ตอนที่ 108 บอสตัวน้อยที่ครอบงำ

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 108 บอสตัวน้อยที่ครอบงำ

หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย มู่เถาเยา หวังหมิ่นชิ่น เซียวเซียว และหมิ่นชีสยาก็ขึ้นรถของมหาวิทยาลัยไปลงที่ประตูหน้าใหญ่ จากนั้นก็ต่อแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลที่พวกเธอเพิ่งไปมาเมื่อช่วงเที่ยง

หลังลงจากแท็กซี่ สาวๆ ก็เลือกเข้าร้านอาหารเบาๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กินเสร็จถึงค่อยมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาล

“พี่สาว”

ลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาดเล็กพุ่งเข้าหาพวกเธอ

หวังหมิ่นชิ่นย่อตัวลงและอ้าแขนออก เตรียมรอให้ญาติตัวน้อยที่แสนน่ารักของเธอกระโดดเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

คนตัวเล็กกระโดดเกาะแหมะที่ขาของมู่เถาเยา

หวังหมิ่นชิ่น “…” อ้อมกอดเงียบเหงา!

“ปู้อวี๋ พี่สาวอยู่ตรงนี้ ทำไมเธอถึงจำคนผิดได้ล่ะ เราไม่ได้ไม่เจอกันนานขนาดนั้นไหม”

ลั่วปู้อวี๋พูดแบบเด็กๆ ว่า “พี่สาว ปู้อวี๋จำไม่ผิด นี่คือพี่สาวเยาเยา” พี่สาวที่แข็งแกร่งที่สุดแม้แต่สุนัขดุตัวใหญ่ยังกลัว!

มู่เถาเยายิ้มและลูบหัวน้อยๆ ของเขา

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นและเรียกเธออย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาว พี่สาว พี่สาว…”

หวังหมิ่นชิ่น “…เสี่ยวเยาเยา เธอรู้จักกับลั่วปู้อวี๋ลูกพี่ลูกน้องของฉันด้วยเหรอ”

“รู้จักสิ”

หวังหมิ่นชิ่น “…” ทำไมถึงได้รู้สึกว่าโลกนี้มันแฟนตาซีขึ้นทุกที

เธอไม่ได้รู้เรื่องที่ญาติตัวน้อยของเธอหายไปตลอดสองวันหนึ่งคืนเพราะผู้ใหญ่ในครอบครัวเธอปิดบังเอาไว้

ส่วนคนที่เหลือของตระกูลหวัง พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่ช่วยชีวิตลั่วปู้อวี๋แท้จริงแล้วคือมู่เถาเยา

เนื่องจากคำร้องขอของมู่เถาเยา สถานีตำรวจบางแห่งจึงได้ทำการปิดบังความดีความชอบและข้อมูลทั้งหมดของเธอเอาไว้

ส่วนเด็กที่ถูกลักพาตัวไปทั้งหมด พวกเขามีอายุเพียงแค่สามหรือสี่ขวบเท่านั้น ไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นนอกจากพ่อแม่ของเด็กทั้งสี่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามู่เถาเยาได้เคยทำอะไรเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงกลุ่มหนึ่งในเมืองเย่ว์ตู ถูกไล่ออกเพราะมู่เถาเยาเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับการลักพาตัวและการค้าประเวณีผู้หญิงและเด็ก โดยหัวหอกของคนกลุ่มนี้คือหลินเฮ่าหมิง นักธุรกิจใหญ่ใจบุญจอมปลอมที่ฉากหน้าเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนไปทั่ว

หวังหมิ่นชิ่นรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักไซ้ไล่ถามมู่เถาเยาเกี่ยวกับความเป็นไปที่เธอรู้จักกับลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของเธอ ดังนั้นหลังจากอึ้งไปชั่วครู่ เธอก็ฟื้นคืนสติกลับมา

“พ่อคะ ไม่ใช่พ่อเพิ่งบอกหนูว่าน้ากับน้าสะใภ้ก็มาเยี่ยมแม่ด้วยเหรอ ทำไมถึงเห็นแต่ปู้อวี๋ล่ะ”

“น้ากับน้าสะใภ้ของลูกออกไปซื้ออาหารเย็นให้พวกเรา”

“อ้อ…ถ้างั้นหลังกินข้าวเสร็จแล้ว พ่อไปส่งปู่ย่า ตากับยายกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

“อืม หลังกินข้าวเสร็จพ่อจะไปพาปู่ย่าตายายของลูกกลับบ้าน หลังอาบน้ำเสร็จค่อยกลับมานอนเฝ้าแม่ลูกที่โรงพยาบาล แม่ของลูกยังต้องนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาลอีกอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์”

“พ่อคะ เดี๋ยวหนูขอลาหยุดสักสองสามวัน จะได้มาเปลี่ยนเวรกับพ่อ”

พ่อหวังลูบหัวลูกสาวของเขาแล้วพูดว่า “ชิ่นชิ่น พ่อรู้ว่าลูกเป็นเด็กดีและกตัญญู แต่ครอบครัวเรามีคนเพียงพอ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องการให้ลูกช่วย หน้าที่ของลูกในตอนนี้คือตั้งใจเรียน”

คุณปู่หวังยังกล่าวอีกว่า “ชิ่นชิ่น เชื่อฟังพ่อของหลาน ตอนกลางวัน ปู่ย่า ตาและยายของหลานจะสลับมาเฝ้าแม่หลานที่โรงพยาบาลเอง ส่วนตอนกลางคืน พ่อของหลานก็อยู่ที่นี่แล้ว หลานกลับไปตั้งใจเรียนเถอะ อย่าลาหยุดเลย”

ผู้สูงอายุอีกหลายคนช่วยกันเกลี้ยกล่อมเช่นกัน

มู่เถาเยาหยิบขวดหยกสีขาวออกมาจากกล่องยาขนาดเล็กและส่งให้หวังหมิ่นชิ่น “ชิ่นชิ่น หลังผ่าตัดลำไส้หมอต้องสั่งงดน้ำและอาหารคนไข้อย่างแน่นอน ดังนั้นทางเดียวที่จะรับสารอาหารได้คือผ่านเข็มและสายน้ำเกลือ นี่คือเม็ดยาเสริมธาตุที่ฉันหลอมขึ้นเอง มันไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ยังมีฤทธิ์เร่งให้แผลสมานเร็วขึ้นด้วย”

หวังหมิ่นชิ่นรับมันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “ขอบคุณนะเสี่ยวเยาเยา ฉันจะใช้สิ่งนี้ได้ยังไง”

“สามารถใช้มันซ้อนทับกับเข็มโภชนาการของโรงพยาบาลได้ แค่กินหนึ่งเม็ดก่อนเข้านอน เม็ดยาจะละลายในปากทันทีและไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำตาม”

“ได้ๆๆ ขอบคุณนะเสี่ยวเยาเยา”

หวังหมิ่นชิ่นใช้มือทั้งสองข้างจับขวดหยกขนาดเล็กเอาไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า ดวงตากลมโตของเธอโค้งงอเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเล็กๆ ที่สวยงาม

พ่อหวังอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักที่จะพูดมันต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นของลูกสาว อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มีเจตนาดี ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขยิบตาส่งซิกให้ลูกสาวของเขา

หวังหมิ่นชิ่นมองไปที่มู่เถาเยาอย่างกังวลใจ

มู่เถาเยายิ้มและพยักหน้าเบาๆ

ไม่มีคนปกติที่ไหนจะเชื่อถือยาที่เด็กสาวตัวเล็กๆ หลอมขึ้นเองหรอก

ปฏิกิริยาของพ่อหวังเป็นไปตามที่เธอคาดเดาเอาไว้

หลังจากได้รับการอนุมัติ หวังหมิ่นชิ่นก็ดึงพ่อของเธอออกไป หัวเล็กๆ มองไปรอบๆ อีกครั้ง หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนเธอก็เขย่งปลายเท้าขึ้นกระซิบบอกพ่อของเธอ

พ่อหวังหันขวับไปมองมู่เถาเยาที่กำลังเล่นกับลั่วปู้อวี๋อย่างไม่เชื่อสายตา

“เสี่ยว…เอ๊ะ…เสี่ยวเถาเยา!”

ลั่วอันและซย่าซือเหมี่ยวกลับมาพร้อมกับอาหาร เมื่อพวกเขาเห็นมู่เถาเยาทั้งสองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

มู่เถาเยาพยักหน้าตอบกลับเป็นการทักทาย “คุณลั่ว คุณนายลั่ว”

“เสี่ยวเถาเยา ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ล่ะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ พอดีฉันกับเพื่อนร่วมชั้นสองคนตามชิ่นชิ่นมาเยี่ยมคุณป้า”

เซียวเซียวและหมิ่นชีสยาเองก็ทักทายตามมู่เถาเยา “คุณลั่ว คุณนายลั่ว”

ลั่วอัน “สวัสดีเพื่อนร่วมชั้นทั้งสองคน ขอบคุณนะที่พาชิ่นชิ่นมาหาแม่ของเธอ”

“คุณลั่วสุภาพเกินไปแล้วค่ะ”

“พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของชิ่นชิ่น ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองขนาดนั้น เรียกฉันว่าน้าเหมือนที่ชิ่นชิ่นเรียกก็ได้” เหตุผลหลักคือเขาต้องการใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณตัวน้อยของเขา

เซียวเซียวและหมิ่นชีสยา “คุณน้า”

ลั่วอันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เถาเยาอย่างรอคอย

“…คุณน้า”

“เยี่ยม ฮ่าๆ …” ลั่วอันมีความสุขมากจนต้องหัวเราะออกมา

ซย่าซือเหมี่ยวก็หัวเราะเช่นกัน

ทั้งตระกูลหวังและผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลลั่วมองไปที่คู่รักลั่วอันด้วยสีหน้างงงวย

หวังหมิ่นชิ่นถามอย่างสงสัยว่า “น้าคะ ทำไมน้าถึงรู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นของหนูด้วยล่ะ”

ลั่วอันมองไปที่มู่เถาเยา จากนั้นก็มองไปที่ลูกชายของเขาและพูดว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ พี่เขยครับ พี่สาวผมเธอตื่นหรือยัง” ผู้มีพระคุณตัวน้อยไม่ชอบเรื่องเอิกเกริก ดังนั้นหากไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ เขาก็ไม่อาจพูดออกไปได้

“ยังเลย”

“งั้นเรามากินข้าวกันก่อนเถอะ ชิ่นชิ่น พวกเธอกินข้าวเย็นกันหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวน้าไปซื้อมาเพิ่มให้”

หวังหมิ่นชิ่น “พวกเรากินกันเรียบร้อยแล้วค่ะน้า”

มู่เถาเยา เซียวเซียว และหมิ่นชีสยาทุกคนพยักหน้า

ซย่าซือเหมี่ยวเรียกลั่วปู้อวี๋ลูกชายของเธอที่เอาแต่เกาะขามู่เถาเยาไม่ยอมปล่อยให้ไปกินข้าวเย็น

คนตัวเล็กเปลี่ยนจากการกอดขาไปเป็นจับมือแทน “พี่สาว กินข้าว”

มู่เถาเยาลูบหัวนุ่มฟูของเขาแล้วพูดว่า “พี่สาวกินแล้วครับ หนูไปกินข้าวกับพ่อกับแม่ก่อนนะ”

ซย่าซือเหมี่ยวเดินเข้ามาจูงมือเขา

แต่คนตัวเล็กคว้ามู่เถาเยาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

หวังหมิ่นชิ่นมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกขมขื่นในใจ

“ปู้อวี๋ พี่สาวแท้ๆ ของเธอยังอยู่ตรงนี้นะ!”

ลั่วปู้อวี๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ลูกพี่ลูกน้อง”

“เมื่อก่อนเธอเคยเรียกพี่ว่าพี่สาว!”

“ลูกพี่ลูกน้อง”

ถ้าเป็นก่อนที่เขาจะได้รู้จักกับพี่สาวเยาเยา เขาก็คงเรียกมันอยู่

แต่ตอนนี้เขามี ‘พี่สาว’ คนเดียว!

หวังหมิ่นชิ่นยกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของเธอ สีหน้าเหมือนคนได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง

เซียวเซียวและหมิ่นชีสยาหัวเราะร่วน

มู่เถาเยาก็เม้มริมฝีปากเช่นกัน

คนตระกูลหวังและผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลลั่วค่อนข้างประหลาดใจมากกับความใกล้ชิดระหว่างปู้อวี๋และมู่เถาเยา

เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้ อย่ามองว่าภายนอกเขาทำตัวสุภาพเรียบร้อย แต่อันที่จริงเขาเว้นระยะห่างกับคนภายนอกมาก

แต่เมื่อพวกเขามองไปที่สองสามีภรรยาและเห็นรอยยิ้มยินดีบนใบหน้าของทั้งคู่ พวกเขาก็รู้ว่าทั้งลั่วอันและซย่าซือเหมี่ยวยินดีที่จะได้เห็นภาพนี้

“เสี่ยวปู้อวี๋ หนูไปกินข้าวกับคุณแม่ก่อนนะครับ เด็กๆ จะปล่อยให้ท้องหิวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหนูจะไม่สูงนะ”

เด็กชายตัวเล็กยืดหน้าอกเล็กๆ ของเขาขึ้นและพูดเสียงดังว่า “ปู้อวี๋จะตัวสูงขึ้นและแข็งแรง! ปู้อวี๋จะต่อสู้กับสุนัขตัวโตที่ดุร้ายและปกป้องพี่สาว จยาเย่ว์ เจียวหยาง และก็หลิ่นหรานด้วย”

“โอเคครับ ถ้างั้นปู้อวี๋ต้องกินข้าวเยอะๆ นะหนูจะได้ตัวสูงขึ้นและแข็งแรง”

ร่างเล็กๆ พยักหน้าหงึกหงัก เริ่มคลายมือจากมู่เถาเยาแล้วเดินไปจูงมือแม่ของเขา

ลั่วอัน “ชิ่นชิ่น หลานไปเฝ้าแม่ของหลานก่อน หลังกินข้าวที่โรงอาหารเสร็จแล้วเราจะกลับมา”

“ได้ค่ะ”

พ่อหวังมองไปที่มู่เถาเยาที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกสาวของเขาอย่างว่าง่าย มือสากกำขวดหยกขนาดเล็กไว้ในมือแน่นแล้วเดินตามหลังทุกคนไปที่โรงอาหาร

หลังจากมาถึงโรงอาหารและทุกคนนั่งลงแล้ว พ่อหวังก็ยังไม่ยอมละมือจากขวดหยก เขาใช้มือข้างหนึ่งจับตะเกียบและอีกข้างกำขวดหยกเอาไว้

ลั่วอัน “พี่เขย พี่ถืออะไรอยู่ในมือน่ะ ทำไมไม่วางมันลงก่อนล่ะ กินข้าวก่อนสิพี่”

“ยาน่ะ เสี่ยวอัน นายรู้จักหมอเทวดา…เสี่ยวมู่…ได้ยังไงเหรอ”

ปู่ย่า ตาและยายของทั้งตระกูลหวังและตระกูลลั่วมองไปที่ลั่วอันด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ลุง ป้า พ่อ แม่ พี่เขย เสี่ยวเถาเยาคือผู้มีพระคุณของปู้อวี๋”

ซย่าซือเหมี่ยวพยักหน้าตาม

จู่ๆ พ่อหวังก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าสถานีตำรวจเป็นคนตามหาปู้อวี๋จนเจอเหรอ”

“พี่เขย ผมสัญญากับเธอไว้แล้วว่าจะไม่พูดออกไป” แต่พี่เขยเดาได้เอง เพราะงั้นเขาไม่ผิด!

“ได้ งั้นฉันไม่จะถามต่อแล้ว” พ่อหวังกำขวดหยกในมือแน่นยิ่งขึ้น

“พี่เขย พี่ถืออะไรอยู่น่ะ”

พ่อหวังบีบขวดหยกอย่างแรงจากนั้นก็คลายมือออกแสดงให้ครอบครัวของเขาดู

ซย่าซือเหมี่ยว “นี่คืออะไรคะ ขวดหยก?”

“เป็นยาน่ะ ยาที่หมอเทวดา…เสี่ยวมู่ให้ลั่วหนิง”

ลั่วหนิงเป็นพี่สาวของลั่วอันและแม่ของหวังหมิ่นชิ่น

“พี่เขย ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่พี่หลุดพูดว่าหมอเทวดาออกมา เสี่ยวมู่เป็นหมอเทวดาอะไรเหรอ หมอเทวดาน้อยมู่เหรอ” ไม่อย่างนั้นจะให้ยามาได้ยังไง

“ฉันสัญญากับชิ่นชิ่นแล้วว่าจะไม่พูดออกไป” แต่ลั่วอันเดาได้เอง เพราะงั้นเขาไม่ผิด!

ทุกคนในครอบครัวหวังและลั่วยิ้มอย่างมีเลศนัย ยกเว้นเสี่ยวปู้อวี๋

“ปู้อวี๋กับชิ่นชิ่นล้วนเป็นเด็กที่มีโชคลาภมหาศาล” ลั่วอันยิ้มกว้างเต็มใบหน้า

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”

พ่อหวัง “กินข้าวก่อนเถอะ หลังอาหารเย็นฉันจะไปส่งพ่อแม่กลับบ้าน หลังอาบน้ำเสร็จค่อยกลับมาเฝ้าลั่วหนิงต่อ”

“อืม งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวผมมาเปลี่ยนตัวกับพี่เขย”

ย่าหวังยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวอัน พรุ่งนี้เธอกับซือเมี่ยวไม่ต้องมาหรอก พวกเธอยังมีงานต้องทำให้คนที่เกษียณแล้วอย่างพวกเรามาจะดีกว่า”

ยายลั่ว “ใช่ พวกเราเพิ่งจะอายุหกสิบเศษเท่านั้นและเรายังมีสุขภาพดีด้วย!” ก่อนหน้านี้พวกเธอเคยไปท่องเที่ยวระยะยาวกันมาแล้ว ไม่มีทางที่จะดูแลคนป่วยไม่ได้!

“เอางั้นก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมกับซือเมี่ยวจะรับหน้าที่ส่งอาหารเย็นเอง ทำอาหารกินเองที่บ้านถูกสุขอนามัยมากกว่า”

หลายคนพยักหน้าพร้อมกัน

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ เมื่อกลับไปที่วอร์ด พวกเขาก็เห็นมู่เถาเยาที่กำลังจับชีพจรให้ลั่วหนิงที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

ทุกคนหยุดพูดทันที

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็ปล่อยมือลง หวังหมิ่นชิ่นรีบถามว่า “เสี่ยวเยาเยา แม่ของฉันเป็นยังไงบ้าง”

“สถานการณ์เป็นไปในเชิงบวก ไม่ต้องกังวล แค่ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ก็พอแล้ว”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

“ชิ่นชิ่น ถ้างั้นน้าไปส่งเพื่อนร่วมชั้นของหลานกลับมหา’ลัยก่อน พ่อของหลานยังต้องไปส่งปู่กับย่าของหลานกลับบ้าน หลานอยู่กับน้าสะใภ้เป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาลนี่ก่อน”

มู่เถาเยา “พวกเรารอกลับพร้อมชิ่นชิ่นก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

เซียวเซียวและหมิ่นชีสยาพยักหน้า

หวังหมิ่นชิ่น “น้าคะ น้าต่างหากที่ควรกลับไปได้แล้ว นี่ก็มาตั้งนานแล้ว ตายาย ปู้อวี๋คงเหนื่อยและอยากพักเต็มที ส่วนหนูกับเพื่อนร่วมชั้นเรานั่งแท็กซี่กลับก็พอ พวกเรามีกันตั้งสี่คน ไม่กลัวหรอก”

เดิมทีกฎหมายและระเบียบของเมืองเย่ว์ตูนั้นก็ดีมากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่องานแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับโลกกำลังจะมาถึง มันจึงยิ่งดีขึ้นไปอีก

อย่าว่าแต่นั่งแท็กซี่กลับคนเดียวเลย ดูก่อนว่าพวกเธอมีกันกี่คน

ยิ่งกว่านั้น เสี่ยวเยาเยายังเก่งมาก!

ปู่ลั่วโบกมือ “พวกเราขับรถมาที่นี่ เรากลับกันเองได้ไม่ต้องไปส่งหรอก เสี่ยวอัน เธอกับพี่เขยกับชิ่นชิ่นและพวกเพื่อนร่วมชั้นรออยู่ที่โรงพยาบาลก่อน พี่เขยเธอกลับมาเมื่อไหร่เธอค่อยไปส่งเด็กๆ กลับมหา’ลัย”

เด็กสาวสองสามคนกลับไปเพียงลำพัง จะอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

ลั่วอัน “งั้นก็ตามนี้ครับ”

เสี่ยวปู้อวี๋กอดขาของมู่เถาเยาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย ใครก็เกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้

มู่เถาเยาอุ้มเขาขึ้นมาจากขาของเธอและพูดกับเขาว่า “ปู้อวี๋ไม่ได้บอกว่าอยากโตเร็วๆ เหรอครับ เด็กๆ จะตัวไม่สูงถ้าพวกเขาไม่กลับบ้านนอน”

คนตัวเล็ก “พี่สาว กลับบ้านนอนกันเถอะครับ” เขาไม่อยากตัวไม่สูง!

หวังหมิ่นชิ่นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ปู้อวี๋ พี่สาวไม่กลับบ้านไปกับเธอหรอกนะ พี่สาวไม่ใช่ของเธอสักหน่อย” คนตัวเล็กช่างคิดฝันสวยงามเสียจริง!

เสี่ยวปู้อวี๋โอบรอบคอของมู่เถาเยาทันที พูดเหมือนกับบอสตัวน้อยที่ครอบงำว่า “พี่สาว ของผม ของผม”

ทุกคนพากันหัวเราะร่วน