูดห้ามปรามเจ้านายของเธอในทันที ซึ่งคำพูดของมีอานั้นก็เหมือนจะทำให้เอริกะเงียบลงไปเพื่อพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยพูดใส่คู่สนทนาของเธออีกครั้ง

 

“ถ้าเกิดว่าพวกคุณคิดจะหดหัวกันอยู่ในเมืองกันแบบนี้ล่ะก็งั้นช่วยบอกฉันมาหน่อยก็แล้วกันว่าสรุปพวกคุณมาเป็นทหารเพื่อทำหน้าที่ปกป้องพี่น้องประชาชนที่ไม่มีทางสู้หรือว่าแค่เพื่อปกป้องคนที่จ่ายเงินเดือนให้พวกคุณกันแน่น่ะหะ!!”

 

“ผ—ผมว่าพวกเราน่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ! แล้วผมก็ขอบอกให้คุณเอริกะทราบเอาไว้เลยว่าพี่น้องทหารของรีมินัสทุกคนทำเพื่อปกป้องชีวิตทุกชีวิตไม่ใช่ทำเพื่อพวกขุนนางเพียงแค่บางส่วน แล้วผมก็เชื่อว่าที่ท่านเสนาธิการสั่งการลงมาแบบนี้ก็คงจะเป็นเพราะว่าเขามีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่ในใจอย่างแน่นอน”

 

“งั้นก็ฝากคุณไปแจ้งให้ท่านเสนาธิการบ้าบออะไรนั่นสักหน่อยก็แล้วกันว่าถ้าปากเอาแต่พูดแต่ว่าไม่ยอมลงมือทำอะไรมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการโกหกไปวันๆ น่ะ!! ส่วนคุณน่ะถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยเก็บไปคิดด้วยละกันว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่น่ะ… เอาล่ะ ไสหัวไปได้แล้ว!!”

 

ปึ้ง!!

 

ทันทีที่สิ้นเสียงด่าของเอริกะก็ได้มีเสียงของประตูที่ถูกปิดกระแทกอย่างแรงดังตามออกมาก่อนที่จะมีเสียงพูดสั่งงานของเอริกะดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เอริซาเบธ ย้ำคำสั่งไปให้ทุกกลุ่มว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าเข้าไปปะทะกับกองทหารพวกนั้นเด็ดขาด”

 

“ค—ค่ะ!!”

 

เอริซาเบธที่เหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้นชินกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเอริกะสักเท่าไหร่นักได้พูดรับคำของเอริกะกลับไปอย่างลนลานในขณะที่ทางด้านมีอาก็ได้แอบกระซิบบอกนากาผ่านเครื่องสื่อสารกลับไป

 

“ที่พวกไดเอน่าจังเขาติดต่อมาไม่ได้มันก็เป็นเพราะอย่างที่เธอได้ยินนั่นแหล่ะนากาคุง”

 

“ค–ครับ… ว่าแต่ผู้ชายคนเมื่อกี้นี้เขาเป็นทหารหรือว่าอะไรพวกนั้นหรอครับนั่น?”

 

“อ่า… จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ตัวแทนที่เสนาธิการของทางกองทัพส่งมาตามคำเรียกฉุกเฉินของคุณเอริกะเขาน่ะจ้ะ พอดีว่าทางด้านพวกฉันตรวจเจอกองทหารกลุ่มใหญ่กำลังกระจายกำลังกันไปตามหมู่บ้านต่างๆ เข้าคุณเอริกะก็เลยพยายามขอให้ทหารของทางเมืองที่ถูกระดมพลไปคุ้มกันตัวปราสาทออกไปช่วยปกป้องหมู่บ้านพวกนั้นให้หน่อย… แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ผลมันก็เลยออกมาอย่างที่เธอได้ยินนั่นแหล่ะ…”

 

“เดี๋ยวสิ— ถ้างั้นที่เอริซาเบธบอกว่ามีกองกำลังกำลังมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านโมริโกะก็เป็นเรื่องจริงงั้นหรอ!?”

 

“อ–อ่า ถ้าเกิดหมายถึงตอนที่คุณเอริกะเผลอทำเสียงหลุดไปตอนที่กำลังประกาศอยู่เมื่อกี้นี้มันก็ไม่ผิดหรอกจ้ะ แค่ว่า—”

 

บรื่น—

 

ในขณะที่มีอากำลังจะพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังอยู่นั้นก็ได้มีเสียงของเครื่องยนต์รถกระบะดังออกมาจากทางด้านนอกห้องที่เธออยู่จนทำให้เอริกะที่ได้ยินเสียงนั้นเหมือนกันต้องรีบพูดถามขึ้นมาในทันที

 

“เสียงเมื่อกี้นี้มัน… เอริซาเบธ มีใครมาแจ้งว่าจะเอารถขนคนออกไปหรือเปล่า?”

 

“เอ๋? ก็ไม่มีนะคะ ตอนนี้พวกอาจารย์คนอื่นๆ เขาน่าจะยุ่งอยู่กับการดูแลพวกเด็กนักเรียนน่ะค่ะไม่น่าจะมีใครขับรถออกไปข้างนอกหรอกค่ะ”

 

“แต่ถ้าไม่ใช่พวกอาจารย์แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ… เพราะอารอนเองก็ออกไปช่วยเฝ้านักเรียนที่ที่หลบภัยแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็มีแค่อลิซที่ยังพักฟื้นอยู่ที่ห้องพยาบาลคนเดียว… อ่ะ— เด็กพวกนั้น!”

 

เอี๊ยดดดดดดดดด!! บรื่นนนนนนนน—-

 

เอริกะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นได้ชะงักไปในทันทีที่เธอนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เธอเพิ่งจะเผลอทำเสียงการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไรหลุดไปให้คนที่นั่งฟังประกาศผ่านวิทยุกันอยู่ได้ยิน

 

“มีอา!! รีบติดต่อไปหาพวกไดเอน่าจังเร็วเข้า!!”

 

“พวกไดเอน่าจังเขาพยายามจะติดต่อมาหาคุณเอริกะได้สักพักนึงแล้วล่ะค่ะ จะให้ฉันเชื่อมสัญญาณให้เลยมั้ยคะ?”

 

“อ่ะ— ถ้างั้นขอฉันคุยกับพวกเขาหน่อย!”

 

“เชิญเลยค่ะ”

 

ปิ๊บ—

 

เสียงของอุปกรณ์สื่อสารของเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นและเสียงตัดสายของอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กของนากาได้ดังขึ้นมาพร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะมีอาคิดว่าไหนๆ นากาก็อยู่กับพวกไดเอน่าแล้วก็เลยอยากให้เขาไปเข้าร่วมกลุ่มฟังกับคนอื่นๆ ไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ดูน่าสงสัยจนทำให้นากาได้แต่ต้องเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แต่โดยดี

 

“ฮัลโหลๆ ไดเอน่าได้ยินหรือเปล่า!”

 

“สัญญาณชัดเจนค่ะคุณเอริกะ! ตอนนี้ประตูเมืองฝั่ง—”

 

“เรื่องรายงานนั่นเอาไว้ก่อน! เดี๋ยวอีกไม่นานน่าจะมีรถขนคนคันนึงวิ่งไปทางประตูเมืองตะวันตกที่พวกเธออยู่กันน่ะ”

 

“เอ๋ะ? แต่เมื่อกี้นี้คุณเอริกะบอกว่าไม่มีกำลังเสริมมาให้นี่คะ… หรือว่าพวกคนร้ายเขาแอบเข้าไปชิงรถออกมาจากโรงเรียนแล้วกำลังจะหนีกัน เดี๋ยวฉันจะให้คนอื่นๆ ไปเตรียมพร้อมสกัดรถให้เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!”

 

“ไม่ๆ! พวกเธอเปิดประตูเมืองปล่อยให้รถคันนั้นผ่านไปได้เลย!”

 

“อ–เอ๋!?”

 

คำตอบของเอริกะนั้นถึงกับทำให้ไดเอน่าชะงักไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะรีบตั้งสติแล้วรีบร้องสั่งให้เด็กนักเรียนคนหนึ่งวิ่งลงไปเปิดประตูเมืองในทันที

 

“ร–รับทราบค่ะ! พวกเธอรีบลงไปเปิดประตูเมืองเร็ว!”

 

“เออใช่ ไดเอน่าจังเธอบอกให้พวกนากาคุงเตรียมกระโดดขึ้นรถคันนั้นไปด้วยล่ะ”

 

“หะ!? ฉันหรอ?”

 

“อ้าวอยู่ตรงนั้นด้วยหรอ… เอาเป็นว่าถ้าฉันเดาถูกล่ะก็นายไม่อยากจะพลาดโอกาสติดรถคันนั้นไปด้วยหรอก รีบๆ ไปเตรียมตัวกระโดดขึ้นรถได้แล้ว!”

 

“อ–อ่า เข้าใจแล้ว!!”

 

นากาพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งลงจากกำแพงเมืองเพื่อไปดักรอรถขนคนคันที่เอริกะพูดถึงถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจว่าเอริกะจะต้องการอะไรกันแน่ก็ตาม

 

บรื่นนนนนนนนนนน!!

 

“พี่นากาาาาาาา!!”

 

“พรีมูล่า!?”

 

ในขณะที่นากากำลังยืนรอรถกระบะคันที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้อยู่นั่นเองก็ได้มีน้ำเสียงอันแสนสดใสของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับพรีมูล่าที่กำลังโบกมือให้เขามาจากหลังรถกระบะคันที่กำลังแล่นตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็ว

 

“พี่นากาขึ้นมาเร็ว! รีบกลับไปช่วยหมู่บ้านของพวกเรากัน!”

 

“เอ๋— แต่ว่า…”

 

นากาที่ถูกพรีมูล่าที่กระโดดลงมาจากหลังรถกระบะเพื่อลากตัวเขาไปขึ้นรถนั้นได้แต่ต้องลังเลเล็กน้อยด้วยความกลัวว่าจะถูกเด็กนักเรียนในกลุ่มดอว์นคนอื่นๆ ต่อว่าที่เขาคิดจะละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปเพื่อทำเรื่องส่วนตัวแบบนี้จนทำให้ไดเอน่าที่ลอบสังเกตท่าทีของนากามาตั้งแต่ตอนที่เขามีท่าทีแปลกไปหลังจากได้ยินว่าหมู่บ้านโมริโกะกำลังจะถูกบุกโจมตีต้องพูดถามขึ้นมา

 

“หมู่บ้านโมริโกะที่คุณเอริกะเผลอหลุดปากออกมาเมื่อกี้นี้คงจะเป็นหมู่บ้านของพวกเธองั้นสินะนากาคุง พรีมูล่าจัง?”

 

“ค่ะ! เพราะงั้นพี่ไดเอน่าก็ช่วยหยุดยื้อตัวพี่นากาไว้ได้แล้วค่ะ!”

 

“แล้วพวกเธอรู้หรือเปล่าว่าถ้าพวกเธอกลับไปที่นั่นแล้วชีวิตของพวกเธอก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ได้น่ะ?”

 

“ก็รู้สิ… แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คงจะปล่อยให้หมู่บ้านที่ฉันอยู่มาตั้งนานถูกบุกไปเฉยๆ แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”

 

คำตอบของนากานั้นได้ทำให้ไดเอน่าพยักหน้ากลับไปให้เขาก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากอดอกแล้วจึงหันหลังไปมองทางอื่นด้วยความละอายใจ เพราะว่าทั้งๆ เธอเป็นถึงประธานนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสและเป็นถึงหนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเมืองนี้แท้ๆ แต่ว่าเธอก็กลับช่วยเหลืออะไรหมู่บ้านของนากาไม่ได้เลย และเธอก็รู้ดีว่าต่อให้ตัวเธอเองจะเป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปที่วังหลวง เมืองรีมินัสแห่งนี้ก็ไม่มีทางและไม่มีวันที่จะยอมสละความปลอดภัยของตัวเองเพื่อไปช่วยเหลือหมู่บ้านเล็กๆ ที่พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญอย่างแน่นอน

 

“ถ้างั้นพวกเธอก็รีบขึ้นรถไปเถอะ… เรื่องที่รีมินัสนี่เดี๋ยวพวกฉันจะจัดการเองพวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…”

 

“ขอบคุณนะไดเอน่า…”

 

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก… ทางฉันต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษที่เมืองนี้ช่วยเหลืออะไรหมู่บ้านของนายไม่ได้เลยน่ะ…”

 

คำพูดขอบคุณของนากาได้แต่ทำให้ไดเอน่าต้องก้มหน้าลงด้วยความละอายใจไปยิ่งกว่าเดิม เพราะถ้าเป็นไปได้ตัวเธอเองก็อยากจะขึ้นรถไปด้วยเพื่อช่วยปกป้องหมู่บ้านของเพื่อนนักเรียนของเธอเช่นเดียวกัน แต่ว่าการที่พวกเธอยอมเปิดประตูเมืองเพื่อปล่อยให้รถของพวกนากาแล่นออกไปแบบนี้มันก็เรียกได้ว่าขัดคำสั่งของทางเมืองไปมากเกินพอแล้ว เธอจึงไม่สามารถทำอะไรที่จะเสี่ยงให้พวกเด็กนักเรียนหรือว่าทางโรงเรียนโดนทางวังหลวงหาเรื่องเพิ่มเติมได้อีก

 

“ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ ถ้าเกิดว่ามีใครเป็นอะไรไปล่ะก็ฉันจะไม่ยกโทษให้แน่ๆ นะเข้าใจมั้ย…”

 

“ฝีมือระดับนายน่ะถ้าไม่ประมาทหรือไม่บ้าไปแบบเมื่อกี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอยู่แล้วหรอกมั้ง แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าคอนแนลล่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะดูแลให้เอง”

 

“โชคดีนะคะนากาคุง!”

 

“ทุกคน…”

 

คำพูดอวยพรของเนลและรีซาน่านั้นได้ทำให้นากาพยักหน้าตอบพวกเขากลับไปด้วยความตื้นตันก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปบนกระบะหลังรถและพบเข้ากับอลิซที่สวมใส่ยูนิตติดปืนกลเชสเชียร์ที่มีรอยไหม้ดำไปแทบจะทั่วทั้งตัวยูนิตนอนแอบอยู่ที่ด้านหลังรถ

 

“……อ้าว อลิซ?”

 

“พี่นากาขึ้นรถมาแล้ว รีบไปกันเลยโมโกะจัง!!”

 

ปึ้ง! ปึ้ง!

 

บรื่นนนนน—

 

หลังจากที่สิ้นเสียงเคาะของพรีมูล่าที่ทุบเข้าใส่ห้องคนขับแบบไม่ออมแรงนั้น ตัวรถกระบะก็ได้ออกเคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองไปสู่ทุ่งกว้างภายนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนทางด้านนากาที่กำลังจ้องมองอลิซที่มีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มตัวนั้นก็ได้แต่ต้องพูดถามเด็กสาวผมสีขาวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“นี่เธอคิดจะไปด้วยกันแน่หรอน่ะอลิซ? แผลเต็มตัวขนาดนี้เธอจะไปสู้กับใครเขาไหวหรือไงเนี่ย?”

 

“อะไร… นายคิดจะดูถูกฉันหรือไงหะ? ถ้าเกิดไม่ใช่เป็นเพราะฉันล่ะก็ป่านนี้ยัยแมวขโมยนั่นยังหาทางเปิดประตูรถไม่ได้เลยล่ะมั้ง นายเอาเวลาที่จะเป็นห่วงฉันไปเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนเถอะ”

 

คำพูดของนากานั้นได้ทำให้อลิซขมวดคิ้วและหันกลับมาจ้องมองเขาด้วยความหงุดหงิดในทันทีจนทำให้นากาได้แต่ต้องรีบพูดแก้ตัวขึ้นมา

 

“ม—ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย… ฉันก็แค่เห็นว่าเธอบาดเจ็บอยู่ก็เลยเป็นห่วงแค่นั้นเอง..”

 

“หนูเองก็เป็นห่วงพี่อลิซเหมือนกันนะ! ก็พี่อลิซเล่นมีผ้าพันแผลเต็มตัวแบบนี้ถ้าเกิดมีใครผ่านมาเห็นเขาก็อยากจับพี่อลิซส่งเข้าคลินิกไปรักษากันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ~”

 

พรีมูล่าที่ได้ค้นพบว่าตัวเองไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากรอจนกว่ารถของพวกเธอจะแล่นไปถึงที่หมู่บ้านนั้นได้รีบพุ่งตัวเข้าไปก่อกวนคนอื่นในทันทีที่เธอมีจังหวะก่อนที่เธอจะใช้นิ้วจิ้มไปที่หนึ่งในผ้าพันแผลของอลิซไปเบาๆ ทีหนึ่งจนทำให้เด็กสาวผมสีขาวร้องลั่นออกมา

 

“โอ๊ย–อย่ามาจิ้มกันนะยัยเอ๋อนี่!!”

 

“พรีมูล่าอย่าไปรังแกคนเจ็บสิ!! แต่ว่าเธอเจ็บหนักขนาดนี้ฉันว่าเธอกลับไปพักผ่อนที่เมืองเหมือนเดิมดีกว่ามั้ยน่ะอลิซ…”

 

“หนวกหูน่า… ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ฉันก็ยังสู้ไหวอยู่… เอาจริงๆ ถ้านายคิดจะเป็นห่วงใครนายไปเป็นห่วงยัยแมวขโมยที่จะต้องขับรถทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะถึงหมู่บ้านแล้วพอสู้กันเสร็จก็ต้องขับรถกลับอีกรอบนึงดีกว่าล่ะมั้ง”

 

“น…นั่นสินะ…”

 

นากาที่ได้ยินสิ่งที่อลิซพูดออกมานั้นได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกลับไป เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่โมโกะได้มีโอกาสลองขับรถให้แทนเอริซาเบธเธอก็ล้มพับไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะถึงครึ่งทางซะด้วยซ้ำ ซึ่งบทสนทนาของกลุ่มคนบนหลังรถกระบะนั่นก็ได้ทำให้โมโกะที่เปิดหน้าต่างออกมารับลมร้องตะโกนเถียงกลับมาในทันที

 

“คราวก่อนฉันแค่กะปริมาณวิซพลาดไปหน่อยแค่นั้นเองล่ะน่า! อีกอย่างนึงถ้าฉันล้มพับไปจริงๆ นายเองนั่นล่ะที่จะต้องเสียใจเพราะอย่างยัยเอ๋อพรีมูล่าน่ะไม่มีทางขับรถได้หรอก!”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของโมโกะรถกระบะที่พวกเขานั่งอยู่ก็ได้เร่งความเร็วไปมากกว่าเดิมเล็กน้อยราวกับว่าโมโกะได้เร่งความเร็วของรถขึ้นเพื่อระบายความหงุดหงิด ซึ่งการกระทำของโมโกะนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ยักไหล่และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามบ่ายที่เริ่มจะมีเค้าลางของเมฆฝนก่อตัวขึ้นมาให้เห็นแล้วเขาจึงได้แต่ต้องพูดพึมพำออกมา

 

“หวังว่าพวกเราคงจะไปถึงไม่สายเกินไปนะ…”

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ… เพราะรถยนต์นี่มันก็เป็นวิธีการเดินทางที่เร็วที่สุดเท่าที่ที่นี่จะมีแล้วนี่…”

 

อลิซที่ได้ยินคำพูดบ่นด้วยความกังวลของนากาได้เหลือบตามองไปทางเด็กหนุ่มผมดำเล็กน้อยและจึงพูดขึ้นมา ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอกลับไป

 

“นั่นสินะ…”

 

 

ในขณะเดียวกันกับที่พวกนากากำลังนั่งรถกระบะมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านโมริโกะที่ตั้งอยู่สุดเขตปลอดภัยทางด้านทิศตะวันตกนั้น ที่บริเวณริมขอบอาณาเขตของทะเลมรกตเองก็ได้มีรถม้าคันหนึ่งแล่นเอื่อยๆ มุ่งตรงออกมาจากทุ่งหญ้ากว้างไกลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก

 

ซึ่งรถม้าคันที่ว่านั้นก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีเส้นผมสั้นยุ่งๆ สีแดงนั่งกุมบังเหียนอยู่ที่ด้านหน้าด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจที่ตัวเองอยู่ในอาณาเขตอันตรายที่เรียกว่าทะเลมรกตสักเท่าไหร่นักก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้าอยู่ที่เบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกลเขาจึงได้หันกลับไปพูดบอกกับผู้โดยสารที่นั่งกันอยู่ภายในขึ้นมา

 

“สภาพอากาศดูไม่ค่อยจะดีเลยนะครับหัวหน้า”

 

คำพูดของเด็กหนุ่มผมสีแดงนั้นได้ทำให้ผ้าใบของรถม้าถูกเลิกเปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวผมเปียสีชมพูนัยน์ตาสีฟ้าในชุดเกราะอัศวินสีขาวประดับทองที่ชะโงกหน้าออกมาดูสภาพอากาศภายนอกที่เด็กหนุ่มผมแดงพูดถึง

 

“จริงด้วยค่ะ… ฟ้าครึ้มแบบนี้ฝนจะตกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะคะเนี่ย… อ่ะ— อิกนิสคุงเลี้ยวไปทางด้านขวาหน่อยสิคะ ดูเหมือนว่าจะมีถนนอยู่ทางด้านนั้นน่ะค่ะ… อดทนอีกสักหน่อยนะคะนิ๊กซ์ซี่จัง ถ้าข้ามถนนนั่นไปได้พวกเราก็น่าจะออกจากเขตของทะเลมรกตกันแล้วล่ะค่ะ”

 

อัศวินสาวที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ชี้นิ้วไปทางด้านขวาที่ทุ่งหญ้ากว้างไกลได้แหว่งไปเป็นทางยาวบ่งบอกว่าน่าจะมีถนนอยู่ที่ทางด้านนั้นก่อนที่เธอจะหดหัวกลับพูดบอกหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีดวงตาสีเขียวมรกตและเขาสีดำบนศีรษะที่กำลังนั่งขัดคริสตัลวิซบนไม้เท้าของเธออยู่จนทำให้หญิงสาวผมสีน้ำเงินที่ชื่อว่านิ๊กซ์ซี่ต้องพูดบ่นออกมา

 

“เฮ้อ… แต่ว่ารอบนี้การสำรวจของพวกเราก็คว้าน้ำเหลวอีกแล้วสินะคะ… นี่ตกลงว่าในทะเลมรกตนี่มันมีอะไรซ่อนอยู่จริงๆ งั้นหรอคะ? ทำไมพวกวังหลวงของแต่ละเมืองถึงสนอกสนใจมันนักทั้งๆ ที่มันมีแต่หญ้า หญ้า แล้วก็หญ้าแบบนี้เนี่ย”

 

“แหม่~ ถึงตอนนี้พวกเราจะยังหามันไม่เจอก็เถอะ แต่ฉันเองก็เชื่อว่าข้างในนั้นมันจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ เลยล่ะค่ะ”

 

คำพูดของหญิงสาวผมสีชมพูที่ถักเป็นเปียที่ชื่อว่าเรสเนอร์นั้นได้ทำให้ท่าทีหงุดหงิดของนิ๊กซ์ซี่หายไปเป็นปลิดทิ้งก่อนที่เธอจะพูดตอบเรสเนอร์กลับไปเสียงหวาน

 

“ถ้าเรสเนอร์เชื่อว่ามันมีอยู่จริงมันก็ต้องมีอยู่จริงอยู่แล้วล่ะค่ะ… ถึงงานสำรวจทะเลมรกตนี่มันจะน่าเบื่อไปหน่อยก็เถอะแต่ว่ายังไงมันก็ได้ค่าจ้างคุ้มค่าอยู่นั่นแหล่ะค่ะ เพราะงั้นฉันไม่มีอะไรจะบ่นหรอกนะคะ”

 

“ถ้ายังไงก็ขอบคุณอิกนิสคุงกับนิ๊กซ์ซี่จังที่ยอมตามฉันมาทำภารกิจนี้ด้วยกันมากนะคะ เพราะฉันเองก็รู้ว่าที่จริงแล้วทุกคนคงจะไม่อยากเข้ามาที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ว่างานครั้งนี้ทางเมืองแพนเทร่าเขาขอร้องฉันมาโดยตรงฉันก็เลยไม่อยากจะปฏิเสธพวกเขาน่ะค่ะ”

 

“เรื่องนั้นหัวหน้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ! ถ้าเพื่อหัวหน้าแล้วต่อให้พวกเราต้องเดินทางข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลมรกตพวกเราก็พร้อมจะตามไปอยู่ดีนั่นล่ะครับ!”

 

“ก็ตามที่เจ้าอิกนิสพูดขึ้นมานั่นล่ะค่ะ นี่ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีงานด่วนอันอื่นแทรกเข้ามาด้วยล่ะก็พวกคนที่เหลือเองก็พร้อมจะตามมาสำรวจด้วยเหมือนกันนั่นแหล่ะค่ะ!!”

 

“พวกเธอนี่ล่ะก็นะ~ ถ้าพวกเธอทำตัวแบบนี้ที่ฉันอุตส่าห์ปล่อยให้พวกเธอมีอิสระกันมันก็เสียเปล่าหมดสิคะ”

 

เรสเนอร์ที่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนๆ ของเธอทั้งสองคนพูดขึ้นมานั้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะหันออกไปมองดูวิวข้างทางที่เริ่มจะมีต้นไม้ต่างๆ งอกงามให้เห็นนอกจากทุ่งหญ้าโล่งๆ บ้างแล้ว

 

“อ่ะ…?”

 

ในขณะที่เรสเนอร์กำลังเหม่อมองออกไปนอกตัวรถม้าอยู่นั้นเธอก็สังเกตเห็นเงาของอะไรบางอย่างผุดหายกลับเข้าไปหลังต้นไม้ต้นหนึ่งจนทำให้เธอต้องหันไปเพ่งมองทางนั้นอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วจึงร้องเรียกเพื่อนของเธอขึ้นมา

 

“นิ๊กซ์ซี่จัง เธอเก็บกล้องส่องทางไกลเอาไว้ในกล่องใกล้ๆ นั่นใช่มั้ยคะ รบกวนช่วยหยิบมาให้ฉันหน่อยสิ”

 

“อ่ะ ขอแป๊บนึงนะคะ”

 

นิ๊กซ์ซี่ที่ถูกเรียกใช้งานนั้นได้รีบผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและคุ้ยหากล้องส่องทางไกลเพื่อยื่นไปให้อีกฝ่ายในทันที ซึ่งเรสเนอร์ที่ได้รับกล้องส่องทางไกลตาเดียวไปนั้นก็รีบใช้มันส่องไปทางที่เธอพบเห็นเงาดำเมื่อสักครู่นี้อย่างรวดเร็วจนทำให้อิกนิสที่เป็นคนขับรถม้าได้ตัดสินใจที่จะชลอความเร็วลงเพื่อให้รถม้าที่ทุกคนโดยสารอยู่ไม่โขยกเขยกไปมามากนักแล้วจึงค่อยพูดถามขึ้นมา

 

“เป็นยังไงบ้างครับ? เห็นอะไรบางหรือเปล่า?”

 

“อื้ม… ไม่แน่ใจเหมือนกันน่ะสิคะว่าเห็นอะไรหรือเปล่า… ว่าแต่แถวๆ นี้มีหมู่บ้านหรือว่าอะไรตั้งอยู่ใกล้ๆ บ้างมั้ยคะ?”

 

“ถ้าหมู่บ้านที่ติดกับทะเลมรกตก็มีแต่หมู่บ้านโมริโกะนั่นล่ะครับ ถ้าดูจากทิศทางแล้วน่าจะอยู่เลยเข้าไปในป่าที่หัวหน้าใช้กล้องส่องเข้าไปเมื่อตะกี้นี้น่ะครับ”

 

“หมู่บ้านโมริโกะงั้นหรอคะ… อืม…”

 

เรสเนอร์ที่ได้ยินว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ นี้ได้พับเก็บกล้องส่องทางไกลของเธอไปได้ยกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมกับขมวดคิ้วใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้อิกนิสที่เฝ้ามองดูเธออยู่ได้ตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาในทันที

 

“ถ้าหัวหน้าคิดจะแวะไปที่หมู่บ้านโมริโกะก็บอกผมมาได้เลยนะครับ เพราะยังไงเดี๋ยวถนนเส้นนี้มันก็มีทางแยกไปที่หมู่บ้านนั้นอยู่แล้วน่ะครับ”

 

“อ—เอ๋ะ— รู้ได้ยังไงน่ะคะ… ฉันยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลยนะคะ”

 

“แค่เห็นท่าทางของหัวหน้าก็ดูออกแล้วล่ะค่ะว่าเมื่อกี้นี้คงจะเห็นอะไรน่าสงสัยเข้าก็เลยอยากจะเข้าไปดูน่ะค่ะ”

 

“แหม่~ จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่แหล่ะค่ะ… แต่ว่าถ้าพวกเธอเหนื่อยจากการเดินทางแล้วอยากจะพักผ่อนกันก่อนเดี๋ยวฉันจะไปคนเดียวก็ได้นะคะ”

 

คำพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจของเรสเนอร์นั้นได้ทำให้อิกนิกและนิ๊กซ์ซี่ต่างแย่งกันพูดเสนอตัวขึ้นมากันในทันที

 

“เรื่องพวกผมหัวหน้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ! ถ้าเกิดว่ามันมีอะไรที่ถึงกับทำให้หัวหน้าเป็นกังวลได้ล่ะก็ผมคงจะปล่อยให้หัวหน้าเข้าไปลุยคนเดียวไม่ได้หรอกนะครับ!!”

 

“ใช่แล้วล่ะค่ะ! พวกเราทั้งหกคนสาบานเอาไว้แล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรสเนอร์ด้วยไม่ว่าพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามน่ะ! ส่วนอีกสี่คนที่ไม่ยอมมาปกป้องหัวหน้าเดี๋ยวฉันจะคาดโทษพวกเขาเอาไว้ก่อนเองค่ะ!”

 

เรสเนอร์ที่ได้ยินคำพูดของเพื่อนๆ ของเธอนั้นไม่อาจที่จะตัดใจปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาได้เลยทำให้เธอได้แต่ต้องยอมพยักหน้าตกลงกลับไปและพูดกำชับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ก็ได้ค่ะ… แต่ถ้าเกิดสถานการณ์เกิดไม่ดีขึ้นมาพวกเธอจะต้องทำตามคำสั่งของฉันแล้วห้ามทำอะไรเสี่ยงอันตรายนะคะเข้าใจมั้ย?”

 

“เรื่องนั้นเรสเนอร์เตือนพวกฉันทุกรอบจนจำได้ขึ้นใจอยู่แล้วล่ะค่ะ!”

 

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนั้นนะครับ! พวกเรามุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านโมริโกะกันเถอะ!!”