บทที่ 80 สังหารเทพเจ้า

เจ้าของร้านพิศวง

เฮ้อ…เขาคงอยากให้ฉันให้คำแนะนำก่อนจะไปที่อื่นต่อแหง

อีกอย่าง ดูจากท่าทางการถวายสัตย์แล้ว…แปลว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางคนแรกที่ระบบให้มาก่อนเริ่มเรื่องเหรอ แล้วก็ให้ดาบที่ดีที่สุดในหมู่บ้านงั้นสิ?

หลินเจี๋ยเลิกคิ้วขึ้น รีบถอยหลังไปสองก้าวก่อนลุกขึ้นยืน “คิดดีแล้วเหรอครับ นี่เป็นการตัดสินใจของคุณแน่นะ?

“สิ่งที่คุณหวังจริง ๆ ไม่ใช่อะไรที่จะแก้ไขได้โดยการพูดคุยกับผมแค่คำสองคำนะครับ คุณต้องมีความตั้งใจและชดใช้ทุกอย่างที่คุณทำด้วย ไม่มีชาวเมืองคนไหนที่คุณลืมไปแล้วจะมายกโทษให้คุณในช่วงเวลาที่ใช้ไปอย่างไร้ค่าหรอกครับ ถ้าหากเตรียมใจไม่พอ ผมว่าคุณอุดอู้อยู่ในนี้ต่อน่าจะดีกว่า”

คำเหล่านี้ไม่ได้พูดออกมาเพื่อดีดความมั่นใจอีกฝ่ายจนกระเด็น แต่เป็นการถามอ้อม ๆ ว่าเขาพร้อมแล้วหรือเปล่าต่างหาก

อย่างไรเสีย หลินเจี๋ยก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองอยู่ในฝันนี้ได้อีกนานแค่ไหน ดังนั้นการแนะนำทางจิตใจและเยียวยาสักนิดเพื่อช่วยให้เขาเห็นความหวังอีกครั้งในชีวิตก็ไม่เลวเหมือนกัน

หลินเจี๋ยเป็นดั่งแสงแห่งการตื่นรู้ และเขารู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองเปล่งประกายไปด้วยพลังงานด้านบวก

แคนเดลาลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมพึมพำอย่างอับจนหนทาง “เราเข้าใจแล้ว

“วิญญาณของเรานั้นอับเฉาลงมากในช่วงเวลากัปกัลป์ เพื่อเป็นการลงทัณฑ์ต่อการอาละวาดของเรา ความบ้าคลั่งที่เกิดจากความขุ่นเคืองอันร้ายกาจได้ผูกติดกับเราจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา…”

“เมื่อคำสาปนั้นสูญสลายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเสี้ยวของความหมกมุ่นสุดท้ายในวิญญาณเราเท่านั้นเอง

“ท่านพูดถูก เราเพียงต้องการใช้การให้อภัยของผู้อื่นเป็นข้ออ้างในการหนี เราไร้ซึ่งสิทธิในการทำสิ่งใดเพื่ออาณาจักรหรือปวงชนแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่มีสิทธิในการจมจ่อมอยู่กับความขลาดเขลาของเราด้วย

“ครั้งนี้จะไม่มีความรุ่งโรจน์หรือราชาแคนเดลาอีกต่อไป เราแค่…กลับไปเป็นผู้เนรเทศดังเดิมก็เท่านั้น”

สายตาของเอลฟ์ในยามนี้เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงยามทอดมองไปยังผืนดินเถ้าถ่านอันกว้างใหญ่ “ก่อนเราจะเลือนหายไปจนสิ้น เรารู้สึกว่ายังมีบางสิ่งที่ควรทำมากกว่าการขอขมาเพื่อหวังในการให้อภัย

“แม้จะผ่านมาแล้วหลายสหัสวรรษและอาณาจักรเรานั้นไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว พสกนิกรแห่งเรายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป”

ผ่านไปหลายพันปี ยักษาและเอลฟ์ในอดีตต่างเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

ผู้คนที่ถูกดาบปีศาจเข่นฆ่านั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน และความบ้าคลั่ง ความอาฆาต และความทรงจำเองก็เกี่ยวพันเข้ากับวิญญาณของเขา

เขาได้เห็นประวัติศาสตร์ของอาซีร์และเฝ้ามองสองประเทศอันรุ่งเรืองค่อย ๆ กลายเป็นอะไรไม่มากไปกว่านิทานปรัมปรา

ในพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นซากหักปรักพัง มนุษย์ได้เข้ามาสร้างเมืองใหญ่นาม ‘นอร์ซิน’ ซึ่งรุ่งเรืองพอ ๆ กันกับราชอาณาจักรของเขาในอดีตกาล

เอลฟ์ส่วนใหญ่และสิ่งมีชีวิตในตำนานต่างปลีกวิเวกอยู่ในป่า แต่ก็มีส่วนเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองมนุษย์และเริ่มเคยชินกับชีวิตเช่นนั้น

แม้แต่เอลฟ์ซึ่งมีชีวิตยืนยาวยังคุ้นเคยกับกลุ่มที่กลายเป็นตระกูลครอบครัว

กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ไม่เคยรีรอ และอาณาจักรเอลฟ์จะไม่กลับมาอีกแล้ว

ดังนั้นเขาควรทำอะไรสักอย่างที่มันมีประโยชน์ ครั้งนี้เขายังสามารถใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการปกป้องผู้คนและดินแดนของพวกเขาได้

ก่อนจะสูญสลายอย่างเงียบงัน เหตุใดจึงไม่ระเบิดฤทธิ์ทั้งหมดที่ตนมีกันเล่า

แคนเดลาเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าเขาก่อนเอ่ย “เราคิดว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราทำได้”

หลินเจี๋ยมองอีกฝ่ายเป็นเชิง ‘พูดต่อได้เลย’

“เราอ้อนวอนให้ท่านมอบโอกาสสุดท้ายในการสู้เพื่อปวงชนชาวเราเป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดใช้ดาบเล่มนี้เป็นศาสตราของท่าน และสังหารเทพเจ้าซึ่งจะจุติลงมายังแดนนิมิตแห่งนี้ด้วยเถิด

“หมื่นปีที่ผ่านมา เรามีความปรารถนาจะสังหารเทพเจ้าผู้นี้ หากแต่กลับขลาดเขลาเมื่อเผชิญหน้า การมองตรงไปยังเทพเจ้าองค์นั้นทำให้เราจมไปกับความบ้าคลั่งจนสุดท้ายก็เป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมของราชอาณาจักรเรา

“หมื่นปีถัดมา ในผืนดินนี้ เราต้องการทำให้ความปรารถนานี้ลุล่วงด้วยดี ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อผู้คนที่ยังอยู่บนแผ่นดินนี้”

ดวงตาของแคนเดลาเปล่งประกายไปด้วยความสัตย์จริง “เราขอมอบความจงรักภักดีและเครื่องบรรณาการอันล้ำค่าที่สุดของเรา เพื่อหวังว่าท่านจะยกโทษให้กับคำขอร้องที่มากเกินไปนั้น”

นี่เควสต์เหรอ? แต่ฟังดูไม่เหมือนความยากเบื้องต้นเลยแฮะ…

ฝันนี่ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย? ให้ต่อยเทพทันทีทันใดเลยหรือไง!?

หรือว่านี่จะเป็นแบบฝึกสอนเบื้องต้นเฉย ๆ?

อีกอย่าง หลินเจี๋ยเองก็ไม่อยากจะทำอะไรที่มันอล่างฉ่างเกินไปในความฝัน เพราะอย่างไรเสีย มันจะผิดจากคอนเซ็ปต์ ‘การนอนหลับ’ มากเกินไป

เขาตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เดี๋ยวก่อนครับ ความจริงแล้ว…ผมไม่ได้สู้เก่งอะไรขนาดนั้น”

ต่อให้เป็นความฝัน แต่เขามั่นใจว่าตัวเองจะออกมาแย่อยู่ดีหากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

หลินเจี๋ยเป็นพลเมืองดีนี่นา

ตอนนี้เขาเองก็เป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ดี และเป็นไลฟ์โค้ชมืออาชีพ หลินเจี๋ยจึงมีภาพพจน์ที่ต้องรักษา

ไม่ชำนาญน่ะไม่เท่าไร แต่การพลาดทำเรื่องโง่เง่าลงไปนั้นอีกเรื่อง หลินเจี๋ยได้มอบสุนทรพจน์เยียวยาแก่เอลฟ์ตนนี้ไปแล้ว ดังนั้นหากเขาจับดาบและล้มไม่เป็นท่าขึ้นมา มันคงเป็นอะไรที่น่าขายหน้าต่อให้เขาชนะก็ตามที

นั่นจะทำให้ภาพพจน์อาจารย์ผู้เฉลียวฉลาดที่เขาเพียรสรรค์สร้างมากับมือพังทลายเลยนะ

ถึงจุดนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกถึงข้อเสียเล็กน้อยของลูซิดดรีมเสียแล้ว แม้จะรู้ตัวว่ากำลังฝัน แต่หลินเจี๋ยก็ไม่อาจพุ่งไปทำอะไรในสิ่งที่ปกติเขาไม่ทำในความเป็นจริงได้อยู่ดี

การฝันถึงซิลเวอร์ครั้งที่แล้ว การสร้างหนังสือถือว่าใช้พลังจินตนาการของตัวเองไปจนสุดเรียบร้อย

แคนเดลาเอื้อมมือไปยังมงกุฎลอเรลบนศีรษะและเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก เราจะเป็นพลังของท่าน ม้าของท่าน และอย่างที่เราเคยบอกไปก่อนแล้ว ดาบของท่านด้วย”

เขายกมงกุฎลอเรลขึ้นมาและมอบให้หลินเจี๋ย “แม้ว่าเราจะมิใช่ราชันอีกต่อไป มงกุฎนี้ยังคงอยู่กับเราก่อนดับสิ้นลง ไม่นานหลังจากนั้นอาณาจักรก็ย่อยยับและไม่มีใครสืบทอดมงกุฎนี้สักคน สิ่งนี้คือสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา แต่อาจไม่ได้มีค่าสำหรับคนอื่นขนาดนั้น เราขอมอบมันแด่ท่านและปล่อยวางความรุ่งโรจน์ในอดีตของเรา”

หลินเจี๋ยรับมงกุฎทำจากก้านลอเรลมาถือ กิ่งก้านเหล่านี้มั่นคงและส่องประกายสีขาวดั่งเหล็ก อัญมณีสีพิสุทธิ์ถูกวางไว้ตรงกลางและส่องแสงอันงดงามออกมา

ก่อนที่เขาจะมองดี ๆ มงกุฎลอเรลนี้กลับกลายเป็นแสงสีขาวซึ่งทำให้ข้อมือของตัวเองร้อนขึ้น และสร้างเป็นสัญลักษณ์รอบข้อมือไว้

“มงกุฎนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณเราแล้ว นี่คือรอยประทับแห่งราชาเอลฟ์ และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราสามารถตอบแทน” แคนเดลาอธิบาย

หลินเจี๋ยถูข้อมือตัวเอง มันรู้สึก…ว่างเปล่า เหมือนมีน้ำหนักเพิ่มมานิดหน่อยหรืออะไรแบบนั้น

“ส่วนตอนนี้…” เอลฟ์ลุกขึ้นจากท่าหมอบมาชันเข่า เขาวางมือทั้งสองบนด้ามดาบ แล้วจึงดึงมันออกมา

ไม่มีเลือดหรือเนื้ออะไร สิ่งที่อยู่ข้างในอกของเอลฟ์มีเพียงหลุมดำ

ราวกับแสงแผดเผา ปลายดาบส่องประกายไปทั่วพื้นที่อันมืดมิด

เมื่อคมดาบออกมาได้ครึ่งหนึ่ง แคนเดลาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว

เขาสูงกว่าที่หลินเจี๋ยคิดไว้เสียอีก

หากหลินเจี๋ยลงความเห็นว่าซิลเวอร์สูงประมาณสองเมตรแล้วละก็ เอลฟ์ตรงหน้าเขาอย่างน้อยก็สูง 2.5 เมตรแน่ ๆ

เมื่อดาบใกล้ออกมาเกือบสุด แคนเดลาก็ขยับตัวเพื่อให้ด้ามดาบอยู่ตรงหน้าหลินเจี๋ย

“โปรดท่านดึงมันออกมาด้วย…แล้วเราจะต่อสู้เพื่อท่านในภายภาคหน้า”

หลินเจี๋ยเอื้อมมือออกไปกระชับด้ามดาบ เมื่อเขาได้แตะเข้ากับลวดลายอันเย็นเยียบทว่างดงาม เขาพลันเห็นชีวิตอันวุ่นวายของแคนเดลาในสมัยที่ยังไร้ซึ่งแสงสว่างและเปลวเพลิง

เขาได้เอื้อมมือไปคว้าแสงสว่างและเปลวเพลิงราวกับกำลังโอบอุ้มดวงอาทิตย์ ไหลสวนกระแสโชคชะตาและมุ่งหน้าพิชิตเทพเจ้า…

เขาเป็นดวงวิญญาณอันกล้าหาญเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น