บทที่ 81 นั่นน่ะเหรอเทพเจ้าที่คุณพูดถึง

เจ้าของร้านพิศวง

เมื่อหลินเจี๋ยเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบอันเย็นเยียบ เศษเสี้ยวของภาพชีวิตของแคนเดลาก็พุ่งมาหาเขา

การกำเนิด วัยเยาว์ วัยรุ่น… ราชาผู้เกรียงไกรและปรีชาค่อย ๆ เติบโตขึ้น

อาณาจักรอันรุ่งเรือง สถาปัตยกรรมแสนตื่นตา ชาวเมืองเอลฟ์อันงดงามในชุดขาว พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ต้นยักษ์ กริฟฟินอันเกรียงไกร ความเคารพ และความเอ็นดูต่อปวงประชา ตามมาด้วยเปลวเพลิงลุกท่วมและความมืดอนธการ

อาจเป็นเพราะแคนเดลาไม่ต้องการเผยรายละเอียดที่ตนทำลายราชอาณาจักรของเขาเอง หรือเพราะถึงเวลานั้นเขาก็เสียสติไปแล้ว ภาพที่ตามมาหลังจากนั้นจึงพร่ามัวนัก

ท่ามกลางภาพอันหมุนเวียนวน บางครั้งจะเกิดเศษบางอย่างรูปร่างแปลกประหลาดผุดขึ้นมา ราวกับว่ามันคือความพยาบาทของผู้คนซึ่งถูกเขาสังหารเองกับมือได้ปะปนมากับวิญญาณของเขาซึ่งแคนเดลาได้เอ่ยถึง

เมื่อโลกทั้งใบหยุดหมุนลง เปลวเพลิงส่องประกายพลันผุดขึ้นมาตรงหน้าหลินเจี๋ย

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว

หลินเจี๋ยกะพริบตาอีกครั้ง และภาพตรงหน้าก็กลับมาเป็นปกติ

ในมือเขาคือ ‘ดาบศักดิ์สิทธิ์’ ที่แคนเดลาดึงออกมาจากอก คมดาบอันเรียบตรงนั้นไม่ต่างกับเปลวเพลิงพิสุทธิ์ ส่องประกายไปทั่วจนก่อแสงทรงกลด

ส่องประกาย?

หลินเจี๋ยมองไปรอบด้าน ที่นี่ไม่ได้เป็นดาดฟ้าผุพังดั่งเมื่อครู่อีกต่อไป

รอบตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาอันหนาเตอะ หมอกขยับได้ส่องสว่างขึ้นด้วยแสงทรงกลดจากดาบ ทำให้ดูแล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างอาศัยอยู่ข้างใน

ลึกลงไปในหมอกซึ่งแสงส่องไม่ถึงคือความมืดไร้ก้นบึ้ง

บนท้องฟ้ามีรอยแตกขนาดยักษ์ และสายฟ้าสีแดงแลบแปลบปลาบอยู่ด้านในเมฆฝน

ราวกับว่าอะไรบางอย่างจะปรากฏขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

สายตาของหลินเจี๋ยมองไปยังดาบในมือ แล้วจึงพบกับความแตกต่างในที่สุด มือของเขาถูกห่อหุ้มด้วยสนับมือเหล็กและเครื่องเหนี่ยวรั้ง

ดูแล้วหลินเจี๋ยรู้สึกว่ามือคู่นี้ไม่ใช่ของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ตาของเขาไล่ลงไปแล้วจึงเห็นชุดเกราะบนตัว ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่แคนเดลาสวมใส่ แค่อันนี้มันโชติช่วงกว่าจนเป็นดั่งภาพลวงตาบางอย่าง

เมื่อหางตาหลินเจี๋ยเห็นอะไรบางอย่างสีทอง และจงอยปากแหลมสีดำ ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่ามีกริฟฟินกำลังเดินอยู่ข้างกายเขา

ตอนนั้นเองที่หลินเจี๋ยรู้

การเห็นภาพเศษเสี้ยวของฉากต่าง ๆ ทำให้เขาได้มาถึงความทรงจำของแคนเดลา แล้วจึงกลายเป็นเขาในที่สุด

นี่มัน… ฝันซ้อนฝันไปอีกทบเหรอเนี่ย

เอาเถอะ ยังไงก็ยังดูสมเหตุสมผลถ้ามองจากความฝันนี้น่ะนะ

ยังไงซะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความฝันย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นอย่างน้อย เส้นเรื่องจนถึงตอนนี้ก็ยังสมเหตุสมผลอยู่แหละน่า

ในเมื่อแคนเดลาบอกว่าเขาอยากจะปกป้องคนของเขาอีกครั้ง บางทีนี่คงเป็นสนามรบหรือไม่ก็สำเนาฉากในอดีตละมั้ง?

อีกทั้งบรรยากาศตรงหน้าเขาช่างเหมือนกับโมเมนต์ก่อนบอสใหญ่จะโผล่ออกมาเสียด้วย

หลินเจี๋ยเหลือบมองดาบในมือแล้วหวนนึกถึงคำของแคนเดลา ราชาเอลฟ์ตนนี้มีพลังอันยิ่งใหญ่ แต่กลับหวาดกลัวการเผชิญหน้ากับเทพเจ้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงร้องขอคำแนะนำจากหลินเจี๋ยเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ทำผิดซ้ำสอง และใช้ดาบเล่มนี้สังหารเทพที่กำลังถือกำเนิด

ดังนั้น หลินเจี๋ยต้องเป็นเหตุผลและผู้นำทางของแคนเดลา หรือก็คือการควบคุมเขา หรือหากให้พูดอีกนัยหนึ่ง คือการบังคับวิญญาณของเขานั่นเอง

นี่น่ะเหรอที่เขาหมายถึง ‘ยอมเป็นม้าให้ฉัน’ น่ะ?

“แคนเดลา?”

หลินเจี๋ยพลันนึกขึ้นได้ว่าราชาเอลฟ์อาจรับใช้ในฐานะอย่างจิตวิญญาณแห่งดาบของดาบเล่มนี้

“ขอรับ”

เสียงอันสุขุมทว่าสง่างามของแคนเดลาตอบกลับมาด้วยความเคารพ

“นั่นน่ะเหรอเทพเจ้าที่คุณพูดถึง?”

หลินเจี๋ยชี้คมดาบไปยังเบื้องบนเมื่อความทรงจำของแคนเดลาเริ่มหมุนเวียน ปลายดาบพุ่งทะลุท้องฟ้า สร้างลำแสงและเสียงพสุธากัมปนาท

ครืน…

เสียงกึกก้องของสายฟ้าดังสะท้อนไปทั่ว พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงมาซึ่งเผยแสงสว่างจ้าให้กับท้องฟ้ามืดมัวชั่วพริบตา

และจากเศษอันใหญ่ยักษ์นั้น ขวานเล่มหนึ่งได้ยื่นออกมา และถูกถือโดยมือซึ่งปกคลุมด้วยเกล็ด

“แฮ่ก… แฮ่ก…” จี้จือซู่กำลังหอบแฮก

อีเธอร์ที่ไหลเวียนทำให้สายฝนใกล้เคียงระเหยกลายเป็นไอ ขนสีเงินของจี้จือซู่ปลิวไสวไปตามลม สร้างความน่าเกรงขามมากกว่าเดิมเสียอีก

หญิงสาวคงอยู่ในสภาพหมาป่านภา จ้องเขม็งไปยังเฮริสพลางแยกเขี้ยวขู่

สายฝนยังคงตกกระหน่ำ กลบเสียงพื้นหลังทั้งมวลจนดับสนิท

เขตบริเวณกว้างเสียหายไปหลายส่วน อาคารบ้านเรือนทรุดตัวลง และหลุมเดิมก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเก่าเสียอีก บางทีท่อน้ำทิ้งอาจระเบิดไปแล้ว เนื่องจากน้ำขุ่นซึ่งเต็มไปด้วยซากศพไหลทะลักออกมา

เธอเสียเลือดอย่างต่อเนื่อง ทำให้สายตาของจี้จือซู่เริ่มพร่ามัว

หญิงสาวยังแกร่งไม่พอจริง ๆ

ซากศพของนักล่าเกลื่อนกลาดแต่ไร้ซึ่งร่องรอยของความเป็นมนุษย์ ขนเปียกชุ่ม ดวงตา และเศษเนื้อห่อหุ้มร่างพวกเขาเสียจนมิด

หาใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นสัตว์มายาต่างหาก

เสียงโห่ร้องสุดท้ายของหมาป่าขาวนั้นบ้าคลั่งอย่างน่าประหลาด แม้แต่เฮริสในร่างอสูรยักษ์ยังมีนัยน์ตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์อีกต่อไป

พวกเขาไม่ได้คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่แรกแล้ว เมื่ออยู่ในจุดไร้หนทางหวนคืน พวกเขาจึงเลือกจะทุ่มสุดตัวเพื่อการล้างแค้น

“บรู๋วววว!”

เฮริสเห่าหอนก้องฟ้า ก่อนจะทุบพื้นด้วยกำปั้น สร้างให้ผิวดินแตกร้าว

เขาฉีกยิ้มบ้าคลั่ง ปัดมือไปง่าย ๆ เพื่อส่งซากศพนักล่าลงไปยังน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่าง

ซ่า!

จี้จือซู่อดไม่ได้ที่จะก้มมองเมื่อได้ยินเสียงศพกระทบผิวน้ำ ในตอนนั้นเองที่เธอเห็นน้ำวนจาง ๆ ถือกำเนิดขึ้นในสายน้ำนั้น

ลางร้ายผุดขึ้นมาในใจของเธอ

หญิงสาวหลุบตาลงเพื่อทบทวนการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เฮริสไม่ได้ออกไปจากหลุมนี้เลยสักครั้ง อีกทั้งระหว่างต่อสู้ เขาก็จงใจโยนศพนักล่าลงไปในหลุมนั้น

ผิดปกติ! เขาจงใจนี่นา!

พวกมันจงใจปกป้องที่นี่ พวกเราจะได้นึกว่าตรงนี้เป็นแหล่งฟักไข่ แต่ความจริงมันตรงกันข้ามต่างหากล่ะ!

จี้จือซู่เปิดตาโพลงพร้อมอสนีบาตฟาดผ่านฟากฟ้า เผยให้เห็นใบหน้าของเฮริส

รอยยิ้มกริ่มพึงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอสูร “ในที่สุดก็เพียงพอสักที…”

เฮริสอ้าแขนออกเมื่อแสงสีแดงฉานเปล่งขึ้นมาจากเบื้องล่างสายธาร แสงนี้ฉายรูปร่างเหมือนเขตแดนก่อนพุ่งขึ้นเป็นลำแสงพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง

ลำแสงแบบเดียวกันผุดขึ้นมาจากสี่จุด และต่างไปรวมกันในสถานที่ซึ่งเป็นจุดฟักไข่เอาไว้

เปรี๊ยะ… เปรี๊ยะ…

เครื่องฟักไข่ค่อยๆ แตกสลายเมื่อบุปผาอัญมณีด้านในเบ่งบานเต็มที่ จุดสีแดงปรากฏขึ้นมาตรงกลางซึ่งเงาวับดั่งกระจกก่อนเปรอะเปื้อน หลังจากนั้น กระจกนั้นก็แตกร้าวดั่งเปลือกนอกกะเทาะ เผยให้เห็นขุมอเวจีลี้ลับด้านใน

ตูม!

แสงสีแดงหลายเส้นฉายขึ้นมาจากพื้น แยกท้องฟ้าอันมืดมนออกเป็นสองฝั่ง

จี้จือซู่พลันเงยหน้าขึ้น ขนทุกเส้นในกายลุกพรึ่บพรั่บ

ท่ามกลางเมฆสีทะมึน ร่างมหึมาคล้ายมนุษย์ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมประกายไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วร่าง

ร่างขนาดราวกับภูเขาถูกปกคลุมด้วยเกล็ดคล้ายยาง จมูกยืดยาวหลายอันกระตุกเป็นจังหวะจากศีรษะอันบิดเบี้ยวซึ่งไม่มีส่วนใดคล้ายมนุษย์เลยสักนิด เสียงลมหายใจของมันเป็นดั่งฟ้าแลบซึ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างฟัน

สายฝนตกกระหน่ำบนตัวมันพุ่งลงมาราวกับน้ำตก

สีหน้าของเฮริสเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เขาระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งและตะโกนออกมา “ท่านเทพ!

“เทพพิรุณผู้เกรียงไกร!

“ยินดีเสียเถิด เพราะท่านผู้นี้ได้ถือกำเนิดแล้วยังไงล่ะ! ฮ่า ๆ ๆ!”