ตอนที่ 117 ชีวิตมีความหวัง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 117 ชีวิตมีความหวัง

ลานเล็กๆ บนภูเขา สอดแทรกด้วยแสงและเงา

ชายหญิงหลายสิบคนนั่งเป็นวงกลมบนเก้าอี้ตัวเล็ก กำลังสานกระสอบป่านในสวน

อย่างน้อยมีกระสอบเชือกป่านหนึ่งหรือสองใบ มากถึงเจ็ดหรือแปดใบวางไว้ที่ข้างเท้าของแต่ละคน กระสอบถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและมีขนาดเท่ากัน

นั่นเป็นผลงานจากการทำงานแต่เช้าตรู่ของทุกคน

ไม่ว่ามือและเท้าจะเร็วหรือช้าเพียงใด ทุกคนต่างก้มหน้าถักทออย่างตั้งใจ

ในหมู่พวกเขา บางคนเป็นผู้อพยพ บางคนเป็นชาวนาจากหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง แต่ก็มีบางคนอย่างเช่นหวังหยวนเหนียงที่เดินทางหลายสิบลี้เพื่อมาทำงานที่นี่

บางครั้งก็มีคนสนทนาเสียงเบา

เมื่อพบจุดที่ไม่เข้าใจก็ถามคนรอบข้าง ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันเสียงเบา

หวังหยวนเหนียงอยู่ในนั้น ทำงานอย่างขยันขันแข็งและตั้งใจมาก

นางตระหนักว่าตนเองไม่ใช่คนที่เร็วที่สุด ยังมีคนอื่นที่เร็วกว่าและดีกว่านาง ซึ่งมันกระตุ้นความอยากเอาชนะของนางขึ้นมา

ดังนั้นนางจึงพยายามอย่างมาก

กว่าจะมีทั้งอาหารและที่พัก อีกทั้งยังมีค่าแรงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่อยากแพ้ผู้อื่น ยิ่งไม่อยากให้ตนเองเป็นคนแรกที่ถูกปลด หากวันหนึ่งเถ้าแก่ไม่ต้องการคนทำงานมากมายเพียงนี้แล้ว

ดังนั้นนางจึงต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น

ดีจนเถ้าแก่เสียดายที่จะปลดนาง

อย่างนี้นางย่อมสามารถอยู่ในเรือนพักได้ยาว ประหยัดเสบียงในครอบครัว

อีกทั้งนางยังสามารถกักตุนเสบียงหรือเก็บเงินได้

นางอยากได้ชุดสำเร็จรูปกับผืนผ้าในร้านผ้าสี่ฤดูมากที่สุด นางจินตนาการนับครั้งไม่ถ้วนว่าตนเองจะสามารถเดินเข้าไปซื้อสักชุด

เมื่อมีเงินแล้ว ไม่เพียงต้องซื้อให้ตนเอง นางยังจะซื้อชุดใหม่ให้ทุกคนในครอบครัว

เป้าหมายของนางห่างไกลเล็กน้อย

ดังนั้นนางต้องพยายามให้มากขึ้น

ทุกครั้งที่ถักทอ นางล้วนมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้น

อย่างน้อยต้องดีกว่าคนอื่น

อาจารย์บอกว่านางมีพรสวรรค์ นางสามารถทำได้อย่างแน่นอน

นางยังคิดจะศึกษาวิธีการทอผ้า ศึกษาวิธีการตัดผ้า วิธีเย็บเสื้อผ้าที่ดีขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการปั่นด้าย ทอผ้า หรือเย็บผ้า ครอบครัวของนางล้วนไม่อาจทำได้

เพราะยากจนเกินไป!

ชุดของนางล้วนเป็นเสื้อผ้าเก่าของมารดา

ส่วนพี่น้องทั้งหลายก็ใช้เสื้อผ้าเก่าของบิดาและนาง

หนึ่งปีสี่ฤดู ครอบครัวไม่มีเงินซื้อผ้าแม้แต่น้อย นางจึงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการตัดเย็บเสื้อผ้า

เสื้อผ้าทั้งหมดถูกปะแล้วปะอีก แต่ก็ทำให้นางได้ฝึกฝนฝีมือการเย็บปักถักร้อยที่ดี

นี่คือสิ่งที่แม่บ้านพูดเอง นางบอกว่างานเย็บปักถักร้อยของตนเองพอไปวัดไปวาได้ ไม่น่าเกลียด

คำพูดนี้ทำให้นางดีใจอย่างมาก

ไม่น่าเกลียดสำหรับนางถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เวลาใกล้เที่ยง แดดแรงเล็กน้อย

แม่บ้านเดินเข้าไปในลานเล็ก พลันเคาะฆ้อง ทุกคนต่างหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่

มีบ่าวรับใช้เดินขึ้นหน้า ตรวจดูและบันทึกงานของทุกคน

หวังหยวนเหนียงทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนถึงเวลานี้ นางสานกระสอบที่ผ่านมาตรฐานทั้งหมดห้าใบ

คนที่สานได้มากที่สุดคือเจ็ดใบ

อีกทั้งยังเป็นบุรุษ แซ่เซิ่น อายุเพียงยี่สิบกว่า ทุกคนต่างเรียกเขาว่าพี่เซิ่น บ้านของเขาอยู่ในชุมชนที่ห่างจากเรือนพักร่ำรวยสามสิบกว่าลี้ ดังนั้น อีกฝ่ายก็อาศัยอยู่ในเรือนพักเช่นเดียวกัน

คนที่สานได้น้อยที่สุดคือหนึ่งใบ อีกฝ่ายเป็นสตรีผู้อพยพ แต่มือของนางกลับเฉื่อยช้ากว่าบุรุษเสียอีก

หวังหยวนเหนียงเห็นแม่บ้านขมวดคิ้วใส่สตรีผู้อพยพนั้นเล็กน้อย

หัวใจของนางกระตุก เกิดลางสังหรณ์ว่าสตรีผู้อพยพนั้นจะถูกปลด

เนื่องจากมือของนางไม่คล่องแคล่ว อีกทั้งคุณภาพยังไม่ได้ บางครั้งยังต้องแก้งาน

นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังสิ้นเปลืองวัสดุ

หลังจากการตรวจสอบและบันทึกเสร็จสิ้น ทุกคนจะได้รับป้ายไม้ของตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็สามารถไปทานอาหารที่โรงอาหารได้

ป้ายไม้จะแบ่งตามความยาว สี และตัวเลข ทุกคนจะได้รับค่าจ้างตามป้ายไม้

ดังนั้นทุกคนจึงหวงแหนป้ายไม้ที่ตนเองได้รับ พยายามเก็บไว้ใกล้ตัว

กลางวัน โรงอาหารหน้าลานเต็มไปด้วยผู้คนที่มารับประทานอาหาร

ตลาดได้เปิดขึ้นแล้วในลานจัตุรัส บางคนกำลังตั้งแผงขายของ

ผู้อพยพบางคนเดินไปมาท่ามกลางฝูงชน มองไปโน่นไปนี่ หากพวกเขาเห็นอะไรที่เหมาะสมก็จะใช้เสบียงซื้อสิ่งนั้นมา

หวังหยวนเหนียงเห็นร่างที่คุ้นเคยสองร่างท่ามกลางฝูงชน

ท่านพ่อและน้องชายของนาง

นางรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่สนใจที่จะทานอาหาร

“หยวนเนียง!”

“ท่านพ่อ น้องสอง!”

หวังหยวนเหนียงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก วิ่งจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก

นางก้มหน้ามองแผงขายของของครอบครัว บนแผงวางเต็มไปด้วยรองเท้าฟางและพื้นรองเท้าหลายคู่

รอยเย็บบนพื้นรองเท้าแค่มองก็รู้ว่าเป็นฝีมือของท่านแม่ แข็งแรงทนทาน

เมื่อตาหวังคนซื่อเห็นบุตรสาว เขาก็ยิ้มออกมา “ไม่วางใจเจ้าจึงมาดูเสียหน่อย”

หวังต้าจ้วงสูงพอๆ กับตาหวังคนซื่อผู้เป็นบิดา เขายิ้มซื่อเช่นเดียวกัน “พี่ใหญ่ ที่นี่ดีมาก! พวกเราคิดถึงพี่”

จากนั้นเขาก็มองไปยังทิศทางของโรงอาหาร เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง ถามขึ้น “อร่อยหรือไม่”

เมื่อหวังหยวนเหนียงได้ยินน้องชายถาม “อร่อยหรือไม่” ดวงตาของนางก็แดงก่ำในทันที

ในครอบครัวเป็นอย่างไร แต่ละวันกินสิ่งใด นางรู้ดีอย่างมาก

เนื่องจากรู้ดี นางจึงเข้าใจว่าเหตุใดน้องชายจึงอิจฉาเพียงนี้

เพราะว่าตอนที่เพิ่งมา นางก็เป็นเช่นนี้

เรื่องที่ตั้งตารอคอยในแต่ละวันคือการทานอาหารในโรงอาหาร

นางพูดกับบิดาและน้องชาย “พวกท่านรอก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”

นางวิ่งไปที่โรงอาหาร ใช้ป้ายคาดเอวของตนเองรับหมั่นโถวมาหลายลูก จากนั้นอยากจะตักน้ำแกงกระดูกอีกชาม

แต่กฎของโรงอาหารคือ ไม่สามารถนำชามและตะเกียบออกจากโรงอาหารได้

ในขณะที่นางกำลังร้อนใจ พี่เซิ่นที่ฝีมือว่องไวกว่านางยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือ

“ข้ามีกระบอกไม้ไผ่อยู่ หากเจ้าไม่รังเกียจก็นำไปใช้เถิด”

นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบพูดขึ้น “ขอบคุณ ขอบคุณ! ข้าจะล้างให้สะอาดแล้วนำมาคืน”

นางตักน้ำแกงกระดูกชามหนึ่งใส่ในกระบอกไม้ไผ่ พร้อมกับหมั่นโถวหลายลูกวิ่งกลับไปที่ตลาด

แก้มของนางแดงระเรื่อจากการวิ่ง ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง

“ท่านพ่อ น้องสอง พวกท่านยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ให้พวกท่าน รีบกินเถิด!”

“นี่ นี่ นี่…”

ตาหวังคนซื่อมองไปที่หมั่นโถวเนื้อหยาบ พลันกลืนน้ำลายลงคอ

แม้แต่หมั่นโถวเนื้อหยาบก็ยังเป็นอาหารอันโอชะที่หายากในครอบครัวของพวกเขา

หวังหยวนเหนียงหัวเราะ “ในกระบอกไม้ไผ่คือน้ำแกงกระดูก”

เมื่อได้ยินว่าเป็นน้ำแกงกระดูก ดวงตาของหวังต้าจ้วงก็แดงก่ำขึ้นมาด้วยความหิวโหย

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองกินเนื้อครั้งสุดท้ายเมื่อใด

ครึ่งปีแล้ว?

หรือหนึ่งปีที่แล้ว?

หรือเมื่อเดินผ่านประตูบ้านอื่นแล้วได้กลิ่นเนื้อ จึงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองได้กินเนื้อเข้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขากำลังน้ำลายไหล

ตาหวังคนซื่อมองไปที่หวังหยวนเหนียง “เจ้าให้อาหารกับพวกข้า แล้วตัวเจ้าเองเล่า”

หวังหยวนเหนียงยิ้มพลันพูดว่า “ข้าไม่หิว!”

หวังต้าจ้วงรีบถาม “พี่ใหญ่ ท่านทำงานที่นี่ได้กินน้ำแกงกระดูกทุกวันเลยหรือ หมั่นโถวเนื้อหยาบก็มีทุกวันหรือ”

หวังหยวนเหนียงพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร! วันนี้บังเอิญจึงมีน้ำแกงกระดูก ปกติมีเพียงน้ำแกงต้มผัก หมั่นโถวเนื้อหยาบก็มีทุกวัน แต่ไม่มากเพียงนี้”

ตาหวังคนซื่อสงสัย “เหตุใดเจ้าจึงหยิบหมั่นโถวมามากมายเพียงนี้”

หวังหยวนเหนียงหัวเราะขึ้นมา รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก “ข้าเบิกมื้อกลางคืนมาก่อน ป้าในโรงอาหารรู้จักข้า รู้ว่าท่านพ่อกับน้องสองมา จึงยอมให้ข้าเบิกหมั่นโถวมื้อกลางคืนมาก่อน”

ตาหวังคนซื่อร้อนใจ “เจ้าให้พวกข้าหมด ตัวเจ้าจะกินสิ่งใด”

หวังหยวนเหนียงกล่าว “ข้านั่งทำงานทุกวัน ไม่ตากลม ไม่ตากฝน ไม่กินข้าวสองมื้อก็ไม่เป็นอันใด ท่านพ่อ น้องสอง พวกท่านรีบกินเข้า เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

“กินด้วยกัน กินด้วยกัน!” ตาหวังคนซื่อทนไม่ได้ที่ต้องเห็นบุตรสาวทนหิว

“ข้าไม่หิวจริงๆ !” หวังหยวนเหนียงตอบ

“ไม่หิวก็ต้องกิน! ตอนบ่ายเจ้ายังต้องทำงานใช่หรือไม่ อดข้าวไม่ได้เชียว”

หวังหยวนเหนียงพยักหน้า กินหมั่นโถวเข้าไปครึ่งลูก

หวังต้าจ้วงกินหมั่นโถวเข้าไปสองลูก ดื่มน้ำแกงกระดูกไปครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าพึงพอใจ

เขาเช็ดมุมปาก “พี่ใหญ่ เรือนพักยังรับสมัครคนอยู่หรือไม่ ท่านคิดว่าข้าจะทำได้หรือไม่”

หวังหยวนเหนียงกล่าว “หากเจ้าทนความยากลำบากได้ เจ้าก็สามารถมาบุกเบิกที่นี่ได้ หากเจ้าไม่รังเกียจความสกปรกหรือความเหน็ดเหนื่อย เจ้าสามารถไปทำงานขนมูลสัตว์ได้ เงินเดือนสูงมาก แต่หากเจ้ามา ในเรือนจะทำอย่างไร ในเรือนไม่อาจขาดแรงงานอย่างเจ้าได้”

เด็กในชนบทเป็นแรงงานนับแต่รู้ความ

เมื่อเติบโตขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นกำลังแรงงานที่สมบูรณ์

งานทำไร่ที่บ้าน งานแบก งานหาม งานขุด…ทั้งหมดต้องใช้กำลังคน

หากไม่มีแรงงานที่แข็งแกร่งย่อมเป็นไปไม่ได้

หวังต้าจ้วงมองไปที่ตาหวังคนซื่ออย่างกระตือรือร้น

ตาหวังคนซื่อกำลังลิ้มรสน้ำแกงกระดูกอยู่ ช่างอร่อยเสียจริง!

เขากินช้า ยังมีหมั่นโถวเนื้อหยาบเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเก็บมันไว้เพื่อนำกลับบ้าน อย่างน้อยก็ให้คนในครอบครัวได้ลิ้มรสเพื่อสนองความอยากเสียบ้าง

เวลานี้หวังต้าจ้วงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรกินให้น้อยลง เหลือหมั่นโถวไว้สำหรับคนในครอบครัว

เขาตบหัวอย่างหงุดหงิด

เขาหิวมากจนเมื่อเริ่มกินก็หยุดไม่ได้

เขาถาม “ท่านพ่อ ข้าอยากอยู่ต่อ ท่านคิดเห็นอย่างไร”

ตาหวังคนซื่อถอนหายใจ “อาหารที่นี่ดีมาก หากเถ้าแก่รับเจ้า เจ้าก็อยู่ต่อเถิด”

หวังหยวนเหนียงและหวังต้าจ้วงไม่คิดว่าบิดาของพวกเขาจะยอมง่ายๆ แบบนี้

หวังหยวนเหนียงกระวนกระวาย “แล้วในเรือนจะทำอย่างไรเล่า”

ตาหวังคนซื่อโบกมือ “ไม่เป็นอันใด! อย่างมากข้าก็ทำงานมากขึ้น อีกทั้งเสบียงที่พวกเจ้าพี่น้องสองคนกักตุนเอาไว้ ในเรือนก็พอจะกินให้อิ่มได้”

บุตรยิ่งเติบใหญ่ยิ่งกินมาก!

ในวัยที่ร่างกายกำลังเติบโต ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงล้วนกินเยอะ พวกเขาจะเลี้ยงไม่ไหวอยู่แล้ว

หากเด็กๆ สามารถหาทางออก แก้ไขปัญหาเรื่องอาหารได้ ครอบครัวก็จะเหลือเงินออมบางส่วนในแต่ละปี

งานเกษตรกรเป็นงานหนัก อย่างมากเมื่อถึงเวลาไปขอให้คนมาช่วย เพียงแค่เปลืองเสบียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากหารือกันอย่างเหมาะสมแล้ว หวังหยวนเหนียงก็พาหวังต้าจ้วงไปสมัครงาน

นางหวังว่าน้องชายของนางจะสามารถบุกเบิกได้ อย่างนี้พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกันได้

แต่หวังต้าจ้วงรู้สึกว่าการบุกเบิกที่ดินนั้นเหน็ดเหนื่อย ได้เงินเดือนน้อย

เขาอยากทำงานขนส่งปุ๋ย

เรือนพักได้สร้างห้องน้ำหลวงในหลายเมือง มีความจำเป็นต้องใช้กำลังคนในการขนส่งปุ๋ยกลับมาที่เรือนพัก

มันเป็นงานที่ใช้แรงงานอย่างหนัก สวัสดิการจึงสูงกว่าการบุกเบิกที่ดินเล็กน้อย

แต่งานนี้ไม่ได้มีทุกวัน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงยอมที่จะบุกเบิกที่ดินเสียมากกว่า

บุกเบิกที่ดินอย่างน้อยก็จะมีที่ดินให้เช่าในราคาถูก

การเก็บมูล นอกจากค่าจ้างแล้วไม่มีที่ดินให้เช่าในราคาถูก

สำหรับหลายๆ คนแล้ว การเก็บมูลไม่น่าสนใจเท่าที่ดินให้เช่าในราคาถูก

หวังต้าจ้วงยังเป็นเด็กชายที่กำลังเติบโต

เขาไม่ได้อยากทำนา เขาแค่อยากได้เงินมาก กินอิ่มในทุกวัน อีกทั้งยังมีเงินเก็บ

หวังหยวนเหนียงไม่สามารถต้านทานเขาได้ ดังนั้นจึงได้แต่ทำตามความปรารถนาของเขา

หวังต้าจ้วงได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมขบวนเก็บมูลสัตว์ตามที่เขาต้องการ เขาจึงเข้าพักในเรือนพักในวันนั้นทันที