ในหัวของอินกองขาวโพลนไปหมด กว่าจะตั้งสติได้เขาก็บินอยู่กลางอากาศบนโล่ไวท์อีเกิ้ล
เขาบินด้วยความเร็วสูง นั่นหมายถึงลมต้านที่ปะทะเข้ามาอย่างรุนแรงเช่นกัน
อินกองเริ่มฉุกคิดว่าบางทีเขาอาจหุนหันเกินไป จริงอยู่ที่แสงในอัตสุภูติราตรีจางลง ทว่านั่นอาจหมายถึงมันสูญเสียความสามารถบางอย่าง
อย่างไรก็ตามอินกองไม่สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องร้ายแรงกับเฟลิซี ยิ่งเมื่อเฟลิซีอยู่ไกลออกไป อินกองยอมเลือกตื่นตูมเกินกว่าเหตุดีกว่าเสียใจภายหลัง
อินกองรีบออกมาอย่างเร่งรีบ เขาทำเพียงตะโกนบอกคารัคว่าเฟลิซีอยู่ในอันตราย ไม่แม้แต่จะเตือนแวนเดลหรือบุคคลอื่นใด
ระยะทางระหว่างป้อมปราการที่สี่กับเมืองทาก้าใช้เวลาราวสี่วัน หากเร่งฝีเท้าก็อาจร่นเหลือเพียงสองวัน แต่นั้นก็เป็นความเร็วในการเคลื่อนพล
สำหรับอินกองที่รีบเดินทางมาเพียงผู้เดียวระยะเวลาย่อมลดลงไปอีกมาก ยิ่งไปกว่านั้นอินกองยังส่งผ่านพลังเวทเข้าโล่ไวท์อีเกิ้ลเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาคาดการณ์ว่าจะถึงเมืองทาก้าในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ถึงกระนั้น กับอินกองที่กำลังร้อนรน เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ช่างยาวนานนัก
‘เร็วอีกสิ ต้องรีบกว่านี้!’
เพิ่มไปจากพลังเวท แม้กระทั้งลมปราณก็ถูกส่งผ่านเพื่อเร่งความเร็วให้มากยิ่งขึ้น
&
อาชาแห่งทุพภิกขภัยย่างกรายเข้าสู้ซากโบราณสถาน ฝุ่นควันแผ่กระจายออกไปทั่วทางเดิน แสงสว่างที่เรืองจากเพดานดับลงทิ้งไว้เพียงคาวมมืด
ทิวทัศน์รายรอบชวนให้เขาหวนย้อนถึงอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหรือแม้กระทั้งหมื่นปีก่อน ความรู้สึกอันคุ้นเคยราวกับเขาเพิ่งมาเยือนสถานที่แห่งนี้ในเวลาอันไม่นาน
เรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬผุดขึ้นในความทรงจำของจีราด จีราดถูกขังในคุกมืดราวยี่สิบปีทำให้เขาไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของปัจจุบัน แต่เขาก็คาดเดาว่าคงเป็นรัชทายาทสักตนของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล
แต่นั่นจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ การที่มาพบกันในครั้งนี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เป้าหมายของจีราดกับอาชาแห่งทุพภิกขภัยคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในบริเวณลึกที่สุดของโบราณสถานแห่งนี้
แน่นอนว่าความบังเอิญครั้งนี้เปรียบเสมือนอาหารเลี้ยงต้อนรับสำหรับอาชาแห่งทุพภิกขภัย
เขาเดินทางอย่างไม่รีบร้อนพลางกลืนกินพลังเวททั้งหมดที่อยู่รายรอบ
&
เฟลิซีจ้องมองแสงสว่างบนเพดานที่หรี่ดับเป็นระยะ แม้จะยังไม่ดับสนิทแต่เฟลิซีก็รับรู้ได้ถึงภยันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้
จากการวิเคราะห์ของนาง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของคณะสำรวจ หรือจากปัจจัยบางอย่างภายนอก
ทว่าเหตุแปลกประหลาดนี่ก็เกิดขึ้นเสียก่อนที่จะมีการจับต้องสิ่งใด นั่นหมายความว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ถึงกระนั้นสิ่งใดกันที่ทำให้สัญชาตญาณของนางกรีดร้องได้ถึงเพียงนี้?
เฟลิซีจับมือซิลวาน มือที่มั่นคงไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด ซิลวาลหันมาส่งยิ้มให้นางก่อนจะจ้องมองเพดานราวกับพยายามมองทะลุขึ้นไปยังบางสิ่งที่อยู่ด้านบน
ซิลวานรับรู้ได้ว่าปัญหามาจากบางสิ่งด้านบนมิใช่คณะสำรวจ นอกจากลางสังหรณ์เขายังมีหลักฐานเสริม ซิลวานจ้องมองอุปกรณ์ติดแขนของเขา สิ่งนี้จะคอยส่งสัญญาณบ่งบอกตำแหน่งของเรือเหาะ หากทว่าในตอนนี้มันกลับนิ่งสนิท บ่งบอกได้สองกรณี เรือเหาะถูกทำลายหรือมีบางอย่างตัดสัญญาณเวทมนตร์
จะกรณีใดก็บ่งบอกว่าเกิดบางสิ่งกับบรรดาลูกเรือที่เฝ้ายาม ปกติแล้วซิลวานจะเร่งรีบกลับไปดูที่เรือในทันทีหากแต่ในตอนนี้เขามีเฟลิซีอยู่ใกล้ นั่นทำให้เขาเลือกเฝ้าปกป้องนาง
“บางอย่างกำลังใกล้เข้ามา”
ซิลวานกล่าวขึ้นพลางจ้องมองไปยังทางลงจากชั้นใต้ดินที่สามสู่ชั้นใต้ดินที่สี่
ซิลวานอาจไม่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเวทมนตร์มากนัก แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เหล่าภูติในบริเวณใกล้เคียงต่างหวาดกลัวบางสิ่ง
ซิลวานกุมมือของเฟลิซี เขาส่งยิ้มพลางกล่าวสร้างความมั่นใจให้นาง
“ไม่ต้องกังวลอะไร อปป้าคนนี้จะคอยปกป้องลิซซี่เอง”
เฟลิซีหัวเราะออกมาเล็กน้อย สิ่งสำคัญ ณ ตอนนี้คือข้อมูลจากชั้นข้างบน นางกลืนน้ำลายก่อนอัญเชิญภูติสายลมเพื่อส่งไปดูลาดเลา
&
ซากโบราณสถานภายใต้ผืนดินเรียกว่ามีขนาดใหญ่โต โดยกินอาณาบริเวณตั้งแต่ครามส์จวบจนเขตทะเลทรายกลางทวีป
อาชาแห่งทุพภิกขภัยย่างก้าวลงจากชั้นใต้ดินที่หนึ่ง เขาได้กลืนกินทุกสิ่งเหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายลมแผวเบา เสียงหัวเราะอย่างยินดีเพราะนี่มิใช่สายลมที่เกิดโดยธรรมชาติ
อาชาแห่งทุพภิกขภัยยกมือขึ้นก่อนสายลมนั้นจะสูญสลายไป
&
เฟลิซีรับรู้ถึงการขาดหายของพันธะระหว่างนางกับภูติแห่งสายลม ย้ำเตือนถึงภยันตรายที่คืบคลาน
เฟลิซีถอนหายใจครุ่นคิดมากขึ้น
ซิลวานมองไปโดยรอบ เนื่องจากขนาดของชั้นใต้ดินมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อลึกลงมา ขนาดของทางลงจากชั้นที่สามสุ่ชั้นที่สี่เรียกได้ว่าค่อนข้างกว้าง แม้แต่เพดานก็อยู่สูงได้ราวเจ็ดเมตร
เมื่อคำนึงถึงระยะทางจากชั้นบนสุดลงมาแล้ว ซิลวานคิดว่าพวกเขาควรเตรียมตัวรอรับมือดีกว่ารุดขึ้นไปปะทะที่ชั้นด้านบน
“ลิซซี่”
เฟลิซีหันมาสบตาซิลวานก่อนทั้งสองจะพยักหน้า เป็นความเข้าใจที่สื่อสารได้โดยไม่ต้องผ่านคำพูด
ยิ่งมีเวลาเตรียมการนานเท่าไรยิ่งเป็นข้อได้เปรียบของจอมเวท เฟลิซีเตรียมวางกับดักหลากหลายรูปแบบทั่วบริเวณ
แสงสว่างจากเพดาบกระพริบถี่ขึ้น เป็นสัญญาณนับถอยหลังเข้าสู่การปะทะอันมิอาจเลี่ยง
&
เวลาที่เรียกว่าทั้งยาวนานและรวดเร็วได้ล่วงเลย
เฟลิซีกลืนน้ำลายแทบจะตลอดเวลาที่รอคอย นางไม่มั่นใจว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแต่คาดว่าหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ นางเร่งใช้เวทมนตร์สร้างกับดักตลอดเวลา สามารถเรียกชั้นใต้ดินที่สี่ในตอนนี้ได้ว่าปราการอย่างย่อม
ความรู้สึกอันเลวร้ายราวกับถูกงูดกอดรัดทั่วร่าง ลมหายใจถี่ยิบ เหงื่อแตกพลักทั่วหลัง ความเครียดต่อสถานการณ์ส่งผลกับร่างกายเฟลิซีมากกว่าที่นางคาดการณ์
แม้เฟลิซีจะใกล้ชิดกับฉัตรและพบกับสถานการณ์เลวร้ายมาหลายครั้ง แต่นางก็ไม่เคยตื่นกลัวเท่าในครั้งนี้ นางพยายามตั้งสมาธิรวบรวมสติกำหนดลมภายใจ ยิ่งเวลาผ่านไปนางยิ่งตกอยู่ในสภาวะวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
“มันมาแล้ว”
ซิลวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา เฟลิซีลืมตาขึ้น ซีพิร่ากับเดเลียรวมถึงบรรดาสมาชิกหน่วยสำรวจต่างเตรียมอาวุธพร้อมต่อสู้
ซิลวานเค้นลมปราณเสริมพลังให้กับดาบที่ได้รับจากอมิตาภา สายตาจดจ้องไปยังต้นตอของศัตรูที่รับรู้จากสัญชาตญาณ
ศัตรูก้าวลงจากชั้นที่สามมาอย่างไม่ยี่หระ
สายตาทั้งหมดจดจ้องไปยังบันไดทางลง ทันใดนั้นซิลวานก็รีบตะโกนร้อง
“หลบเร็ว!”
ครืน ครืน ครืน ครืนนน!
เสียงระเบิดดังขึ้นกลบเสียงร้องของซิลวาน นั่นเพราะเพดานด้านบนถล่มลงมา
เฟลิซีหลบออกมาได้อย่างหวุดหวิดจากการช่วยเหลือของเดเลีย ซีพิร่ามองสำรวจหาศัตรูก่อนจะหยุดไปยังกลุ่มก้อนฝุ่นควันดำทมิฬ
ควันดำนั้นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยังสมาชิกคณะที่ติดคาอยู่ใต้เพดานถล่ม บางสิ่งที่คล้ายมือยื่นออกมาจากควันคว้าเข้าไปที่คอของสมาชิกผู้เคราะห์ร้าย
ร่างของสมาชิกตนนั้นซูดซีดลงในทันใดรวดเร็วเกินกว่าจะมีเสียงร้องหลุดรอดออกมา ร่างแตกละเอียดกลายเป็นฝุ่นผงลอยเข้าไปรวมกับกลุ่มควัน เฟลิซีรับรู้ถึงตัวตนของศัตรูตรงหน้าในทันที
“จีราด!”
ศัตรูที่เฟลิซีเคยร่วมเข้าต่อสู้ด้วยในเขตแดนของเผ่าไลแคนโทรป ศัตรูทำให้ทั้งเคทลินกับฉัตรตกอยู่ในสภาพเกือบตาย!
จีราดหรืออาชาแห่งทุพภิกขภัยในปัจจุบันแสยะยิ้มขานรับ ควันสีดำแผ่กระจายออกกลืนกินพลังเวทของโบราณสถาน แสงสว่างจากเพดาบดับลงในทันที แม้แต่พื้นก็แห้งกรอบผุพัง เศษเพดานที่ถล่มลงมาแตกละเอียดเป็นฝุ่นผง
อาชาแห่งทุพภิกขภัยกระโจนหาเหยื่อ ร่างกายที่สืบสายเลือดราชวงศ์เผ่าไลแคนโทรปพร้อมทักษะจากความทรงจำของจีราด บริเวณที่กว้างขวางดูเล็กลงในพริบตา
ซีพิร่ารีบเข้าสกัดกั้น ดาบของนางเฉือนร่างศัตรู แต่ในขณะเดียวมันก็ทำให้ศัตรูสามารถคว้าจับข้อมือของนางได้
‘เดรน’
ข้อมือของซีพิร่ากลายเป็นสีดำทันควัน เนื้อที่ติดกับข้อมือซีดแห้งด้วยไอพลังสีดำและมันพยายามเข้ากลืนกินนางอย่างรวดเร็ว ซิลวานที่อยู่ไม่ห่างรีบใช้อาวุธตัดแขน ช่วยนางจากจุดจบเอาไว้ได้ทันท่วงที
ซีพิร่ากรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากบาดแผล แขนของนางในมือของอาชาแห่งทุพภิกขภัยกลายดำสนิทราวกับถ่านก่อนแตกละเอียดเป็นฝุ่นผง
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังขึ้นแผ่วเบา
ทว่าเหมือนซิลวานจะได้ยินเสียงนี้? หรือบางทีเขาอาจรับรู้ได้?
ซิลวานละเบิดลมปราณของเขาเพื่อสร้างระยะห่างให้กับซีพิร่า นัยตาข้างเดียวของเขาส่องเรืองขึ้นอย่างแปลกประหลาดพลางจดจ้องศัตรูตรงหน้า มือตวัดดาบตัดไอพลังสีดำอย่างไม่ลังเล
ไอพลังสีดำถูกคมดาบตัดทำลาย เหตุเหนือความคาดหมายทำให้อาชาแห่งทุพภิกขภัยถอยหลังออกไปอย่างยำเกรงพลางครุ่นคิด ความทรงจำของจีราดรื้อฟื้นขึ้นมา ในความทรงจำนี้บ่งบอกว่าซิลวานเก่งกาจพอกับคริสต์และอาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ ความคิดที่ว่ามีศัตรูที่สามารถประมือในรอบพันปีกระตุ้นบางอย่าง ไอพลังสีดำควบเข้าเป็นอาวุธ!
“ซิลวาน!”
เฟลิซีร้องอย่างหวาดวิตก ซิลวานเค้นลมปราณสร้างเป็นม่านพลังป้องกันสมาชิกตนอื่นจากไอพลังสีดำ ในขณะเดียวกันเขาก็ตวัดดาบเข้ารับมือกับอาชาแห่งทุพภิกขภัยที่กระโจนเข้ามาพร้อมเคียวในมือ
ความรวดเร็วและแม่นยำของดาบเหนือมากกว่าเคียว
แต่ถึงกระนั้นด้วยประสบการณ์อันโชกโชยในร่างจีราดช่วยอ่านทางคมดาบ อาชาแห่งทุพภิกขภัยสามารถหลบการโจมตีจากซิลวานได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
ซิลวานรับมือกับอาชาแห่งทุพภิกขภัยพร้อมคอยปกป้องสมาชิกตนอื่นไปด้วย ยิ่งเวลาผ่านไปลมปราณของเขายิ่งถดถอยมากขึ้น
“หัวหน้า!”
ลูกเรือที่เหลือรอดหลังจากได้สติพยายามเข้าช่วยเหลือ ซิลวานพยายามร้องห้ามแต่สภาพของเขาทำให้มีเสียงออกมาไม่ดังพอ
ฉึก ฉึก ฉึก!
เสียงคมมีดเฉือนเนื้อดังขึ้น อาวุธสีดำทมิฬปักเข้าที่หัวใจของบรรดาลูกเรือสำรวจ ร่างของพวกเขาล้มลง ก่อนถูกกลืนกินด้วยไอพลังสีดำ
ซิลวานร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง และในชั่วพริบตาที่ซิลวานขาดสตินั้น อาชาแห่งทุพภิกขภัยก็เข้าประชิดตัวซิลวานพร้อมฝ่ามือที่ยื่นออกแตะอก
“อิเนีย”
หนึ่งในเคล็ดวิชาของทักษะไอศวรรย์สัตว์เทพที่ส่งลมปราณเข้าทำลายศัตรูจากภายใน
ลมปราณระเบิดออกบริเวณอกของซิลวาน ร่างของเขากระเด็นออกทรุดลงกับพื้น
ซิลวานกระอักเลือดออกมาพลางพยายามฝืนลุกขึ้นยืน
ภาพตรงหน้าทำให้อาชาแห่งทุพภิกขภัยรู้สึกชื่นชมศัตรูตนนี้ไม่น้อย นั่นเพราะเผ่าเอลฟ์รัตติกาลเป็นเผ่าที่มีร่างกายบอบบางต่างไปจากไลแคนโทรป การที่ซิลวานยังคงสติบ่งบอกว่าต้องผ่านการฝึกฝนร่างกายมาอย่างหนักหน่วง
อาชาแห่งทุพภิกขภัยจ้องมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาต้องการร่างของศัตรูตนนี้ ซิลวานไอเอาเลือดเสียออกมาอีกครั้ง เขาทุลักทุเลจนลุกขึ้นยืนมาได้ในที่สุด
ซีพิร่าวิ่งเข้าไปประคองซิลวาน เฟลิซีวาดมือร่ายเวทมนตร์
เฟลิซีเรียกพลังเวททั้งหมดที่ใช้ในการติดตั้งกับดักจากหลายจุดพุ่งเข้าโจมตี แม้อาชาแห่งทุพภิกขภัยจะสามารถกลืนกินพลังเวทได้ แต่หากพลังเวทนั้นมีปริมาณมากเขาก็สามารถบาดเจ็บได้เช่นกัน เขาใช้พลังสร้างม่านพลังเพื่อบิดบังทิศทางของพลังเวทเป็นวังวน
กระแสพลังเวทถูกบิดเบือน นั่นทำให้มันสามารถถูกดูดซับได้ง่ายขึ้น เวลาผ่านไปได้เพียงสิบวินาทีก่อนพลังเวทที่เฟลิซีใช้โจมตีถูกกลืนกินหมดสิ้น
อาชาแห่งทุพภิกขภัยเดินมาตรงหน้าเฟลิซีอย่างไม่รีบเร่ง เดเลียพยายามเข้าขวางแต่นางก็ถูกซัดกระเด็นจนหมดสติ
เมื่ออยู่ตรงหน้าเฟลิซีความทรงจำของจีราดก็ผุดขึ้น
ผู้หญิงตนนี้คือหนึ่งในศัตรูที่ยืนเคียงข้างอาชาแห่งอาณัติ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตาเล่นตลกกันแน่?
&
เฟลิซีพยายามร่ายเวทมนตร์เพื่อขัดขืนทว่าศัตรูตรงหน้ามิใช่คู่ต่อสู้ที่นางสามารถจะต่อกรได้ อาชาแห่งทุพภิกขภัยดูดซับพลังเวทที่นางใช้โจมตี จากนั้นเขาก็ต่อยเข้าที่ท้องของเฟลิซี เกราะป้องกันที่นางสวมใส่แตกสลายเป็นฝุ่นผง เฟลิซีทรุดลงกับพื้นหายใจติดขัด
อาชาแห่งทุพภิกขภัยใช้มือจับคางของเฟลิซีเงยขึ้นมา แทนที่จะกลืนกินนางเขาต้องการที่จะฉีกกระชากร่างของนางเป็นชิ้น
เหตุผลก็เพราะอาชาแห่งทุพภิกขภัยต้องการที่จะโยนชิ้นส่วนร่างของนางใส่อาชาแห่งอาณัติ
เพียงนึกถึงอาณัติความโกรธแค้นที่สั่งสมก็ปะทุออกมา ร่างของเฟลิซีถูกเตะกระเด็นไปกระแทกกำแพง นางยังพอขยับเขยื่อนบ่งบอกว่ายังคงมีสติ
ภาพที่เฟลิซีถูกเตะกระเด็นทำให้ซิลวานตะโกนร้องออกมา เขาเค้นลมปราณที่เหลือพลางกระโจนเข้าฟาดฟัน
อาชาแห่งทุพภิกขภัยปัดป้องการโจมตีที่เข้ามา แต่มันก็ทำให้เขาไถลถอยหลังออกไป ระหว่างนั้นซีพิร่าเร่งเข้าไปดูอาการของเดเลีย ส่วนซิลวานใช้ดาบตวัดฟันไอพลังสีดำรอบบริเวณก่อนรีบวิ่งไปหาเฟลิซี
อาชาแห่งทุพภิกขภัยคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า ไอพลังสีดำพุ่งแทงขึ้นมาจากพื้นเข้ามัดร่างของซิลวานเอาไว้ เขาเดินเข้าไปยังร่างของซิลวานที่ถูกมัดแล้วเริ่มเขียนอักขระบางอย่าง ลมปราณของซิลวานแตกสลายออก ไอพลังสีดำเริ่มแผ่ออกจากบริเวณอักขระ
หากทว่าซิลวานยังไม่ยอมจำนน เขาดิ้นหลุดจากพันธนาการของไอพลังสีดำก่อนจะเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้าเฟลิซีในที่สุด
เฟลิซีจ้องมองร่างพี่ชายของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลและกำลังถูกไอพลังสีดำกลืนกิน แต่ซิลวานกลับส่งยิ้มให้นางท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย
‘ไม่นะ’
ซีพิร่าที่กำลังประคองหันไปเห็นรอยยิ้มของซิลวาน
เช่นเดียวกับเฟลิซี สภาพของนางแม้แต่หายใจยังยากลำบาก แต่นางก็พยายามจะพูดบางอย่างออกมา
‘ย อย่านะ ห ห้ามเด็ดขาด ม มันต้องมีหนทางอื่นสิ! ม มันต้องมีวิธี… ’
ซิลวานเข้าใจว่าน้องสาวของเขาพยายามจะสื่ออะไร เขารู้สภาพร่างกายของตนเองดีที่สุด ชีพจรของเขาแตกรวนจากเคล็ดอิเนีย ร่างกายของเขากำลังถูกไอพลังสีดำเข้ากลืนกิน
สิ่งนี้จึงเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่
ซิลวานเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเฟลิซีพลางท่องอาคมบางอย่าง เวทมนตร์พิเศษถูกปลดปล่อยออกมา เวทมนตร์คลายผนึกบางอย่างออก ซิลวานบังคับความยินยอมจากเฟลิซีเพื่อใช้ไพ่ตายสำหรับเหตุฉุกเฉิน
ซิลวานไม่รู้ว่าเขาเหลือเวลาอีกนานเพียงไร เขารีบเอื้อมมือในทันที
ทันใดนั้นเองความทรงจุดของจีราดก็ผุดขึ้น ความทรงจำนี้ร้องเตือนให้อาชาแห่งทุพภิกขภัยรีบถอยหนี
‘ทำไม?’
‘มีเหตุผลอะไรกัน?’
ระหว่างที่อาชาแห่งทุพภิกขภัยกำลังตั้งคำถาม เฟลิซีก็ส่งเสียงร้องออกมาได้ในที่สุด ทว่าเสียงร้องของนางไม่ทันการนั่นเพราะมือของซิลวานแตะที่ผ้าปิดตาของเขาแล้ว
จีราดแย่งเอาการควบคุมร่างกายกลับคืนจากอาชาแห่งทุพภิกขภัยเพื่อรีบถอยหนี ไอพลังสีดำถูกใช้เพื่อสร้างม่านป้องกันหลายชั้น
เฟลิซีร้องไห้ออกมาอย่างไม่สนใจสายตารอบตัวนั่นเพราะ
ซิลวานกระชากผ้าปิดตาของเขาออก รัศมีเทพพวยพุ่งออกมาจนปกคลุมบริเวณด้วยแสงสีทอง
ซิลวานปลดผนึกดวงตาของเขา ราชันแห่งเหล่าภูติพราย
เมื่อพี่ชายจูนิเบียวแท้จริงแล้ว ไม่เบียว~