บทที่ 94 กินเนื้อ?

ชิงอวี่เผยใบหน้าสบประมาทมันในพลัน และถอยหลังไปหลายก้าว

เจ้าก้อนสีขาวค่อย ๆ ขยับตัวขึ้น เสียงโอดครวญน้อย ๆ ลอยมา จากนั้นมันก็หันมาทางนาง ดวงตาสีฟ้าที่ราวกับเพิ่งกระจ่างไม่นานของมันมองมายังนางด้วยความเศร้า ใบหน้าของมันดูเหมือนสัตว์ตัวน้อยถูกทอดทิ้ง อุ้งมือน้อยของมันกำลังทำท่าที่ดูแล้วขบขันยิ่งนัก

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น ยืนมองเจ้าตัวเล็กจากมุมสูงกว่า มันดูมีท่าทางไม่พอใจ อุ้งมือทั้งสองอุดอยู่ที่ก้น แต่ถึงกระนั้นเสียงผายลมก็ยังดังไม่หยุดราวกับระเบิดลูกน้อย ทำเอาเจ้าตัวเล็กร่างสั่น

‘ปู๊ดดด’

เห็นท่าทางตลกของมันแล้ว ชิงอวี่ก็กลั้นหัวเราะไม่ไหว มันทำใบหน้าเศร้าโศกโศการาวกับไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ชิงอวี่จึงโยนยาสีดำไปให้มัน “เอ้า นี่เป็นยาถอนพิษ กินเสียแล้วเจ้าจะหายดี”

เจ้าตัวเล็กได้ยินก็ปล่อยมือที่อุดบั้นท้ายตน หยิบยาเม็ดนั้นขึ้นมากินแล้วกลืนให้เอื้อกเดียว

ไม่นาน ความรู้สึกอยากผายลมก็เลือนหายไป

“ครั้งหน้าลองเจ้าชิงของผู้อื่นมากินแบบนี้อีกสิ นี่ล่ะที่เรียกว่ารับผลจากการกระทำตน” ชิงอวี่พูดยิ้ม ๆ ไม่สนว่ามันจะเข้าใจนางหรือไม่ จากนั้นนางจึงตบเท้าดีดตัวขึ้นเก็บผลไม้บนต้น

นางลองดมกลิ่นดู ผลไม้กลิ่นหวานสดชื่นเช่นนี้ส่วนมากย่อมกินได้

เห็นได้ชัดว่าผลไม้พวกนี้อย่างไรก็ไม่อิ่ม หรือนางควรล่าอสูรวิญญาณสักตัวสองตัวไปย่างกินดี? สายตานางพลันเลื่อนไปหาเจ้าตัวเล็กที่กำลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองนาง

ช่างเถอะ เจ้าตัวเล็กนี่คงไม่พอเป็นอาหารให้คนหนึ่งคนด้วยซ้ำ

แต่….. มันก็ดูงดงามดีอยู่เหมือนกัน นัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตดูฉลาดเฉลียว น่ารักน่าชัง ข้าเพิ่งเคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้เป็นครั้งแรก กระต่ายที่ดูไม่เหมือนกระต่าย จิ้งจอกที่ดูไม่เหมือนจิ้งจอก

นางเดินออกไปสองก้าว ลองดูไปโดยรอบว่ามีอสูรวิญญาณอยู่บ้างหรือไม่ พลันสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ที่ด้านหลัง นางหันไป เป็นเจ้าตัวเล็กที่ตามนางมา นางเห็นแล้วจึงหยุดฝีเท้า มันก็หยุดฝีเท้า ทำเพียงเงยหน้าใช้ดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์จ้องมองนาง

ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ “ตามข้ามาทำไม? หิวหรือ?”

นางพูดแล้วก็ยื่นผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาให้มันสองลูก เจ้าตัวเล็กยื่นอุ้งมือน้อยมารับผลไม้ไปกอดไว้ จากนั้นกัดดังกร้วม แล้วเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างเอร็ดอร่อย

หากแต่เมื่อชิงอวี่ยกเท้าคิดจะจากไป มันก็หยุดกิน ถือผลไม้ไว้ในมือแล้วก็ใช้ขาเล็ก ๆ นั่นเดินตามนางมา

ชิงอวี่ไม่รู้จะทำเช่นไร “…..” เจ้าตัวเล็กต้องการอะไรกันแน่?

“กินผลไม้ของเจ้าไปเถอะ อย่าตามข้ามา ข้าไม่ได้มาเพื่อเล่นกับเจ้า กลับไปที่ของเจ้าเสีย ระวังถูกคนอื่นจับกินด้วยเล่า เจ้าตัวเล็กมาก ขนาดซอกฟันของอสูรพวกนั้นยังใหญ่กว่าเจ้า เข้าใจหรือไม่?” ชิงอวี่เอ่ย เลิกคิ้วขึ้นสูง นางพูดไปเน้นคำไป เทศนาเจ้าตัวเล็ก

เจ้าตัวเล็กดูฉลาดนัก ดูท่าว่าจะเข้าใจที่นางพูด เมื่อชิงอวี่พูดจบนางก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปในทันที

“นายหญิง ข้าอดรู้สึกแปลก ๆ กับเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ได้” น้ำเสียงกังขาของจั้งไหมดังขึ้น

เขารู้สึกเหมือนตนเองนึกอะไรบางอย่างไร แต่กลับไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“มีอะไรแปลกหรือ?” ชิงอวี่เอ่ยถามเสียงสบาย

เท่าที่นางเห็น มันเป็นเพียงอสูรวิญญาณที่ดูน่ามองกว่าตัวอื่น ๆ ทั้งยังฉลาดกว่าตัวอื่น ๆ อยู่บ้างเท่านั้น

จั้งไหมครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงค่อย ๆ เอ่ย “ข้าเหมือนรู้สึก….. ถึงกลิ่นอายที่ข้าค่อนข้างคุ้นเคย”

“หืม?” ชิงอวี่ไม่เข้าใจ นางกำลังคิดจะเอ่ยปากถาม หากแต่เสียงแผ่วเบาเจือไปด้วยความเศร้ากลับดังขึ้นที่ด้านหลัง ภายใต้ราตรีอันเงียบสงัด ชิงอวี่ขนลุกซู่ทั่วร่าง เหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลังในพลัน

เมื่อครู่….. เหมือนนางจะได้ยินเสียง?

“ไหมไหม เจ้าได้ยินเสียงเด็กหรือไม่?” ชิงอวี่ถามเสียงเบา โชคดีที่นางมีไหมไหมเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นได้ยินเสียงแบบนั้นตอนดึกสงัดเช่นนี้คงน่าจะน่าขนลุกมากเป็นแน่

หากแต่จั้งไหมกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัยพอกัน “ข้าก็ว่าข้าได้ยินเสียงเด็ก…..”

“ท่านแม่….. ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว….. ฮือ ๆ ๆ…..”

ครั้งนี้ น้ำเสียงนั่นยิ่งครวญครางเศร้าโศก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะร้องไห้ออกมาด้วยความทุกข์ระทม ได้ยินแล้วปวดใจนัก

ชิงอวี่ร่างแข็งค้าง

“นายหญิง….. เหตุใดไม่ลอง….. หันไปมองเล่า?” จั้งไหมเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้ากลัววิญญาณเด็กเป็นที่สุด….. เจ้าอยากให้นายหญิงของเจ้าตกใจจนตายใจหรือไร…..” ชิงอวี่เอ่ย ใบหน้าถอดสี

จุดอ่อนเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนี้ของนาง เรื่องที่นางหวาดกลัวเป็นที่สุด คือวิญญาณเด็กน้อยที่เศร้าโศก เมื่อชีวิตน้อย ๆ ถูกพรากเอาไป กลายเป็นวิญญาณเศร้าโศกกรุ่นไปด้วยไฟแค้น เห็นแล้วปวดใจมาก

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวิญญาณเด็ก? เป็นเด็กหลงเฉย ๆ ไม่ได้หรือ?” จั้งไหมโต้

ชิงอวี่กลอกตา “เด็กตระกูลธรรมดาที่ใดจะมาเล่นในสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้? เจ้าโง่หรือเจ้าบื้อ?”

พูดจบนางก็สูดหายใจเข้าลึก อย่าหันไป อย่าไปมอง อย่าไปฟัง

“ท่านแม่….. อย่าทิ้ง โร่วโร่ว…..”

บางอย่างนุ่ม ๆ อ้วน ๆ กระโดดหมับเข้าที่ข้อเท้า หยุดยั้งฝีเท้านางไว้

ชิงอวี่ร่างเซทันที นางก้มลงไปมอง พบเจ้าอสูรอ้วนกลมกำลังกอดขานางแน่น ร่างเล็กของมันสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับกำลังสะอื้นไห้

เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบสนอง มันก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ไม่นานมันก็ไหลออกมานองหน้า ใบหน้าน้อยน่ารักร่ำไห้หนักนักจนคล้ายกับว่ามันจะสลบไปได้ทุกเมื่อ ปากเล็กของมากเผยอออก เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเล็ก มันร้องครวญออกมาเสียงน่าสงสาร “ท่านแม่….. โร่วโร่วไม่ตะกละแล้ว….. อย่าทิ้งโร่วโร่ว…..”

ชิงอวี่ชะงักค้างไป สีหน้าว่างเปล่า ไม่อาจหลุดออกจากภวังค์ความตกใจได้

ชิงอวี่เอ่ยในใจ “ไหมไหม เจ้าเห็นหรือไม่….. เจ้าตัวเล็กนี่พูดได้ด้วย…..”

“ข้าเห็นแล้ว…..” จั้งไหมตอบ สีหน้าแข็งค้างไป มันพูดได้หรือไม่ตอนนี้ไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือ…..

“นายหญิง มันเรียกท่านว่าท่านแม่….. ท่านไปมี….. เจ้าตัวเล็กนี่กับใคร?”

“มีเจ้าอ้วนนี่กับบ้านเจ้าสิ!” ชิงอวี่เค้นเสียงลอดไรฟัน

อาจเพราะเมื่อครู่นางตกใจมาก ไม่อาจรับมือกับสถานการณ์ได้ ความโกรธเกรี้ยวของชิงอวี่จึงพลุ่งพล่าน ที่สุดก็คำรามเสียงดังออกมา

เจ้าตัวเล็กที่เกาะขานางยังคงตัวสั่นร่ำไห้ไม่หยุด มันสะดุ้งสุดตัวก่อนทำปากยื่น หน้าตาคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส “โร่วโร่วไม่อ้วน…..”

ถึงมันจะดูอวบ แต่มันก็ไม่ได้อ้วน

เมื่อได้ยินมันเรียกตนเองว่าโร่วโร่วหลายครั้ง ชิงอวี่จึงตวัดสายตามองมัน ก่อนจะคว้าหลังคอมันขึ้นมาจากพื้น ยกตัวมันขึ้นในระดับสายตาแล้วจ้องตามันนิ่ง “เจ้าโร่วโร่วบ้านี่มันอะไรกัน?”

“โร่วโร่วไม่ใช่เจ้าบ้า โร่วโร่วคือข้า…..” ดวงตาสีน้ำเงินของมันกะพริบหลายทีอย่างใสซื่อ

“เจ้าชื่อโร่วโร่วหรือ?” ชิงอวี่ชะงักไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดังจนหายใจแทบไม่ทัน “พรื่ด ฮ่า ๆ….. ใครหนอช่างคิด ตั้งชื่อให้เจ้าเช่นนี้ได้….. ไร้รสนิยมสิ้นดี…..” (1)

แต่หลังจากชิงอวี่คว้าคอมันขึ้นมาก็สัมผัสได้ว่าภายนอกมันดูอ้วนกลม แต่แท้จริงแล้วเพราะขนนุ่มฟูของมันจึงทำให้กลายเป็นเหมือนหิมะก้อนหนึ่ง แท้จริงแล้วตัวมันเบาหวิวยิ่ง หนักไม่ถึงสองตำลึงด้วยซ้ำ

เจ้าตัวเล็กฉลาดนัก รู้ว่าชิงอวี่กำลังหัวเราะมัน ดังนั้นจึงใช้อุ้งเท้าหน้าสะบัดไปมาสองที จากนั้นใช้เสียงเล็กเอ่ยขึ้น “เพราะโร่วโร่วชอบกินเนื้อ อยากกินเนื้อทุกวัน ท่านแม่เลยตั้งชื่อให้โร่วโร่วว่าโร่วโร่ว ท่านแม่ลืมไปแล้วหรือ…..”

“ข้า?” ชิงอวี่ประหลาดใจ ชี้นิ้วใส่จมูกตนเอง “เจ้าตัวเล็ก จำข้าผิดกับคนอื่นแล้ว! ข้าไม่รู้จักเจ้า!”

นางเอ่ยแล้วก็ปล่อยเจ้าตัวเล็กลงพื้น จากนั้นจึงพูดขึ้นหน้าขรึม “ข้าเตือนเจ้า อย่าตามข้าอีก ข้าไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้า หากเจ้ายังตามตื๊อข้าไม่เลิก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนเจ้าเข้ารังอสูรวิญญาณตัวอื่น ให้มันกินเจ้าเสียเลย?”

“ไม่เชื่อ” เจ้าตัวเล็กส่ายหัว แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน “ท่านแม่เคยแกล้งโร่วโร่วเช่นนี้มาก่อน แต่สุดท้ายพอพวกมันเห็นโร่วโร่วก็วิ่งหนีกันไปหมด”

“หือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว คิดตามแล้วน่าขัน “เจ้าตัวเล็กอย่างเจ้ากล้าโอ้อวดเช่นนี้เลยหรือ?”

“โร่วโร่วไม่ได้โอ้อวด” โร่วโร่วเอ่ยแล้วบยู่ปาก ทำท่าราวกับจะเอ่ยโต้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของท่านแม่แล้ว มันก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด ได้แต่ปิดปากเงียบ

ชิงอวี่ไม่คิดต่อปากต่อคำกับเจ้าตัวเล็ก นางออกมาสักพักแล้ว หากยังไม่รีบกลับไปเสี่ยวเป่ยต้องเป็นห่วงแน่

“ท่านแม่! รอโร่วโร่ว…..”

ร่างเบื้องหน้าชะงักไปในพลัน ส่วนเจ้าตัวเล็กก็เกือบพุ่งชนนาง

“ข้าบอกว่าอย่าตามมาอย่างไร” ชิงอวี่ขมับเต้นตุบ ๆ คล้ายกับกำลังพยายามกดความโกรธไม่ให้ระเบิดออกมา “หากเจ้ายังตามมาอีก ข้าจะจับเจ้าย่างกินเสียเลย”

นางยังหาอาหารได้ไม่มาก!

โร่วโร่วพลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างตุ้ยนุ้ยของมัน จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ โร่วโร่วช่วยหาอาหารได้ ….. ท่านแม่พาโร่วโร่วไปด้วย…..”

น้ำเสียงที่ดังมาทั้งนุ่มนวลและเชื่อฟัง นัยน์ตาสีฟ้าของมันจ้องเขม็งมายังนางไม่กะพริบ เต็มไปด้วยความระแวดระวังและความน่ารักขั้นสุด

มันดูใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก ราวกับเหลือบมองเพียงครั้งก็สามารถรู้ได้ว่ามันกำลังคิดสิ่งใดอยู่

ชิงอวี่พลันใจอ่อนยวบ “ข้าไม่ใช่ท่านแม่เจ้า…..”

“ท่านคือท่านแม่ โร่วโร่วจำกลิ่นท่านแม่ได้ ยาที่ท่านแม่ปรุงอร่อยที่สุด…..”

สวรรค์โปรด! เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักเหลือคณา นางเริ่มกังวลว่าหากมันไปพบคนไม่ดีเข้า จะถูกหลอกลวงจนถูกย่างกินหรือไม่?

ชิงอวี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงยื่นแขนออกไปก่อนเอ่ย “มานี่ ข้าจะอุ้มเจ้าเอง”

ร่างน้อยของโร่วโร่วสั่นเทิ้มด้วยความดีใจ ดวงตางดงามของมันเริ่มชื้นแฉะ ราวกับน้ำตาจะหยดลงมาได้ทุกเมื่อ ชิงอวี่ย่นคิ้วแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “หากร้องไห้ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่…..”

นางพูดจบมันก็รีบพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนนางดั่งลมหอบหนึ่ง ร่างนุ่มอุ่นของมันนั่งอย่างว่าง่าย ไม่ขยับแม้แต่น้อย อุ้มมือน้อยเกาะเสื้อนางไว้แน่นราวกับกลัวจะถูกทิ้ง

ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวเจ้าตัวเล็กแล้วเดินกลับ โร่วโร่วในอ้อมแขนนางปิดเปลือกตาด้วยความผ่อนคลาย บนใบหน้าคือความสุขยิ่ง “ท่านแม่ ในที่สุดโร่วโร่วก็หาท่านพบ…..”

ลมกลางคืนพัดผ่าน มาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวแผ่วเบา

ที่อีกด้าน ชิงเป่ยนั่งนับเวลาในใจ เมื่อยังไม่เห็นว่าชิงอวี่ยังไม่กลับมาก็อดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืน คิดจะออกตามหานาง แต่เยี่ยนซีโหรวที่ไม่กล้าพูดกลับเห็นท่าทางของเขาแล้วเอ่ยถามขึ้นในพลัน “เจ้าจะไปไหน?”

ชิงเป่ยรู้สึกรำคาญนางยิ่งนัก ตอนนี้ยิ่งไม่อยากใส่ใจนาง หากแต่ทันใดนั้นนัยน์ตาเยี่ยนซีโหรวก็เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว “นั่น….. ตัวอะไรน่ะ?”

เชิงอรรถ

โร่วโร่ว แปลว่า ก้อนเนื้อ