ครั้งที่บรรดาทายาทเลือกสถานที่ปฏิบัติภารกิจ เขตที่เจ้าชายซิลวานเลือกก็คือชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ที่ชื่อว่าครามส์ ชายแดนนี้ติดกับทะเลทรายขนาดใหญ่ใจกลางทวีปอันเป็นขอบเขตธรรมชาติแบ่งกั้นโลกมนุษย์กับโลกมาร
สภาพภูมิอากาศของครามส์เป็นป่าดิบชื้นขัดกับความแห้งแล้งอันใกล้เคียงแสดงถึงการทำงานของอาคมบางอย่าง ซิลวานพบกับซากโบราณสถานภายในบริเวณหนึ่งของป่าดงดิบแห่งนี้
เรือบินขนคณะซิลวานพร้อมด้วยเฟลิซีราวหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อนถึงกลางป่าดงดิบ การกระจายตัวของต้นไม้เป็นระเบียบผิดธรรมชาติราวกับถูกสร้างขึ้นมา
“ถัดจากจุดนี้จะเป็นทางเข้าโบราณสถาน มันถูกซ่อนไว้อย่างเร้นลับจนเรียกได้ว่าหากตั้งใจค้นหานี่จะเป็นจุดที่ถูกมองข้ามอย่างแน่นอนเพคะ”
ซีพิร่ากล่าวระหว่างเตรียมบันไดโรยเพื่อลงจากเรือบิน ซิลวานกระโดดลงจากเรือไปยังผืนดินด้านล่างเพื่อเตรียมรับและติดตั้งปลายบันได
“ถ้าอย่างนั้น ใครใช้วิธีอะไรถึงพบสถานที่นี้?”
เฟลิซีกล่าวพลางจดจ้องซิลวานที่ทำงานอย่างขึงขัง
ซีพิร่าลังเลครู่หนึ่งก่อนตอบ
“มีลูกเรือคนหนึ่งถูกหวดกระเด็นเข้าลอยติดต้นไม้ระหว่างต่อสู้ควบคุมบริเวณ ครู่หนึ่งกิ่งไม้หักทำให้ลูกเรือคนนั้นตกลงกระแทกพื้นและพบเข้ากับทางเข้าโบราณสถาน”
เป็นเรื่องที่ฟังแล้วชวนขบขัน หากแต่เมื่อมองในมุมของลูกเรือตนนั้นอาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดี เฟลิซีขมวดคิ้วก่อนซักเพิ่ม
“ลูกเรือที่ว่า ปกติดีใช่ไหม?”
“องค์รัชทายาททรงอย่าได้วิตก ลูกเรือผู้นั้นคงมีสภาพสมบูรณ์พร้อมเพคะ”
ซีพิร่ากระแอมตอบพลางขยับเขยื้อนตัวให้ไหล่กับคอของนางหลุดจากสายตาของเฟลิซี นั่นทำให้เฟลิซีเข้าใจบางอย่าง
‘นางก็เลยไม่อยากจะพูดถึงมันตั้งแต่แรกสินะ’
อเมื่อเฟลิซีคิดวิเคราะห์นางก็เลือกที่จะปล่อยผ่านรายละเอียด
ไม่นานบันไดลงเรือก็ติดตั้งเสร็จสิ้น เฟลิซีกระโดดลงเรือโดยใช้เวทมนตร์ลอยตัวเพื่อร่นเวลาเร่งรีบไปสมทบกับซิลวาน เมื่อนางมาถึงบริเวณทางเข้าโบราณสถานก็เข้าใจความหมายที่ซีพิร่ากล่าว
‘รอยแยกของแผ่นหิน’ คือนิยามที่เฟลิซีมอบให้กับสิ่งที่นางเห็น โดยปกตินางคงมองข้ามว่าเป็นเพียงหลุมที่เกิดจากการขยับเขยื้อนของผินดิน
บันไดวนเส้นผ่าศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรครึ่งขุดยึดติดตั้งลงไปในหลุม ทิศทัศน์โดยรอบเป็นพงหญ้ามีต้นไม้ประปรายโดยรอบ
เฟลิซีนั่งลงก้มมองไปยังภายในหลุมพลางดมกลิ่นบางอย่าง อาจจะจางไปบ้างแต่เป็นกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของอักขระเวท
“จริงอย่างที่บอก เป็นอักขระเวทแบบเดียวกับทะเลสาบสุริยัน”
เมื่อตั้งใจสังเกตโดยละเอียดก็จะพบกับแสงสะท้อนเล็กน้อยจากอักขระที่สลักตามผนังกำแพงภายใน
ระหว่างที่เฟลิซีจดจ้องเก็บรายละเอียดใช้ความคิด ซิลวานก็ขยับตัวเข้าใกล้นางพร้อมยื่นมือเข้ามา
“เอาละลิซซี่ กอดอปป้าแล้วเราจะทะยานเข้าไปสำรวจด้านในกัน”
เฟลิซีขยับออกห่างด้วยท่าทีรังเกียจก่อนร่ายเวทมนตร์
“เลวิเตท”
เฟลิซีเหาะลอยลงหลุมโดยไม่แยแสพี่ชายของนางที่ไหล่ตกอย่างสิ้นหวัง หลังจากลอยผ่านบันไดวนลงไปได้ราวสิบสองเมตรก็พบกับทางเดินเข้าอุโมงค์ ดูเก่าแก่แต่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
เฟลิซีนำเอาอุปกรณ์สำรวจหลายชิ้นออกมาเตรียมระหว่างรอคณะที่เหลือตามลงมา การสำรวจด้วยจำนวนอาจเป็นไปอย่างรวจเร็จแต่จะวุ่นวายในการควบคุม นางจึงเลือกสำรวจกับกลุ่มจำนวนไม่มากเน้นความสามารถของตัวบุคคล
ภายในอุโมงค์ทางเดินมีแสงสว่างมาจากสองแหล่ง หนึ่งคือจากอักขระที่สลักประดับเพดาน อีกหนึ่งคือจากบางสิ่งที่อยู่สุดปลายอุโมงค์
แสงทั้งสองเรืองสลัวเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามแต่ยากแก่การสำรวจ เฟลิซีแจกจ่ายคบเพลิงให้กับคณะสำรวจ แท่งที่สามารถควบคุมให้มีแสงสว่างติดดับขึ้นที่ปลายด้านหนึ่งลักษณะไม่ต่างจากไฟฉาย เผยให้เห็นบริเวณโดยรอบเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ใต้ดิน รูปแบบของสถาปัตยกรรมนี้ชวนให้เฟลิซีระลึกถึงการสำรวจของนางในบริเวณใกล้เคียงกับเผ่าสายฟ้าชาด
เนื่องจากกลุ่มของซิลวานได้สำรวจบริเวณนี้ไปก่อนแล้วทำให้รู้ทิศทางแผนผังในระดับหนึ่ง สักพักคณะสำรวจก็มาถึงบริเวณที่คล้ายคลึงกับห้องโถงหลักที่มีแท่นบูชา มีอักขระสลักอยู่ทั่ว
“จริงแท้ อักขระพวกนี้เหมือนกับที่ฉันเคยเห็น หรือว่าบางที ตำนานนั่นจะเป็นเรื่องจริง?”
เฟลิซีพึมพำหลังจากพินิจพิเคราะห์อักขระตามเพดาน พื้น กำแพง เสาค้ำ นั่นทำให้ซีพิร่าถามอย่างสงสัย
“องค์รัชทายาททรงหมายถึงตำนานอันใดหรือเพคะ?”
เฟลิซีร่ายเวทมนตร์แสดงรูปภาพงานวิจัยอันหลากหลายของนางก่อนเริ่มสาธยาย แสดงให้เห็นว่านางชื่นชอบเวลามีผู้ซักถามเรื่องเกี่ยวกับโบราณสถาน
“หลังจากสำรวจรังของไคทีนที่ผ่านมา ฉันก็พยายามค้นคว้ามากขึ้นถึงจะแค่ในเวลาอันสั้น เพราะต้องออกตามภารกิจ”
เจ้าชายฉัตรอาจแสดงท่าทีสนใจกับสิ่งค้นพบจากโบราณสถานที่เรียกว่ารังเก่าของพญามังกร แต่นักสำรวจอันเป็นนิจอย่างเฟลิซีให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากโข
เฟลิซีมองไปรอบตัวอย่างวางมาดก่อนกล่าวเพิ่ม
“อันที่จริงนี่มิใช่สิ่งที่ฉันพบจากการค้นคว้า แต่เป็นการปะติดปะต่อเรื่องราวระหว่างซากโบราณสถานแต่ละแห่งเข้าด้วยกัน”
คำอธิบายที่ทำให้เกิดคำถามเพิ่มขึ้น ซีพิร่าแสดงสีหน้าว่านางไม่เข้าใจในสิ่งที่เฟลิซีกล่าวเลยสักนิด
“ซีพิร่า เธอรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากแค่ไหน?”
“เอ่อ วังจอมมารถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 500 ปี ที่แล้ว… ”
“ใช่แล้ว 500กว่าปี แค่ 500 กว่าปีเท่านั้น แล้วเรื่องราวก่อนหน้านั้นละ แม้แต่ยุคแห่งการแก่งแย่งยังย้อนกลับไปเพียง 3000 กว่าปีเท่านั้นเอง”
ยุคแห่งการแก่งแย่งที่เฟลิซีเอ่ยคือเรื่องราวในสมัยที่แต่ละเผ่าพันธุ์ในโลกมารอยู่ในช่วงสงครามแย่งชิงดินแดน เป็นช่วงเวลาที่ไร้กฎเกณฑ์ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด ไม่ต่างจากดินแดนนอกชายแดนที่เหล่าชนเถื่อนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
“อารยธรรมแบบไหนกัน ที่คงอยู่ในอดีตกาลก่อนหน้านั้น?”
เรื่องราวก่อนยุคแห่งการแก่งแย่ง
อดีตกาลอันไกลโพ้นก่อนที่ปราสาทธันเดอร์ดูมจะถูกสร้างขึ้น…
“ไม่มีอะไรเลย แม้แต่บันทึกโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของเผ่ายังมีแค่เรื่องเล่าถึงแค่ 6000-7000 ปีก่อนเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีอารยธรรมความเชื่ออะไร สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์แบบไหนอาศัยอยู่ก็ไม่รู้ และนี่ไม่ใช่การกล่าวเกินเลย”
เจ็ดพันปีถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานแม้แต่กับเผ่าเอลฟ์ที่ขึ้นชื่ออายุยืน ซีพิร่าใช้เวลาซึมซับคำพูดของเฟลิซีครู่หนึ่งก่อนหูของนางจะกระดิกแสดงถึงการเข้าใจในที่สุด
“องค์รัชทายาทเพคะ หากเป็นระยะเวลาถึง 7000 ปีที่แล้ว… น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะมีอารยธรรมในยุคสมัยนั้นมิใช่หรือเพคะ?”
ย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดพันปีก่อนเผ่าเอลฟ์ยังมิได้แตกแยก เผ่าเอลฟ์รัตติกาลในปัจจุบันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเอลฟ์โบราณ การดำรงชีวิตในช่วงเวลานั้นคงเรียกได้ว่าดึกดำบรรพ์เก่าแก่คร่ำครึ
เฟลิซีพยักหน้า
“นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน ความเห็นส่วนใหญ่มุ่งไปในแนวโน้มว่าชีวิตในช่วงเวลานั้นไม่น่าจะมีการบริหารจัดการเป็นหลักแหล่ง ไม่มีประเทศ เขต เมือง มีเพียงการดิ้นรนของเผ่าเล็กๆในลักษณะหมู่บ้าน ทว่าบางส่วนคัดค้านและคิดเหมือนกับฉัน เพราะหากในยุคสมัยนั้นไม่มีอารยธรรมอะไรเลย มันก็ไม่ควรจะมีซากโบราณสถาน สิ่งปลูกสร้างอะไรหลงเหลือถึงยุคนี้ให้เราคิดย้อนกลับไปได้ ้เพียงหมู่บ้านเล็กๆไม่มีความสามารถเพียงพอสร้างสถานที่บูชาเป็นหลักแหล่งและใหญ่โตขนาดนี้ได้หรอก”
เฟลิซีพยายามจะสื่อว่าหากราวเจ็ดพันปีที่แล้วไม่มีอารยธรรม หมายความว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นผลจากอารยธรรมที่เก่าแก่ยิ่งไปกว่าเจ็ดพันปี
“พวกเราเรียกความคิดนี่ว่าตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองบ้าง ชนเผ่าโบราณกาลบ้าง หรือชนเผ่าสาบสูญ แม้จะมีหลักฐานเพียงน้อยนิดที่ระบุถึงการมีอยู่ชนเผ่าตามตำนานนี้ แต่ก็มากพอที่อาจเป็นไปได้”
เฟลิซียิ้มออกมาหลังอธิบายหลักสูตรฉบับรวบรัด ซีพิร่ามองสังเกตอักขระรอบตัวอีกครั้ง
“องค์รัชทายาททรงคิดว่าอักขระเหล่านี้… เป็นซากอารยธรรมของชนเผ่าสาบสูญหรือเพคะ?”
“ที่นี้เราก็มาอยู่ที่จุดเริ่มต้นจุดเดียวกันละ พร้อมจะเดินหาคำตอบไปด้วยกันหรือยัง?”
เฟลิซีหัวเราะออกมาพลางก้าวเดินอย่างตื่นเต้น
&
จากแดนทางเหนือมุ่งลงสู่ทางใต้
ฝีเท้าอันเชื่องช้าแต่มั่นคงของหนึ่งร่างปริศนา
ย่างก้าวที่ไม่หยุดยั้งแม้กลางวันหรือกลางคืน จวบจนร่างนี้มาเยือนดินแดนหนึ่ง ทิวทัศน์เปลี่ยนแปลงไปจากความทรงจำอันเก่าแก่ทว่าร่างนี้มั่นใจได้ว่านี่คือจุดหมาย ป่าดิบชื้นติดทะเลทรายสุดขอบโลกมาร ครามส์
&
เฟลิซีสำรวจโบราณสถานชั้นที่หนึ่งเสร็จสมบูรณ์และมุ่งสู่ชั้นที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปอีก ห้องโถงใต้ดินกว้างกว่าชั้นข้างบนมีห้องเล็กจัดกระจายอยู่เป็นระยะ ภายในห้องมีขอบสี่เหลี่ยมที่ดูราวกับจะเป็นหน้าต่าง ภายในห้องไม่มีสิ่งของมูลค่า สภาพเหมือนห้องพักของเหล่าบริวาร ทว่าห้องเหล่านี้ล้วนอยู่ใต้ดินจึงอาจมีการใช้งานที่ต่างออกไป
เมื่อเทียบกับชั้นข้างบน กลิ่นอายพลังเวทที่ลอยในอากาศเข้มข้นมากขึ้น แสงจากอักขระที่สลักอยู่ก็เรืองสว่างชัดขึ้นเช่นกัน
บริเวณอาจกว้างขึ้นแต่รายละเอียดกลับเรียบง่ายมากกว่าชั้นหนึ่ง จึงทำให้การสำรวจเสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว
แล้วคณะสำรวจลงสู่ชั้นใต้ดินที่สาม
&
เมื่อเข้าสู่ดินแดนครามส์ร่างปริศนาที่เชืองช้าก็เคลื่อนตัวรวดเร็วมากขึ้น เฉกเช่นนักเดินทางที่เข้าใกล้จุดหมาย
&
โบรารณสถานใต้ดินชั้นที่สามเรียบง่ายกว่าที่เฟลิซีคาดคิดเอาไว้มาก เป็นเพียงห้องโถงสูงกว้างกับทางเดินลงสู่ชั้นใต้ดินที่สี่
อักขระเรืองแสงเด่นชัด กลิ่นอายพลังเวทคละคลุ้ง บ่งบอกว่าคณะสำรวจเข้าใกล้ต้นตอแหล่งพลังเวทมากยิ่งขึ้นทุกที
เฟลิซีใช้ความคิดระหว่างคัดลอกอักขระที่เธอพบเจอระหว่างทาง
คณะสำรวจใช้เวลามาพอสมควร แม้จะรีบเดินทางกลับขึ้นพื้นดินก็คงมืดค่ำ ทางที่ดีจึงควรย้อนกลับไปจัดที่พักแรมบริเวณชั้นใต้ดินที่สองของโบราณสถาน
อย่างไรเสียยังพอมีเวลาเหลืออยู่กับการสำรวจ นั่นเพราะทุกชั้นใต้ดินที่ลึกลงไป สถาปัตยกรรมกลับยิ่งเรียบง่ายมากขึ้น อาจเป็นไปได้ที่จะสำรวจลงไปถึงชั้นที่ลึกที่สุดอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าเฟลิซีจะตัดสินใจอย่างไรซิลวานก็ไม่คัดค้าน หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่อีกสักพัก เฟลิซีก็ตัดสินใจนำคณะสำรวจเดินทางลงสู่ชั้นใต้ดินที่สี่
&
หน้าทางเข้าโบราณสถานยามค่ำคืน
บรรดาลูกเรือที่เหลือต่างตั้งค่ายพักแรม พร้อมทั้งตั้งเวรยามโดยรอบ
นั่นเพราะกลิ่นอายเวทมนตร์เป็นสิ่งยั่วยวนสำหรับเหล่าสัตว์อสูร และพวกเขาไม่อาจมั่นใจได้ได้ว่าจะมีสัตว์อสูรมากน้อยถูกดึงดูดให้เข้ามา
เนื่องจากทั้งซิลวานกับซีพิร่าต่างเข้าร่วมการสำรวจซากโบราณสถาน ผู้ที่มีอำนาจสั่งการในตอนนี้คือนายทหารที่ชื่อทีเรีย และก็มีเสียงหนึ่งดังเล็ดรอดเข้ามาให้ทีเรียรู้สึกถึงความผิดปกติ
&
โบราณสถานชั้นใต้ดินที่สี่ผิดกันที่เฟลิซีคาดคิดเอาไว้ นั่นเพราะไม่ว่าจะมองไปทางใด้นางก็พบกับอักขระที่มีความซับซ้อนมากเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น และยังมีอาณาบริเวณที่กว้างขวางยิ่งกว่าชั้นที่ผ่านมาเป็นหลายเท่า
สถานที่นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไรกัน? แล้วจะความว่างเปล่าท่ามกลางห้องโถงอันโอ่อ่า? ที่ผิดแปลกที่สุดคือการที่ไม่มีสัตว์อสูรถูกดึงดูดเข้ามาทำรังแม้แต่สัตว์ตัวเล็ก ทั้งที่มีกลิ่นอายพลังเวทอย่างเข้มข้น
แสงที่เรืองจากบรรดาอักขระสลักเจิดจ้าราวกับอยู่ในช่วงเวลากลางวันทำให้เฟลิซีเลือกที่จะดำเนินการสำรวจต่อไป
&
เมฆเคลื่อนตัวเข้าบดบังแสงจันทร์ ร่างปริศนามุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด เส้นทางที่ร่างนี้ย่างผ่านทิ้งร่องรอยให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่หลงเหลือลูกเรือที่คอยลาดตระเวนตรวจตา
สาเหตุการหายตัวของลูกเรือแต่ละตนต่างกันไปบ้าง แต่ผลลัพธ์โดยรวมคือไม่มีผู้ใดเหลือขัดขวางร่างปริศนา ร่างของนายทหารทีเรียซูบซีดไร้ชีวิตก่อนจะแตกละเอียดเป็นผุยผงกระจายไปกับอากาศ
ทุกสิ่งที่ขวางทางล้วนกลายเป็นเถ้าทุลี ไอพลังเวทที่แฝงอยู่ในอากาศกระตุ้นให้ความทรงจำเมื่อหนึ่งพันปีทีแล้วหวนย้อนคืนมา
“เดรน”
เสียงเปล่งออกเพื่อกำจัดเสี้ยมหนามขวางหน้าเผยตัวตนของร่างปริศนา
&
แสงเรืองจากอักขระบนเพดานส่องสลัวกระพริบขึ้น ส่งผลให้เฟลิซีหยุดชะงักเงยหน้ามองขึ้นไปอย่างสับสน
ซิลวานมองสำรวจรอบตัวก่อนจะหยุดจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง
เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในบรรยากาศ ทว่าคณะสำรวจไม่สามารถระบุถึงสิ่งที่ผิดแปลก ทว่าบางสิ่งที่ไม่อาจเห็นด้วยตากำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
นี่เป็นเสียงลางสังหรณ์กรีดร้องเตือนถึงภยันตรายที่กำลังคืบคลาน
“ฉัตร”
เฟลิซีเอ่ยออกพลางกุมแหวนที่ประดับอัญมณีเอาไว้
แสงในโบราณสถานเริ่มกระพริบถี่ขึ้นลงก่อนจะดับทิ้งให้ความมืดเข้าปกคลุม
&
อินกองสะดุ้งตัวขึ้นลืมตาเหงื่อแตกพลั่กราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เขาก้มลงมองจี้หอยคอที่กำลังร้อนผ่าวก่อนจะรีบลุกขึ้นในทันที
ประกายแสงที่เคยส่องออกจากอัตสุภูติราตรีหายไป ทิ้งเพียงก้อนศิลาดำทมิฬ
เพราะอะไร?
อินกองไม่เสียเวลาคิดเพิ่มเติม เขาเรียกโล่ไวท์อีเกิ้ลพร้อมออกเดินทาง
&
โดยบังเอิญหรือคาดคิดไว้
จะเหตุอันใดก็พัวพัน
จะการวางแผนของอาชาแห่งอาสัญ
จะความหุนหันของอาชาแห่งรณการ
ณ เขตแดนที่ลืมเลือน…
สิ้นเสียงเตือนยามวิกาล
ทุพภิกขภัยเข้าคืบคลาน
เสียงโบราณกาลพึมพำ
จบบทที่ 24 – มรสุม เริ่มบทที่ 25 – ปลดปล่อย