ตอนที่ 109 กระดูกของคุณดีมาก
หลังเลิกเรียนในบ่ายวันรุ่งขึ้น หวังหมิ่นชิ่นปฏิเสธข้อเสนอของเซียวเซียวและหมิ่นชีสยาที่จะไปส่งเธอเยี่ยมแม่ที่ไปโรงพยาบาล
เนื่องจากแม่ของเธอยังต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองถึงสามวัน เธอคงให้เพื่อนไปส่งเธอเยี่ยมแม่ทุกวันไม่ได้จริงไหม
แค่ครั้งเดียว เพื่อแสดงเจตนาที่ดีก็พอแล้ว
มู่เถาเยาไปโรงพยาบาลพร้อมกับหวังหมิ่นชิ่น เพราะเธอยังต้องไปตรวจดูอาการให้ผู้ป่วยรายอื่นอีก
หลังจับชีพจรให้แม่หวังเสร็จและพูดคุยกันพวกเธออีกสักพัก มู่เถาเยาก็ขอตัวไปเยี่ยมทหารเสี่ยวเฟยที่ได้รับบาดเจ็บที่ขา
เสี่ยวเฟยอายุมากกว่ามู่เถาเยาห้าปี แต่เขาก็อยู่ในกองทัพมาห้าปีแล้ว
เขาเข้าร่วมกองทัพทันทีหลังสอบติดมหาวิทยาลัย
อายุสิบเจ็ดถึงยี่สิบสองปี สำหรับมนุษย์คนหนึ่งยังเป็นวัยที่อ่อนเยาว์มาก แต่เขาอุทิศเลือดเนื้อนี้ให้กับมาตุภูมิ
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ แต่สภาพจิตใจของเขายังคงดีมาก
ก่อนที่มู่เถาเยาจะไปถึงวอร์ด เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน
ยิ่งเข้าใกล้ เสียงหัวเราะก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้น
กู้ซืออี้และเสี่ยวเฟยเธอเคยพบพวกเขามาก่อนจึงจำเสียงได้ ส่วนอีกเสียงหนึ่งเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
เคาะประตู
ประตูถูกเปิดจากด้านในอย่างรวดเร็ว
“สาวน้อย เธอมาหาใครเหรอ มาผิดวอร์ดหรือเปล่า” ชายหนุ่มหล่อเหลาผิวสีทองแดงเดินมาเปิดประตูให้เธอ
“ซังเฟยและกู้ซืออี้ค่ะ”
“เอ๋ เธอไม่ได้มาผิด!”
กู้ซืออี้เมื่อได้ยินเสียงสนทนาเขาก็เดินเข้ามา และอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นร่างเล็ก “หมอเทวดาน้อยมู่!”
“กู้ซืออี้ฉันมาดูอาการที่ขาของซังเฟย”
“เสี่ยวเฟยบอกแล้วว่าดีขึ้นมาก! ขอบคุณนะหมอเทวดาน้อยมู่! รีบเข้ามาสิ!”
มู่เถาเยายิ้มและเดินเข้าประตูไป
“หมอเทวดาน้อยมู่!” ซังเฟยโชว์ฟันสีขาวที่เรียงสวยงามของเขา รอยยิ้มนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“อืม วันนี้เป็นไงบ้าง ขารู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม”
“ก็เหมือนกับที่หมอเทวดาน้อยมู่พูดไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากความเจ็บแล้ว ยังมีอาการคันและชาเป็นบางครั้งด้วย”
“อืม เป็นเรื่องปกติ”
มู่เถาเยาจับชีพจรของเขาแล้วค่อยไปดูขาของเขา
“ดีมาก”
ซังเฟย กู้ซืออี้ และเจียงจ้านมีความสุขมาก
“หมอเทวดาน้อยมู่ ฉันสามารถกลับเข้ากองทัพได้ไหม” ซังเฟยรู้สึกตื่นเต้นมาก
เขาเตรียมใจที่ตัวเองจะต้องพิการไว้นานแล้ว
“ตราบใดที่คุณเชื่อฟังและทำตามที่บอก คุณจะกลับไปได้ภายในสองเดือน”
“ฉันจะเชื่อฟัง!” ซังเฟยพูดเสียงดังมาก
“ถ้าฉันดูไม่ผิด คุณเก่งที่สุดในการฝึกซ้อมทางทหารสินะ”
“เอ๋!”
ทั้งสามคนอุทานพร้อมกัน
“ซังเฟย กระดูกของคุณดีมากและคุณเหมาะกับการฝึกศิลปะการต่อสู้มาก” ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ขาของเขาจะหายดีภายในสองเดือน
การบาดเจ็บที่ร้ายแรงถึงกล้ามเนื้อและกระดูกต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันเพื่อให้แผลสมาน ไม่ต้องพูดถึงเส้นประสาทที่ขาของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและเส้นประสาทรับความรู้สึกบางส่วนก็ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์
กู้ซืออี้ “หมอเทวดาน้อยมู่ คุณน่าทึ่งจริงๆ !”
แม้ว่าเสี่ยวเฟยจะอายุยังน้อย แต่ทักษะของเขาก็ติดหนึ่งในสามอันดับแรกของเขตทหารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับกองทัพไม่สะดวกจะเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก
“ถ้าเขามีอาจารย์ที่ดีสักคนคอยสั่งสอน บางทีอาจได้ฉายแสงในโลกศิลปะการต่อสู้ก็ได้” น่าเสียดายที่ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ถูกปล่อยทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
ซังเฟยหัวเราะ
ที่การฝึกซ้อมทหารของเขาดีมาก ต้องขอบคุณลุงและลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นตำรวจ
กู้ซืออี้ครุ่นคิด
อย่างที่หมอเทวดาน้อยมู่พูด เสี่ยวเฟยจะเป็นมีดที่คมกริบที่สุดอีกหนึ่งด้ามของประเทศเหยียนหวงในอนาคต
เขาต้องหาเวลาคุยกับเสี่ยวเฟยแล้ว ถ้าเขาตกลง เขาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาย้ายเสี่ยวเฟยไปอยู่หน่วยของหัวหน้าเยี่ยที่เมืองหลวง ที่นั่นเหมาะจะฝึกทหารที่มีแววในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มากที่สุดในบรรดาทุกหน่วยของกองทัพในประเทศ
ไม่มีทหารคนไหน ไม่ปรารถนาย้ายไปอยู่หน่วยของหัวหน้าเยี่ย
แม้ว่าเขาจะตัดใจไม่ลง แต่เขาเป็นหัวหน้าของเสี่ยวเฟย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการฉุดรั้งอนาคตของเขาไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างมากในอนาคต
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดของหมอเทวดาน้อยมู่หรือเปล่า
เขาจะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
มู่เถาเยาช่วยฝังเข็มให้ซังเฟย และแอบทะลวงเส้นลมปราณให้เขาทั้งหมด ทำให้เขาสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ถ้าเขามีความเข้าใจที่ดี เขาก็จะฝึกฝนได้ดีไม่ว่าเขาจะมีอาจารย์ที่ดีหรือไม่ก็ตาม
“อ่า ฉันรู้สึกสบายมาก!” หลังจากฝังเข็ม ซังเฟยก็ครางออกมาด้วยความสบายตัว
เขารู้สึกเหมือนกับเส้นเลือดทั่วทั้งร่างกายถูกทะลวง มันทำให้เขากระปรี้กระเปร่าและเบาสบายตัวมาก!
ความรู้สึกสบายนี้ลบล้างความเจ็บปวดและอาการชาที่ขาทั้งหมด!
มู่เถาเยาเก็บกล่องยาขนาดเล็กและเตรียมกลับไปหาแม่หวัง หลังจากอธิบายรายการที่ต้องระวังอีกหลายประโยค
กู้ซืออี้ยืนขึ้นและพูดว่า “หมอเทวดาน้อยมู่ เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันยังต้องไปดูคนไข้รายอื่น ฉันจะมาเยี่ยมอีกถ้ามีเวลา หากคุณมีคำถามอะไรโทรหาฉันนะคะ”
ครั้งที่แล้วหลังรักษาเสร็จพวกเขาได้แลกเบอร์โทรกัน
“ได้ครับ หมอเทวดาน้อยมู่ค่อยๆ เดินนะครับ”
“กู้ซืออี้ คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวมู่เหมือนเดิมเถอะค่ะ”
“โอเคครับ เสี่ยวมู่” ทหารไม่เคยเหนียมอาย
มู่เถาเยาพยักหน้า หยิบกล่องยาขนาดเล็กแล้วเดินไปที่ประตู
กู้ซืออี้รีบเปิดประตูให้
จากนั้น ที่ขาของมู่เถาเยาก็มี ‘จี้’ ขนาดเล็กห้อยเพิ่มเข้ามา
“พี่สาว!”
เพิ่งพบลั่วปู้อวี๋ไปเมื่อวาน วันนี้ก็ได้พบกับซังหลิ่นหรานอีก! ถ้าอย่างนั้นเธอควรจะได้พบหงจยาเย่ว์วันพรุ่งนี้และเสิ่นเจียวหยางในวันถัดไปหรือไม่
“เสี่ยว…เอ๊ะ…เสี่ยวเถาเยา เธอมาทำอะไรที่นี่”
มู่เถาเยา “ฉันมาตรวจดูอาการที่ขาให้ซังเฟยค่ะ หัวหน้าซังเป็นญาติของซังเฟยเหรอคะ” อย่าบอกนะว่าบังเอิญขนาดนั้นอีกแล้ว
“เสี่ยวเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน เสี่ยวเถาเยารู้จักเสี่ยวเฟยด้วยเหรอ”
“พี่ซัง พี่สะใภ้ ผมได้รู้จักกับเสี่ยวมู่โดยบังเอิญน่ะ ต่อมาเมื่อผมรู้ว่าเสี่ยวมู่เป็นศิษย์ของหมอเทวดาหยวน เลยขอให้เธอมาดูอาการที่ขาของเสี่ยวเฟย”
“เสี่ยวเถาเยาเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยวนเหรอ! หมอเทวดาหยวนมีลูกศิษย์ที่เด็กขนาดนี้ด้วยเหรอ!”
หัวหน้าซังชั่วไม่สงสัยในตัวตนของมู่เถาเยาสักนิด แต่แค่สงสัยความสามารถในการสืบหาข้อมูลของตัวเอง
“ฉันขอให้อาจารย์และพวกศิษย์พี่ปิดบังเรื่องอาจารย์รับศิษย์ปิดสำนักเองค่ะ ดังนั้นนอกจากพวกเราแล้วจึงไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้”
“มิน่าล่ะเมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ๆ เสี่ยวเฟยก็โทรบอกฉันว่าขาของเขาจะหายดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันได้ถามหมอแล้ว หมอบอกว่าเขาอาจพิการตลอดชีวิตและการรักษาให้หายดีนั้นแทบไม่มีหวังเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะเสี่ยวเถาเยา…”
หัวหน้าซังชั่วไม่สงสัยในคำพูดของมู่เถาเยาเลย
ในใจยังคิดว่าสาวน้อยคนนี้ช่างมีความสามารถหลากหลาย ไม่รู้ตัวตนของเธอตอนนี้มีคนรู้มากมายเพียงใดแล้ว
นี่มันน่าประหลาดใจและน่าทึ่งมาก!
“เขาจะไม่พิการหรอกค่ะ และจะกลับมาหายดีในอีกสองเดือน”
ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะฝังเข็มหุยหยางของเธอ ซังเฟยจะต้องพิการอย่างแน่นอน
ในโลกนี้ คนที่ใช้ทักษะฝังเข็มหุยหยางได้น่าจะมีเพียงแค่เธอเท่านั้นมั้ง เว้นเสียแต่ว่าหมอหญิงเดินเท้าในเมืองแถบชายแดนตะวันออกคนนั้นจะเป็นลู่จือฉินอาจารย์ของเธอ
“พี่สาว พี่สาว พี่สาว…”
ซังหลิ่นหรานกอดขาของมู่เถาเยาและพยายามปีนขึ้นไป
ทำไมพี่สาวถึงเอาแต่คุยกับพ่อและไม่สนใจเขาเลย
“เสี่ยวเถาเยา เข้ามานั่งคุยกันสักหน่อยไหม ดูสิซังหลิ่นหรานคิดถึงเธอมาก”
คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆ !”
มู่เถาเยามองลงไปที่เด็กผู้ชายตัวเล็กที่พยายามแสดงให้เธอรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอโทรบอกเพื่อนก่อนนะคะ”
เมื่อครู่คุยกับชิ่นชิ่นมากกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“เอาสิ เข้าไปโทรข้างในก็ได้”
“ค่ะ”
มู่เถาเยาสะพายกล่องยาขนาดเล็กไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและจูงซังหลิ่นหรานด้วยมืออีกข้างเดินกลับเข้าไปในวอร์ด
“ลุงกู้ ลุงเจียง ลุงเล็ก”
ซังหลิ่นหรานทักทายทั้งสามคนในห้องด้วยน้ำเสียงเด็กๆ
หลังจากที่ทั้งสามคนตอบกลับเด็กชายตัวเล็ก พวกเขาก็หันมาทักทายซังชั่วและภรรยาของเขา
ทั้งคู่ยิ้มและพูดคุยกับพวกเขาสองสามคำก่อนจะหันมาถามมู่เถาเยาว่า “เสี่ยวเถาเยาไม่รู้ว่าพวกเรามาจากก่วงตูเหรอ”
“พวกคุณไม่ใช่คนท้องถิ่นเหรอ?” เธอไม่คิดเลยว่าซังหลิ่นหรานจะไม่ใช่คนเย่ว์ตู
“ลุงรองกับป้ารองของฉันงานของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ โทรศัพท์มักจะไม่มีสัญญาณเลยติดต่อไม่ได้ ดังนั้นเสี่ยวเถาเยาเลยไม่เห็นพวกเขานี่ที่”
“อ้อ”
มิน่าล่ะคนเจ็บหนักถึงขั้นนอนโรงพยาบาลแล้ว แต่กลับมีเพียงเพื่อนทหารเท่านั้นที่มาเยี่ยม
เธอถึงขั้นสงสัยว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าหรือเปล่า
แย่จริงๆ ช่วยไม่ได้นี่นะ เธอเป็นเด็กกำพร้ามานาน ก็เลยมองทุกคนเหมือนจะเป็นเด็กกำพร้ากันหมด…
“ทุกคนคุยกันไปก่อนนะคะ ฉันขอไปโทรศัพท์หาเพื่อนร่วมชั้นก่อน”
แม้ว่าคนในห้องจะพยักหน้า แต่พวกเขาก็ไม่ส่งเสียงใดๆ เมื่อมู่เถาเยากดโทรออก
หลังจากรอให้คนวางสาย หัวหน้าซังชั่วก็ถามว่า “เสี่ยวปู้อวี๋อยู่ที่โรงพยาบาลนี้ด้วย? ใครในครอบครัวของเขาป่วยเหรอ”
มู่เถาเยาเอ่ยถึงลั่วปู้อวี๋ขณะที่เธอคุยโทรศัพท์
“ป้าของเขาป่วยน่ะค่ะ เธอเป็นแม่ของเพื่อนร่วมชั้นของฉันและเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวานนี้”
“ถ้างั้นเราพาซังหลิ่นหรานไปหาปู้อวี๋ดีไหม เด็กๆ จะได้เล่นด้วยกัน”
ซย่าอวี่แม่ของซังหลิ่นหรานส่ายหัว “อย่าดีกว่าค่ะ เด็กๆ เล่นกันเสียงดัง รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเปล่าๆ”
“ถ้างั้นให้ฉันพาพวกเขาออกไปเล่นข้างนอกดีไหมคะ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นรบกวนเสี่ยวเถาเยาแล้วนะจ๊ะ” หัวหน้าซังชั่วและภรรยาของเขารู้สึกวางใจมากหากปล่อยให้ลูกชายของพวกเขาไปกับเธอ
“ไม่รบกวนเลยค่ะ”
หลังจากทักทายทหารหลายคนในห้อง มู่เถาเยาก็พาซังหลิ่นหรานออกไป
คนตัวเล็กรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เล่นกับพี่สาวและเพื่อนๆ ก้าวเล็กๆ ของเขาจึงเร่งความเร็วขึ้น
เมื่อมู่เถาเยาเห็นใบหน้าที่มีความสุขนั้น มุมปากของเธอก็โค้งขึ้นอย่างช้าๆ