การแยกตัวไปของเฟลิซีสร้างช่องโหว่ให้กับคณะของอินกองเป็นอย่างมาก นั่นเพราะนางเป็นผู้ที่คอยสร้างสีสันให้กับคณะ
แน่นอนว่าเดเลียองครักษ์ของเฟลิซีย่อมติดตามเจ้านาย เคทลินพร้อมเซร่าร่วมเดินทางไปส่งเฟลิซีที่ค่ายกลเคลื่อนมิติประจำหัวเมืองทาก้า รวมแล้วคณะของอินกองในตอนนี้ขาดสมาชิกไปถึงสี่ชีวิต
ในวันแรกที่เฟลิซีจากไปบรรยากาศที่ป้อมปราการที่สี่ค่อนข้างเหงาหงอย ในวันที่สองยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นจนรู้สึกหดหู่ และในวันที่สามยิ่งตอกย้ำอินกองให้เห็นถึงความสำคัญของเฟลิซีมากยิ่งขึ้นไปอีก
‘นี่เรา… พึ่งพานางมากกว่าที่คิดแฮะ’
ไม่ใช่การพึ่งพาในตัวบุคคล แต่เป็นการพึ่งพาด้านสภาพจิตใจ เมื่อคิดย้อนกลับไปครั้งภารกิจปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด อินกองไม่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเพิ่มพูนจนสนิทสนมกันได้เพียงนี้
เขารู้สึกโชคดีมากที่ได้เฟลิซีมาเป็นพรรคพวก
อินกองผ่านชัยชนะมาทั้งหมดหลายครั้ง ในบรรดาชัยชนะเหล่านี้ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดก็มากโข ยิ่งในการต่อสู้ครั้งล่าสุด เขาเกือบตายจากการโจมตีของราชาเคราโตสเกินกว่าจะนับ
ตั้งแต่ที่อินกองเข้าสู่แดนโลกมารเขาก็ต้องดิ้นรนมาตลอด ที่เขายังคงสติอยู่ไม่เป็นบ้าไปเสียต้องขอบคุณเหล่าพวกพ้องที่พบเจอตลอดการเดินทาง บุคคลเหล่านี้ช่วยยึดสติ ช่วยให้อินกองมีกำลังใจก้าวสู่เป้าหมาย
หากขาดสมาชิกกลุ่มนี้คอยเคียงข้าง แม้จะมีพลังพระเอกแต่อินกองก็คงถูกพลังอาณัติกลืนกินจนสูญเสียตัวตน มีสภาพไม่ต่างจากอาชาแห่งทูตโลกาวินาศตนอื่น
“นี่แกจะเป็นลูกแหง่อีกนานแค่ไหนกัน?”
คารัคถามระหว่างเดินเข้าหาอินกอง เขาหันไปตอบมันทั้งน้ำตาคลอเบ้า
“เปล่า… ผมก็แค่คิดว่าคารัคสำคัญกับผมมากขนาดไหน อย่าได้ทิ้งผมไป พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอด… ใช่ไหม?”
อินกองเขย่งตัวขึ้นเพื่อใช้มือแตะบ่าเจ้าออร์ค การกระทำอันผิดแปลกทำให้คารัคก้าวถอยหลังตั้งท่าป้องกัน
“นี่แก… โดนมนต์สะกด?”
“ให้เป็นพันธะสัญญาระหว่างเรา”
เจ้าชายมองทหารออร์คทั้งน้ำตา นั่นทำให้คารัคถอนหายใจก่อนทุบออกตอบด้วยสีหน้าตั้งมั่น
“ฮ่า… ในเมื่อเป็นคำสั่งก็ช่วยไม่ได้ อันที่จริงกับองค์ชาย ข้าก็…”
คารัคขยิบตาอย่างมีเลศนัย อินกองถึงกับสะดุ้งกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว ตอนนี้อินกองอยู่ระหว่างการฝึกทำให้มิได้สวมเสื้อ เขารีบใช้มือพยายามปิดบังร่างกาย
“ถ ถอยออกไปเลย แก! สายตาแบบนั้น… ไม่ชอบมาพากล… ”
คารัคมีบรรดาหญิงสาวเข้ามาชื่นชอบ ทั้งเดเลีย เซร่า ดาฟเน่ กัมมะ แต่มันกลับมิได้แสดงท่าทีชอบพอจริงจังกับใคร บางทีมันอาจจะมีรสนิยมที่ผิดแปลก
คารัคยักไหล่ให้กับท่าทีของอินกอง
“ล้อเล่น ข้าล้อเล่นนะ แล้วก็วางใจได้ ข้าจะภักดีกับองค์ชายจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ ข้าจะไม่ทิ้งแกไปไหนตราบจนวาระสุดท้าย”
คารัคกล่าวพร้อมกำหมัดแสดงสัญลักษณ์บางอย่าง เป็นสัญลักษณ์ที่อินกองไม่รู้จักแต่พอคาดเดาความหมายได้ เพราะคารัคเคยแสดงความภักดีให้เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว ในการต่อสู่กับสาวกแห่งอาสัญที่ปราสาทธันเดอร์ดูม คารัคอาจตายได้ในทุกย่างก้าวแต่แทนที่จะโกรธ เกลียด หรือเคียดแค้น มันกลับรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถช่วยให้อินกองรอดจากวิกฤติ
“แล้วนี่แกมาทำอะไรคนเดียวตรงนี้?”
คารัคพูดตัดการรำลึกความหลังของอินกอง
“อ่า ผมฝึกอะไรนิดหน่อย แค่ปกติจะไม่ได้ฝึกในช่วงเวลานี้”
ที่ผ่านมาอินกองใช้ช่วงเวลาก่อนนอนฝึกอ่านเขียนอักขระภาษาดวอร์ฟบางครั้งก็ภาษามังกร แต่ในครั้งนี้เขาทำบางสิ่งที่ต่างไป
‘ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว’
ทักษะพัฒนาขึ้นจากการใช้ซ้ำหลายรอบ พลังพระเอกช่วยให้สามารถเรียนรู้ทักษะได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่ระดับความชำนาญของทักษะกลับมิได้มากขั้นนัก อินกองจึงต้องแบ่งเวลาเพื่อฝึกฝนพัฒนาระดับขั้น
การฝึกในครั้งนี้คือการเรียกใช้ลมปราณกับพลังเวท เรียกใช้พลังขั้วตรงข้ามกันซ้ำไปมาในเวลาสั้นส่งผลให้อินกองเหงื่อแตกพลั่ก
“เจ้าชายมีความมุ่งมั่นที่แรงกล้าจริงๆ ทั้งที่แข็งแกร่งอยู่แล้วแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้นทวีคูณขึ้นไปอีก วิธีการฝึกฝนก็เรียกว่าบ้าบิ่นสิ้นดี ข้าไม่เคยเห็นใครฝึกฝนด้วยวิธีแบบนี้มาก่อนในชีวิต”
คารัคพึมพำออกมาอย่างชื่นชม แน่นอนว่าของวิเศษมีส่วนช่วยในการเติบโตของอินกอง แต่ลำพังเพียงของวิเศษก็ไม่อาจส่งผลได้ถึงเพียงนี้
ระหว่างที่คารัคกำลังชื่นชมเจ้านาย อินกองก็จ้องมองแขนของตนพร้อมครุ่นคิดบางสิ่ง
“องค์ชาย?”
อินกองไม่สนใจเสียงทักท้วงจากองครักษ์ เขาบีบเค้นลมปราณให้ออกมาในลักษณะเช่นมีด สบัดเฉือนไปยังแขนที่จ้องมองก่อนจะเลียเลือดที่ไหลรินออกมาท่ามกลางสายตาฉงนขององครักษ์ส่วนตัว
“อร่อยมาก นี่มันอร่อยสุดๆไปเลย”
คารัคถึงกับผงะก้าวถอยออก เจ้าชายที่มุ่งมั่นกลายเป็นบุคคลเสียสติในพริบตา ท่ามกลางเสียหัวเราะของเจ้าชายที่จิบเลือดตนเอง ผิวสีเขียวของออร์คก็ซีดลงกับภาพเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน
“องค์ชาย… ข้าเปิดโลกทัศน์กว้างขึ้นอีกครั้ง แกหัวเราะให้กับความเจ็บปวด… จากบาดแผลที่สร้างขึ้นเองกับตนเอง”
“เลิกพูดบ้าๆแล้วลองชิมดูดีกว่า”
อินกองนำแก้วทรงสูงออกมารองเลือดรินแล้วยื่นให้คารัค เจ้าออร์คเปลี่ยนสีหน้า มันเตรียมใจก่อนรับแก้วมายกดื่มพร้อมกับประหลาดใจอย่างหาที่สุดมิได้
“นี่มันเป็นเรื่องบ้าอะไรกัน?”
ไม่สามารถสรรหาคำใดมาบรรยายรสชาดนี้ได้นอกจากอร่อย โดยปกติเลือดจะมีรสชาดที่ออกเค็ม ฝาด และมีกลิ่นโลหะเจือปน ทว่าของเหลวสีแดงที่คารัคเพิ่งจิบกลับหอมหวาน ให้ความรู้สึกสดชื่น
อินกองใช้เวทมนตร์สมานบาดแผลที่แขนพลางอธิบาย
“พอเคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างว่าคนธรรพ์เป็นเผ่าพันธ์ุที่มีกลิ่นอบอวล เมื่อครู่ระหว่างฝึกฝนพลังเวทผมเผลอกลืนเหงื่อตัวเอง… แต่มันกลับมีรสออกหวาน ผมก็เลยลองผสมพลังเวทเข้ากับเลือดตัวเองดู”
คารัคกะพริบตาพยายามทำความเข้าใจคำอธิบายที่ได้รับซ้ำไปซ้ำมา ทว่าแม้แต่สมองอันชาญฉลาดของเจ้าออร์คกลับยังคงงงงวย
อินกองยังคงอธิบายต่อไป
“ของเหลวอื่นมีรสหวานมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณพลังเวท… แต่ที่สามารถผสานพลังเวทเข้าได้มากที่สุดและง่ายที่สุดก็คือเลือด อาจจะด้วยที่ว่าเป็นของเหลวที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต”
“เอ่อ… องค์ชายจะบอกว่าทุกส่วนของแก… อร่อย?”
ไม่ใช่แค่เลือด แต่รวมไปถึงเหงื่อ แม้กระทั่งน้ำลาย?
อินกองพยักหน้ารับ
“ทั้งใช่และไม่ใช่ ผมต้องผสานพลังเวทเข้าไปด้วย ตอนแรกเริ่มมันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนี้ อาจเป็นเพราะแก่นมังกรในตัวผมสำแดงพลังออกมามากขึ้น”
โลหิตคนธรรพ์มิได้มีรสชาดหอมหวาน ในกรณีของอินกองอาจเรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่างผสมกัน
“แบบนี้แกก็ไม่ต้องกลัวเรื่องอดตายละ”
อินกองพยักหน้ารับอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นช่วยคุ้มกันผมให้ดีด้วย เราจะได้อยู๋ด้วยกันไปอีกนาน”
“ข้าเชื่อในคำพูดขององค์ชาย”
คารัคหัวเราะออกมาพลางส่งแก้วคืน มันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามเพิ่ม
“เรื่องนั้น… องค์ชาย แกคิดจะเสาะหาคนธรรพ์ตนอื่นบ้างไหม?”
เครือญาติทางฝั่งแม่ของฉัตรคือเหล่าคนธรรพ์
จากข้อมูลที่รับรู้ บรรดาคนธรรพ์ถูกเนรเทศทั้งเผ่าไปยังเขตแดนหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่คุมขัง มีเพียงอินกองเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ส่วนเรื่องความผิดบาปอันเป็นสาเหตุของการเนรเทศยังคงเป็นปริศนา การลงโทษล่วงเลยมาร่วมทศวรรษบ่งบอกว่าเป็นความผิดร้ายแรง แต่การที่บทลงโทษเป็นการเนรเทศและคุมขังแสดงว่าไม่เกินเยียวยา บางทีการที่เจ้าชายฉัตรเป็นข้อยกเว้นอาจเป็นโอกาสสำหรับการอภัยโทษ
อินกองไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเหล่าคนธรรพ์ ไม่แม้กระทั้งกับพระมารดาของเจ้าชายฉัตร ต่างจากกับเคทลินหรือเฟลิซีที่เขารู้สึกผูกพันธ์ด้วย ทว่าเมื่อครุ่นคิดเขากลับรู้สึกโหยหา หรือเป็นเพราะร่างนี้เป็นของฉัตร? เป็นความโหยหาของสายเลือดคนธรรพ์ในตัว
อินกองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“บางทีนะ ถ้าร้องขอนิรโทษกรรมได้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
อินกองรู้จากคริสต์กับราชินีเอเลนว่ายังพอมีความเป็นไปได้อยู่
“นั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไร”
“ก็นะ แต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แค่ต้องพยายามสร้างผลงานความดีความชอบเพิ่มไปเรื่อยๆ”
อินกองยิ้มออกในที่สุด คารัคยื่นกำปั้นออกมาชนกับเขา
“อย่าหมดหวัง”
“แน่นอน”
หลังจากชนกำปั้นกับคารัค อินกองก็มองผ่านหน้าต่างออกไปยังหิมะที่ร่วงโรยภายนอก
“ใกล้จะหมดปีแล้วสินะ”
ภูมิอากาศของแต่ละเขตล้วนแตกต่างกัน หิมะจึงมิใช่สัญญาณของการสิ้นปี ยิ่งจริงในดินแดนหิมะตกเป็นระยะตลอดเวลาอย่างเอเวียง อย่างไรเสียช่วงนี้ก็เป็นระยะเวลาเข้าใกล้ปีใหม่ในอีกไม่เกินเดือน
เข้าสู่ปี 513 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
อินกองอดคิดถึงดินแดนในทางใต้เสียมิได้
ล็อคค์กำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้? บางทีอาจกำลังเรียนรู้บทสวดบทหลวงในโบสถ์สักแห่ง?
จุดเริ่มต้นของล็อคค์ดำเนินในปี 514 หมายความว่ามีเวลาเหลืออีกหนึ่งปีสำหรับเตรียมพบกับล็อคค์
อินกองใช้ความคิดผ่านทิวทัศน์หิมะตกที่กองสุมสูงขึ้นทีละน้อย
&
ในทันทีที่เฟลิซีย่างก้าวออกจากค่ายกลเคลื่อนมิติ ใบหน้าของซิลวานก็คือสิ่งแรกที่หล่อนเห็น
ซิลวานกางมือออกพลางโผเข้ากอด
“ลิซซี่! ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อย โปรดช่วยเติมเต็มความโหยหาที่ห่างเหินไปที?”
เจ้าชายแห่งเหล่าเอลฟ์รัตติกาลผู้มีรูปโฉมที่งดงาม เอ่ยออกมาอย่างกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ไหว
หากแต่สำหรับเฟลิซีแล้ว ท่าทีเหล่านี่ไม่ต่างจากพวกโรคจิต นางเบี่ยงตัวหลบการจู่โจมที่พุ่งเข้ามาของซิลวานอย่างไม่แยแส
“ไม่เอาน่า!”
หากความอายสามารถถึงตาย เฟลิซีคงผ่านความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นางอดสงสัยทุกครั้งว่าซิลวานไม่รู้สึกอายต่อสายตารอบข้างบ้างหรือ?
เฟลิซีถอนหายใจแล้วหันไปสบตากับซีพิร่า
“ปวงข้าพระพุทธเจ้าน้อมรับเสด็จองค์รัชทายาท บรรดาลูกเรือเพลิงมังกรทมิฬต่างคุ้นเคยกับท่าที่ของเจ้าชายเป็นอย่างดี องค์รัชทายาทอย่าได้ทรงวิตกเพคะ”
“ไม่ต้องกังวล? แล้วก็อย่าคุ้นเคยจนชินชา!”
เฟลิซีร้องโวยวายแต่การกลับกลายเป็นว่าเรียกเสียงขบขัน ทว่ามีบางส่วนที่เข้าใจและมองนางอย่างเวทนา
เฟลิซีถอนหายใจอีกหลายครั้ง ก่อนตัดสินใจคุยกับซิลวานในที่สุด
“แล้ว ได้อะไรบ้าง?”
ซิลวานแสดงท่าทีห่อเหี่ยวให้กับน้ำเสียงเย็นชา แววตาราวกับลูกหมาที่โดนทอดทิ้งทำให้เฟลิซียอมแพ้ในที่สุด
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ววว มานี่มา”
เฟลิซีกล่าวเรียกอย่างเสียงไม่ได้แล้วสวมกอดซิลวาน นั่นทำให้เจ้าชายลำดับที่ห้ากลับมายิ้มในทันที
“ยังสบายดีใช่ไหม?”
“ฮยองสบายดี มีเรื่องฉิวเฉียดนิดหน่อยแต่ก็รอดมาอย่างปลอดภัย”
แม้เฟลิซีจะผ่านการต่อสู้ในฐานะสมาชิกคณะอินกองมาหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยสนับสนุนและหมดสภาพไปการการใช้เวทมนตร์จนเกินตัว น้อยครั้งที่นางเข้าไปอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงกลางสมรภูมิ
“ฉิวเฉียด?”
เฟลิซีซักอย่างสนใจ ซิลวานหัวเราะออกพลางชักดาบที่ได้รับจากช่างฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโลกมาร
“หึหึหึ ถึงศัตรูจะร้ายกาจสักเพียงไรก็ไม่อาจเทียบเคียงซิลวานผู้นี้ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยดาบเล่มนี้ที่ตีขึ้นโดยอมิตาภาและเต็มไปด้วยความรักจากลิซ…”
“ไซเลนซ์”
เฟลิซีทนไม่ไหวจนร่ายเวทมนตร์ไร้เสียงขึ้นหยุดคำพูดของซิลวาน ก่อนหันไปลองถามจากลูกเรือ
“ซีพิร่า?”
“ขอบังคมทูลกราบรายงาน มีการต่อสู้เล็กน้อยแต่ต่อเนื่องยาวนานจำนวนมาก ยอดบาดเจ็บโดยรวมถือว่าเยอะ แต่อาการบาดเจ็บมีไม่มากสามารถเยียวยารักษาได้ด้วยเวทมนตร์สมานแผล”
“ข้าพระพุทธเจ้าได้รับข่าวสารว่าองค์รัชทายาททรงสร้างความสำเร็จมากล้น จึงคาดเดาว่าทรงยับยั่งการบุกของเหล่าชนเถื่อ… ”
“ก็นะ ฉันไม่ได้อยู่ลำพัง ฉัตรคือผู้ที่สร้างผลงานมากที่สุด”
เฟลิซีกางพัดขึ้นปิดปากกล่าวอย่างเขินอาย ซีพิร่าแสดงท่าทีชอบพอกับการแสดงออกของเฟลิซี ผิดกับซิลวาน
“ในส่วนของโบราณสถาน พวกเราค้นพบซากปรักหักพังกินบริเวณกว้าง โดยไอพลังเวทที่แผ่ออกมาจากทางเข้าจัดว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง”
“ไอพลังเวท?”
“ยิ่งไปกว่านั้นอักขระที่สลักไปตามจุดต่างๆยังคงรูป แถมยัง… สามารถเทียบเคียงได้กับอักขระที่พบบริเวณรังของพญามังกรไคทีน ณ ทะเลสาบสุรยันเลยทีเดียว”
ซีพิราประจำเตรียมบอกข้อมูลกับกัมมะนางจึงไม่ได้เห็นทะเลสาบสุริยัน แต่ลูกเรือที่เหลือเกือบทั้งหมดได้ร่วมสำรวจพร้อมอินกอง ข้อมูลเรื่องความใกล้เคียงจึงสามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง
“ทำถูกแล้วที่เรียกให้ฉันมา ยิ่งโดยเฉพาะพบอักขระเวทมนตร์โบราณ”
สายตาของเฟลิซีลุกโชนเป็นประกายในทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘อักขระ’ ซิลวานที่กลับมาส่งเสียงได้อีกครั้งกางมือออกเตรียมพร้อมสวมกอดน้องสาว
“งั้นลิซซี่ พร้อมไปวิ่งผจญภัยกับอปป้ารึยัง?”
“ฉันจะเดินสำรวจโดย ไม่วิ่ง”
เฟลิซีตอบอย่างจริงจัง ซิลวานหัวเราะก่อนหันไปตะโกนบอกบรรดาลูกเรือ
“เอาละ ทั้งหมดเข้าประจำที่ ถอนสมอ ท่องนภา!”
เสียงเครื่องยนต์เรือเพลิงมังกรทมิฬเริ่มดังเตรียมโลดเล่น เฟลิซีหัวเราะให้กับท่าทีอันกระตือรือร้นของซิลวานพลางเดินตามขึ้นเรือ