ไป๋จือเยี่ยนยักไหล่ไม่ใส่ใจ “ที่หุบเขาพญายม สภาพพื้นที่ที่นั่นไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมีหมอกพิษปกคลุม พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอด ไม่มีใครหาพบ เป็นสถานที่พักฟื้นที่ดีนัก”

เขาพูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาของโหลวจวินเหยาก็ทะมึนลง ดวงตาหรี่ลงจ้องมองไปยังไป๋จือเยี่ยน “เจ้าว่าไงนะ?”

“หือ? ก็ข้าบอกไปเมื่อครู่ว่าที่หุบเขาพญายมไง…..” ไป๋จือเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็เหมือนรู้สึกถึงความผิดปกติ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี “หุบเขาพญายม….. สวรรค์! เวรแล้ว!”

ตอนนี้ที่หุบเขาพญายมยังเป็นเวลากลางวัน มีเสียงประหลาดจากฟากฟ้าดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว นอกจากเสียงนั่นก็ไร้เสียงอื่นใด เยี่ยนซีโหรวท่าทางบื้อใบ้มาก กระทั่งตอนที่ก้าวเดินอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ นางก็ยังมีท่าทีไร้เรี่ยวแรงคอตกอยู่ตลอด เป็นตอนที่ได้ยินเสียงประหลาดจากบนฟ้านั่นเองที่ทำให้นางหลุดออกจากความหมองหม่นได้บ้าง

เยี่ยนซีอู่มองเด็กแฝดสองคนที่เดินนำหน้าตน นัยน์ตานางมีแสงแวววาดผ่านก่อนดึงเยี่ยนซีโหรวให้เดินตามคนทั้งสองให้ทัน

“พี่ ก่อนหน้านี้ท่านได้เข้ามาข้างในหรือไม่?” ชิงเป่ยเอียงหน้าถาม

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ก่อนตอบ “ก่อนหน้านี้ข้ารั้งอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้ามาด้านใน”

นึกย้อนไปก็แปลกนัก หลายปีมานี้นางท่องเที่ยวไปยังสถานที่อันตรายนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยมายังหุบเขาพญายม เหตุผลนั้นไม่อาจรู้ได้แน่ชัด ราวกับสถานที่นี้จู่ ๆ ก็ถูกลืมเลือนไปจนสิ้น

หลังจากเดินกันมาไกลระยะหนึ่ง น่าแปลกที่ไม่พบอสูรวิญญาณสักตัว ลือกันว่าที่หุบเขาพญายมมีอสูรวิญญาณร่อนเร่อยู่ทั่ว พวกเขาเริ่มคิดว่าหรือจะเป็นเพียงเรื่องเล่าลือกันไปเอง หากแต่ไม่นานก็พบกับอุปสรรคแรก นั่นคือยามราตรีได้มาถึงแล้ว

ราตรียาวนานถึงสิบชั่วยาม สภาพแวดล้อมภายในนั้นแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ทำให้ใจคนเป็นกังวลได้ไม่ยาก

ปกติคนเรามักจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องตกอยู่ในความมืดมิด อาจเพราะในความมืดอาจซุกซ่อนอันตรายไว้มากมาย มันอาจจะกำลังคืบคลานเข้าหาอย่างเงียบเชียบก็เป็นได้

มีแต่ชิงอวี่ที่ดวงตาไม่เหมือนใคร สามารถมองเห็นในความมืดได้ แต่คนอื่น ๆ ไม่เป็นเช่นนั้น การอยู่ในความมืดนาน ๆ ย่อมทำให้จิตใจอ่อนแอไม่อาจสงบลงได้

นางหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นสะบัดมือคราหนึ่ง เพลิงสีแดงเหลือบทองลูกหนึ่งก็สว่างโชติช่วงขึ้นที่ปลายนิ้ว ส่องสว่างไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำลายความมืดมิดที่กัดกิน

ชิงเป่ยไม่ตกใจเท่าไหร่ ทว่าเยี่ยนซีโหรวสะดุ้งเฮือก จากนั้นถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “วิชาอะไรกัน?” ได้ยินตอนทดสอบกับศิลาว่าชิงอวี่เป็นผู้ถือครองธาตุไฟ แต่นางสามารถเรียกไฟออกมาได้เช่นนี้แล้วงั้นหรือ?

ชิงอวี่ไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยขึ้นว่า “พื้นข้างเจ้ามีกิ่งไม้อยู่หลายกิ่ง เจ้าไปเก็บมาสักหน่อยจะได้ก่อกองไฟกัน”

เยี่ยนซีโหรวเบิกตากว้าง นางมองหน้าชิงอวี่ ยกนิ้วชี้เข้าหาตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าจะให้ข้าไปเก็บกิ่งไม้หรือ? เยี่ยนชิงอวี่ ถามถูกคนอยู่หรือไม่! ? ข้าคือคุณหนูสามจวนหย่งอันอ๋อง เป็นพี่สาวเจ้า! เจ้ากล้าสั่งให้ข้าไปทำงานต่ำต้อยเช่นนี้ได้หรือ?!”

“…..” ก็แค่เก็บกิ่งไม้เท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็นงานต่ำต้อยไปได้?

โรคเจ้าหญิงของสตรีผู้นี้ดูท่าจะหนักเอาการ

เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ราวกับถูกสบประมาทอย่างไม่น่าให้อภัยของนาง ชิงเป่ยก็เหลือบมองนางด้วยสายตาแสดงความรังเกียจ “ได้รับคำสั่งแล้วก็ทำตามเสีย ที่นี่ไม่มีคุณหนูหรือองค์หญิงที่ไหนทั้งนั้น มีแต่เป็นหรือตาย เจ้าจะกลายเป็นคนตายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้า”

หากนางไม่พึ่งพาพี่สาวของเขา ไม่ต้องพูดถึงแก่นผลึกอสูรวิญญาณ แค่จะเอาชีวิตรอดอยู่ที่นี่สำหรับนางยังนับว่ายากเย็นแล้ว กลับกล้าวางอำนาจเช่นนี้ โง่เขลาสิ้นดี

เมื่อถูกดูแคลนเช่นนั้น ใบหน้าเยี่ยนซีโหรวยิ่งกลายเป็นไม่น่ามอง เยี่ยนซีอู่ที่ยืนข้างนางดึงแขนเสื้อนางเบา ๆ เป็นเชิงเตือน เป็นตอนนั้นเองที่เยี่ยนซีโหรวยอมนั่งยองลงเก็บกิ่งไม้ด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว

ชิงอวี่เห็นภาพฉากนั้นก็เผยยิ้มออกมา รออยู่นานกว่าเยี่ยนซีโหรวจะเก็บกิ่งไม้เสร็จ จากนั้นนางก็ก่อกองไฟ แสงไฟสว่างส่องพื้นที่โดยรอบ

เยี่ยนซีโหรวส่งสายตาไม่พอใจให้นาง จากนั้นเดินเข้ามานั่งใกล้กลับกองไฟ นางกำลังคิดจะนั่งพักเสียหน่อย แต่บั้นท้ายนางกลับสัมผัสถูกบางสิ่งบางอย่างนุ่มๆ ร่างนางแข็งค้างไปแล้วก็สะดุ้งเฮือก เปล่งเสียงร้องแหลมบาดหูออกมา

“กรี๊ด~~~ ตัวอะไรน่ะ!”

คนที่เหลือหันมาทางนาง เห็นงูสีน้ำตาลตัวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือกำลังขดตัวหลับอย่างเกียจคร้าน

มันถูกเยี่ยนซีโหรวนั่งทับจึงถูกปลุกตื่น ยังไม่ทันได้ลืมตาเต็มที่ก็ตกใจกับเสียงกรีดร้องดังลั่น เจ้างูน้อยพลันแสดงอารมณ์คล้ายมนุษย์ทั้งดวงตาและใบหน้า จากนั้นสะบัดหาง แลบลิ้นแยกเป็นแฉกออกมาเสียฝ่อแล้วเลื้อยจากไป

มนุษย์กระจอกพวกนี้ เหตุใดไปที่ใดก็เจอ? มันหาที่นอนสงบ ๆ ไม่ได้เลยเชียว

ชิงอวี่เห็นการกระทำของมันทุกอย่าง นัยน์ตาหงส์ของนางส่องประกายขบขัน งูน้อยตัวนี้ท่าจะมีสติปัญญา แววตาเมื่อครู่ของมันน่าขันนัก!

เยี่ยนซีโหรวหน้าตาไม่น่ามอง นางมองงูน้อยที่เลื้อยจากไป ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นเสียงอึกอัก “เป็น….. เป็นงูนี่เอง…..”

“แล้วคิดว่าเป็นตัวอะไร?” ชิงอวี่ถามขึ้น หันมองเยี่ยนซีโหรวด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์ “อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ เจ้ากรีดร้องดังลั่น คิดจะล่ออสูรวิญญาณทั้งหมดมาหรือไร?”

“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เยี่ยนซีโหรวเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่นางส่งเสียงดังเกินควร หากเสียงนางดึงอสูรมาจริง ภารกิจที่ได้รับมาคงไม่ต้องทำกันแล้ว เพราะแม้แต่ชีวิตนางก็คงรักษาไว้ไม่ได้

คนทั้งหมดนั่งล้อมกองไฟ แสงสว่างจากเปลวเพลิงส่องสว่างไปยังใบหน้างาม ในนัยน์ตาเย้ายวนสะท้อนภาพกองไฟลุกโชติช่วง

“แล้วอย่างไรต่อดี?” เยี่ยนซีอู่ที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยถามขึ้น “ที่นี่มืดไปหมด มองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณทั้งหลายพากันไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด หากพวกมันจู่ ๆ ออกมาโจมตีเราเข้า…..”

ที่หุบเขาพญายมแห่งนี้ มีเพียงสองชั่วยามแรกยามสว่างเท่านั้นที่จะปลอดภัย ด้วยอสูรวิญญาณส่วนมากจะยังพักผ่อนอยู่ แต่เมื่อยามราตรีมาเยือน พวกมันจะพากันออกล่าเหยื่อ

“ไม่ต้องห่วง อสูรวิญญาณธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้เราหรอก” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ

ไฟที่นางก่อขึ้นไม่ใช่เพื่อแสงสว่างอย่างเดียว อสูรวิญญาณส่วนมากนั้นกลัวไฟ อีกทั้งไฟของนางกองนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา หากถูกตัวเข้าเพียงนิดจะไม่อาจดับได้ อสูรวิญญาณระดับต่ำทั้งหลายย่อมไม่พุ่งเข้ามาหาเรื่องปลิดชีพตนเองแน่ เว้นเสียแต่จะเป็นอสูรวิญญาณที่ยังไม่พัฒนาจนมีสติปัญญา

“เราเดินมาตั้งไกล ใช้เวลานี้พักผ่อนหน่อยเถอะ!” ชิงอวี่เอ่ย

ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้น พวกเขาทุกคนต่างชะงักค้างไปในมัน มันคือเสียง…..

เยี่ยนซีโหรวก้มศีรษะลงต่ำ จากนั้นเอ่ยเสียงเบาราวกับเสียงยุง “เอ่อ….. ข้าหิว…..”

“…..”

ด้วยต้องการให้พวกเขาฝึกฝนการเอาตัวรอด ฉินฟางจึงเคร่งครัดมาก อนุญาตให้นำเพียงน้ำสองขวดเข้ามา ทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้นำอาหารติดตัวมา หากหิวย่อมต้องหาอาหารเอง เขาถึงกระทั่งตรวจสอบก่อนทุกคนจะเข้ามายังหุบเขาเสียด้วยซ้ำ

เยี่ยนซีโหรวเป็นเด็กสาวเจ้าเนื้อ รูปร่างอวบที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นพละกำลังจึงลดลงเร็วกว่าคนอื่นเช่นกัน เมื่อเช้านางตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง นอกจากดื่มน้ำแล้วก็ไม่ได้กินอะไรอีก ทำให้เกือบเป็นลมเพราะความหิวอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อครู่ยังถูกเจ้างูน้อยทำให้ตกใจ พลังงานในร่างลดลงไปอีก ทำให้ตอนนี้นางยิ่งรู้สึกหิวมากกว่าเดิม

ชิงอวี่สามารถอดอาหารได้ทั้งเดือน ไม่มีน้ำหรืออาหารตกถึงท้องก็ยังเอาชีวิตรอดได้ กินเพียงยาเพิ่มพลังวิญญาณขวดหนึ่งก็พอ แต่คนอื่น ๆ ไม่อาจทนได้เช่นนาง ปล่อยให้พวกเขาหิวเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ทางออกที่ดี

คิดเช่นนั้นนางจึงลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าจะลองไปสำรวจดูว่าใกล้ ๆ นี้มีของกินได้บ้างหรือไม่ พวกเจ้ารอที่นี่ อย่าไปไหนเองคนเดียวเล่า”

“พี่ ข้าไปกับท่านด้วย ไปคนเดียวอันตรายเกินไป” ชิงเป่ยได้ยินนางว่าก็ลุกขึ้นเช่นกัน

หากแต่ชิงอวี่ส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าอยู่นี่เถอะ ปล่อยพวกนางไว้เพียงสองคนอันตรายกว่านัก ข้าจะรีบกลับมา” สิ้นคำนางก็หันหลังเดินจากไปในพริบตา

ชิงเป่ยไม่มีจังหวะเอ่ยค้าน ได้แต่มองเงาร่างนางที่เดินลับตาไป

ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ตั้งแต่ที่เดินทางเข้าหุบเขาพญายมมา เขาก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นจึงเป็นห่วงชิงอวี่ไปด้วย

นัยน์ตางามเยียบเย็นตวัดมองเยี่ยนซีโหรวที่นั่งเศร้าอยู่ เด็กผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญนัก!

อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่กวาดสายตามองพื้นที่ด้านหน้าช้า ๆ กวาดสายตามองประเมินพื้นที่โดยรอบ หุบเขาพญายมพิเศษไม่ธรรมดา เรียกว่าหุบเขาแต่กลับไม่เห็นหินมากเท่าไหร่ มีเพียงพื้นโล่งเท่านั้น ไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณทั้งหลายไปไหนกันหมด

นางตกอยู่ในภวังค์ความคิดตน ทันใดนั้นลมเย็นสายหนึ่งก็พัดผ่านใบหู ร่างเล็กร่างหนึ่งกระโดดผ่านตานางไปต่อหน้าต่อตา มันเคลื่อนที่เร็วมากจนนางมองไม่ชัดว่าเป็นสิ่งใด

อะไรน่ะ? อสูรวิญญาณหรือ?

“เร็วเข้านายหญิง รีบตามมันไป! อย่าให้มันหนีไปได้” จั้งไหมพลันเอ่ยเสียงเย้า

เขาเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบเรื่องน่าสนใจเข้าแล้ว

“หือ?” ชิงอวี่ดูงุนงง “เหตุใดต้องไล่ตาม?”

“เจ้านั่นเพิ่งชิงของจากท่านไป”

ชิงอวี่เผยสีหน้าประหลาดใจ ยามนางเอื้อมมือไปแตะที่เอวตนก็พบว่าถุงที่มียาไล่แมลงของนางหายไป ยาในนั้นทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน

มุมปากนางกระตุกยิก ยานั่นเอาไว้ไล่แมลงนะ? ถึงกลิ่นจะเชิญชวน แต่หากกินไปมั่วซั่วจะทำให้ไม่สบายท้องได้ อสูรวิญญาณตัวน้อยตัวไหนกันที่โชคร้ายตาบอดกล้าชิงยานาง…..

นางไม่สนใจเจ้าตัวน้อยนั่น สายตามองหาอาหารต่อไป ในที่สุดก็พบกับผลไม้สีแดงนับไม่ถ้วนห้อยลงมาจากต้นไม้ทรงแหลมสูง ผลค่อนข้างใหญ่ ดูแล้วคล้ายผลผิงกั่ว (1)

แต่ความสูงระดับนั้น…..

ชิงอวี่ชั่งใจว่านางควรจะปีนขึ้นไปเก็บดีหรือไม่ แต่แล้วลมเย็นอีกสายก็พัดผ่านร่าง ก่อนที่ร่างเล็กที่เคลื่อนที่เร็วดั่งสายฟ้าแลบจะเคลื่อนตัวมาเกือบชนกับนาง แต่นางกระโดดหลบไปด้านข้างได้ทัน

สุดท้ายเจ้าตัวเล็กจึงกระแทกเข้ากับต้นไม้ด้านหลังนางอย่างจังพร้อมกับเสียงตุ้บ เสียงนั้นดังมากจนนางขนลุก

เป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีสีขาวทั้งตัว ตัวอ้วนจ้ำม่ำน่ากอด มีหูแหลมสองข้าง หางคล้ายลูกบอลกลม ดูคล้ายทั้งแมวและกระต่าย

มันคงกำลังมึนงงจากแรงกระแทก เท้าทั้งสี่ของเจ้าตัวเล็กกางชี้ฟ้า ไม่ขยับร่างอยู่นาน

??

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองมัน ลังเลครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหามัน ก่อนที่จะได้เข้าใก้ลมัน หูกลับได้ยินเสียง ‘ปุ๊ด’ ดังขึ้นทำลายความเงียบยามค่ำคืน ตามมาด้วยกลิ่นทำลายประสาทสัมผัสทางจมูกที่ลอยมา

ชิงอวี่ชะงักค้างไปทันที “…..!!?”

เมื่อครู่นางหูฝาดไปหรือไม่? เจ้าหนูนี่….. ผายลมหรือ? อีกทั้ง….. ชิงอวี่ย่นคิ้ว ยกมือเรียวขึ้นบีบจมูกโดยเร็ว

อีกทั้งกลิ่นยังรุนแรงนัก!

เชิงอรรถ

ผิงกั่ว หรือ แอปเปิล