บทที่ 115 ของขวัญ

บทที่ 115 ของขวัญ

“อู๋… อู๋ฝาน นายพอจะให้ช่องทางติดต่อไว้ได้ไหม?” อู๋ฝานและถังอวี่เฟยที่กำลังจะออกจากร้าน พบว่าเจ้าเซียวถิงไล่ตามมา

แม้ว่าเจ้าเซียวถิงเผยท่าทีค่อนข้างอับอาย แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความหวัง

ภายหลังจบการศึกษาและเข้าสู่สังคม เธอก็ได้ตระหนักถึงความโหดร้ายของสังคม ว่ามันเกินกว่าที่จินตนาการไว้สมัยยังเรียนอยู่ คนเช่นเธอที่ไร้ซึ่งการศึกษาที่ดี ไร้ซึ่งเบื้องพลัง จึงยากที่จะดำเนินชีวิต ขณะนี้พบเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนก้าวหน้าด้วยดี เธอจึงคิดอยากเกาะต้นขาเอาไว้เสียให้แน่น

กระทั่งว่ามีราคาที่ต้องจ่าย เจ้าเซียวถิงก็มองว่าสามารถยอมรับได้

อู๋ฝานลังเลเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง นับว่าไม่ดีตั้งแต่สมัยยังเรียน ภายหลังจบการศึกษาไม่เคยติดต่อหากันอีก และภายหน้าเขาก็ไม่คิดอยากติดต่ออะไรกับเจ้าเซียวถิง ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องมอบช่องทางติดต่อให้ไว้

“อู๋ฝาน ฉันรู้ดีว่าตอนยังเรียนฉันทำผิดเอาไว้ ตอนนั้นเพราะไร้เหตุผลและไม่รู้ความ ผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเรื่องราวเล็กน้อย ยกโทษให้ฉันด้วย พวกเราต่างก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนต่อกัน ขณะนี้กำลังหาทางเติบโตอยู่อาศัยในเจียงโจว หากว่าแลกช่องทางติดต่อกันเอาไว้ ภายหน้าอยากติดต่อจะได้สะดวก” เจ้าเซียวถิงมองอู๋ฝานอย่างเว้าวอนร้องขอ

แม้ว่าชวนอับอายไปบ้าง เพียงแต่เจ้าเซียวถิงทราบดีว่าต่อหน้าเงินทอง เส้นสาย และความสัมพันธ์ ศักดิ์ศรีเป็นอะไรที่เล็กจ้อย

“ก็ได้” อู๋ฝานไม่อาจหาทางปฏิเสธ

แม้เจ้าเซียวถิงไม่ใช่คนดีเด่นอะไร และวิธีการพูดจาไม่ค่อยน่ารับฟัง แต่ระหว่างคนทั้งสอง มันไม่ได้มีความเกลียดแค้นฝังลึกใดต่อกัน ดังนั้นจึงไม่ถึงขนาดว่าแม้ช่องทางติดต่อก็ไม่อาจแลกต่อกันเอาไว้

แน่นอนว่าต่อให้เขาแลกช่องทางติดต่อเอาไว้ ก็ไม่คิดว่าจะติดต่ออะไรกับอีกฝ่าย

ขณะอู๋ฝานตอบตกลง เจ้าเซียวถิงแสดงอาการยินดี ชั่วขณะจึงบันทึกเบอร์โทรศัพท์มือถือของอู๋ฝานเอาไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง

ภายหลังจากนั้น เธอจึงบอกลาอู๋ฝานและถังอวี่เฟยด้วยท่าทีนอบน้อมสุภาพ

“เพื่อนร่วมชั้นของคุณ ดูสนใจอำนาจพอสมควรนะคะ” ภายหลังออกพ้นจากร้าน ถังอวี่เฟยจึงบอกกับอู๋งาน

“ก็นะครับ” อู๋ฝานไม่คิดปฏิเสธ มีหรือเขาไม่พบเห็นเจตนาของอีกฝ่าย เจ้าเซียวถิงเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมย่อมได้ทราบแล้ว อู๋ฝานเองก็เคยประสบกับช่วงเวลาอันยากลำบาก ดังนั้นจึงเข้าใจการกระทำของเจ้าเซียวถิง

“ระหว่างคุณกับเธอ มีสัมพันธ์อะไรต่อกันที่พิเศษหรือเปล่าคะ?” ถังอวี่เฟยเอ่ยถาม

“จะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “ตอนพวกเรายังเรียน เรียกว่าพวกเรามีเรื่องไม่ลงรอยกันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นสัมพันธ์พิเศษอะไรที่คุณพูดถึงจึงไม่มีทางมีได้”

“เอาละครับ การแสดงก็จบลงแล้ว ตอนนี้ปล่อยมือได้หรือยังครับ?” อู๋ฝานพูดพลางมองถังอวี่เฟยที่ยังคงจับมือของเขาเอาไว้แน่น

“ฉันจับมือเอาไว้ ดูเป็นการลวนลามหรือคะ?” ถังอวี่เฟยเหม่อมองอู๋ฝาน ทว่าก็ปล่อยมือตามคำขอ “ข้ามแม่น้ำแล้วจึงทำลายสะพานทิ้ง ฉันช่วยคุณเอาไว้นะ ตอนนี้ดูเหมือนฉันเป็นคนผิดเสียอย่างนั้น”

“ขอบคุณครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

แม้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายขอ แต่ถังอวี่เฟยก็ช่วยเขาเอาไว้จริง อู๋ฝานย่อมตอบรับความเอื้อเฟื้อนี้

“ยินดีค่ะ” ถังอวี่เฟยหรี่ดวงตาเล็กลงพลางยิ้ม “อาจารย์อู๋ บอกตามตรง มีแฟนอย่างฉันไม่คิดจะอวดโอ่อะไรบ้างเลยเหรอคะ?”

อู๋ฝานนึกคิดถึงสายตาริษยาของบรรดาผู้คนในร้านเสื้อผ้า รวมถึงร้านนาฬิกา เพราะพวกเขาเข้าใจผิด ว่าตัวเขาและถังอวี่เฟยเป็นแฟนกัน ขณะนี้จึงพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง “ก็ช่วยรักษาหน้าเอาไว้ได้ดีเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ลองเปลี่ยนจากบทละครเป็นของจริงดูไหมคะ?” ถังอวี่เฟยยังคงยิ้มดูมีเลศนัยชวนอันตราย ประหนึ่งจิ้งจอกสาวพบเจอเหยื่อตัวน้อย “ขอเพียงคุณต้องการ ฉันก็ไม่ปฏิเสธค่ะ”

อู๋ฝานมองถังอวี่เฟยที่กำลังเผยท่าทียั่วยวนในระยะใกล้ หัวใจของเขาถึงกับต้องเต้นผิดจังหวะไป จนเร่งร้อนตอบกลับ “อย่าล้อผมเล่นเลย”

“เอาอะไรมาล้อเล่นกันล่ะคะ? บางที ฉันก็จริงจังเป็นนะคะ” ถังอวี่เฟยตอบกลับ

สายตารุกไล่ของถังอวี่เฟยพยายามครอบงำอู๋ฝาน ดังนั้นเขาจึงร้อนรนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พวกเราควรกลับนะครับ”

เพียงจบคำ โดยไม่รอถังอวี่เฟยตอบรับ เขาก็เดินนำหน้าจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว

“ขี้ขลาดเสียจริง” ถังอวี่เฟยมองตามแผ่นหลังของอู๋ฝานพลางพึมพำเสียงเบา “แต่ว่านะ ยิ่งเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งสนุกน่ะสิ”

ที่ประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยเจียงโจว ทันทีที่รถหยุดจอด อู๋ฝานก็แทบไม่อาจรอที่จะได้ออกจากรถ ราวกับเขากำลังหลบเลี่ยงหายนะจากในรถก็ไม่ปาน

“เดี๋ยวค่ะ!” ถังอวี่เฟยเรียกอู๋ฝานเอาไว้ “ฉันน่ากลัวอะไรขนาดนั้นกันคะ? อะไรทำให้คุณต้องเร่งร้อนเผ่นหนีกัน?”

“ไม่ครับ แต่ผมมีธุระอื่นต้องไปทำ” อู๋ฝานตอบกลับ

“รับเอาไว้ค่ะ” ถังอวี่เฟยโยนกล่องใบหนึ่งให้อู๋ฝานโดยไม่ไถ่ถาม “วันนี้ขอบคุณที่ไปช็อปปิ้งด้วยกันค่ะ อันนี้ฉันให้เป็นของขวัญ”

“ไม่ครับ ผมรับไว้ไม่ได้” อู๋ฝานปฏิเสธ

เขารู้จักกล่องใบนี้ มันเป็นกล่องที่มีนาฬิกาข้อมือชายมูลค่าแปดแสน ที่ถังอวี่เฟยเพิ่งซื้อจากร้านนาฬิกา ตอนแรกอู๋ฝานนึกคิดว่าถังอวี่เฟยจะซื้อไปเป็นของขวัญให้เพื่อนหรืออะไรทำนองนั้น หาได้คาดคิดไม่ ว่าแท้จริงเธอจะมอบให้ตัวเขาเสียเอง

“ข้างถนนมีถังขยะอยู่ค่ะ ถ้าหากไม่ต้องการ ก็ขอให้ทิ้งไป ของที่ฉันให้ไปแล้วไม่ขอรับกลับคืนนะคะ” ถังอวี่เฟยพูดจบ เธอจึงขยับกระจกรถกลับขึ้นและขับรถไป

อู๋ฝานมองยังนาฬิกา พร้อมกับมองยังทิศทางที่ถังอวี่เฟยจากไป ถัดจากนั้นจึงมองถังขยะที่อยู่ไม่ไกล เพียงแต่สุดท้ายตัวเขาก็ไม่อาจโยนมันทิ้งลงได้

“เศรษฐีตัวจริงไม่ผิดแน่ โยนของราคาหลายแสนเหมือนไม่มีอะไรเสียอย่างนั้น” อู๋ฝานพึมพำ “เก็บเอาไว้ก่อนแล้วกัน ภายหลังมีโอกาสค่อยคืนให้”

หลังแยกจากถังอวี่เฟย อู๋ฝานจึงเรียกแท็กซี่ มุ่งหน้าเดินทางไปสมาคมยิงธนูซิงเยวี่ย เพื่อฝึกฝนการใช้คันธนูและลูกธนูอยู่สองชั่วโมง ถัดจากนั้นจึงกลับมาซื้อวัตถุดิบ และเริ่มเสียบไม้บาร์บีคิว

ก่อนจะถึงกำหนดชำระเงิน อู๋ฝานจะยังคงทำกิจการขายบาร์บีคิวต่อไป

ในช่วงเย็น ตอนที่อู๋ฝานและหลิวอี้เตามุ่งหน้าไปตั้งร้านแผงลอยพร้อมสัมภาระ พวกเขากลับต้องประหลาดใจ ที่เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวใกล้เคียงยังไม่มีใครมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พวกเขามักมาตั้งร้านก่อนอู๋ฝานอยู่ทุกวันเสียด้วยซ้ำ

เพียงแต่อู๋ฝานไม่คิดเก็บเรื่องราวมาใส่ใจ ตัวเขาเพียงทำกิจการของตนเองต่อ ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น และไม่คิดใส่ใจแต่อย่างใด

ไม่ช้าจนกระทั่งภายหลังช่วงสองทุ่ม ตอนที่พวกพี่หนิวมาส่งเสียงในถนนสายนี้ อู๋ฝานจึงได้ตระหนักว่าที่บรรดาเถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวไม่มาวันนี้เป็นเพราะอะไร เพียงแต่พวกเขาไม่มาคงไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ แต่วันหน้านับจากนี้ก็คงไม่มาด้วยเช่นกัน

“ตัวบัดซบพวกนี้หนีเร็วเสียจริง ครั้งหน้าอย่านึกนะว่าจะหนีรอดพ้นไปได้ จะเรียกค่าเสียหายเป็นเงินและตักตวงกำไรให้เข็ดเลยคอยดู” พี่หนิวสบถออกมาอย่างโกรธเคือง

เดิมทีนั้น บรรดาเถ้าแก่รับปากว่าคืนนี้จะจ่ายเงินให้กับพี่หนิว และพี่หนิวก็ตอบรับ แต่หาได้นึกคิดไม่ ว่าบรรดาเถ้าแก่จะหนีหายอย่างกะทันหัน แทนที่จะตั้งร้านแผงลอยกันที่นี่ พวกเขาคงเปลี่ยนสถานที่กันเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะตามไปทวงให้ชำระเงินภายหลังมัดจำ และค่าเสียหายจากการบาดเจ็บระหว่างทำงาน ขณะที่บรรดาเถ้าแก่ย้ายไปที่ใดก็ไม่ทราบ เขาจึงทำได้เพียงสบถคำออกมา เพราะทราบดีว่ามันไม่มีหนทางไล่ตาม

อู๋ฝานไม่คิดว่าบรรดาเถ้าแก่จะเผ่นหนีไปอย่างนี้ เพียงแต่ภายหลังครุ่นคิดให้ดีก็คล้ายว่ามันก็ไม่ได้แปลกถึงขนาดนั้น