มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์อันอ่อนแอ.

 

  ยิ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์นี้ขาดคุณลักษณ์ในทุกด้าน

 

  คนธรรพ์กับเหล่าเอลฟ์มีรูปโฉมงดงามและอายุอันยืนยาว สุรกับชนมังกรมีเวทมนตร์และสายเลือดที่แกร่งกล้า โอเกอร์มีพละกำลังที่ไม่มีเผ่าใดเทียมทาน ไลแคนโทรปกับออร์คขึ้นชื่อในเรื่องความทรหดเดนตาย อีกหลายเผ่าพันธุ์ต่างก็มีคุณลักษณ์อันเป็นหนึ่งเฉพาะตน 

 

  กลับมาพิจารณามนุษย์อีกครั้ง เผ่าพันธุ์นี้ไม่มีคุณลักษณะอันใดเลยที่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น

 

  อายุขัยที่น้อยกว่าเผ่าพันธุ์เกินครึ่งของโลกมาร ร่างกายเปราะบางที่แม้จะสร้างเสริมพละกำลังเพียงใดก็มิอาจเทียมทานโอเกอร์ อ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับออร์คหรือไลแคนโทรป

 

  แต่อย่างไรเสียครึ่งหนึ่งของโลกกลับอยู่ใต้การปกครองของมนุษย์ และมนุษย์ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรจำนวนมากที่สุดอีกด้วย เพราะเหตุใดกัน?

 

  มนุษย์มีสติปัญญาที่เหนือกว่าออร์คและโอเกอร์ มีพละกำลังมากกว่าเอลฟ์และคนธรรพ์ มีการสืบพันธุ์ที่เหนือกว่าสุร

 

  นอกจากนี้ในบางครั้ง มนุษย์ก็จะกำเนิดทายาทที่มีลักษณะผิดแปลกออกไป อาจเรียกได้ว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์มีเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น

 

  ตัวตนที่กำเนิดจากมนุษย์แต่อยู่เหนือมนุษย์ จุดสูงสุดของมนุษย์ที่สามารถใกล้เคียงพระเจ้า

 

  ตัวตนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในทุกเผ่าพันธุ์

  วีรชนผู้กล้า

 

&

 

  หลังจากที่คณะของอินกองกู้คืนป้อมปราการลำดับที่สี่ เวลาก็ผ่านได้ห้าวัน

 

  การซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างยังคงดำเนินไปอย่างเบื่อหน่าย สิ่งที่เร่งรัดมากที่สุดคือกำแพงป้อม

 

  ทรัพยากรหลากหลายถูกขนส่งมาจากเมืองทาก้า ทว่าสาเหตุที่การซ่อมแซมเป็นไปอย่างเร่งรีบมาจากภูมิอากาศที่กำลังใกล้เข้ามา หากอากาศอันหนาวเหน็บที่สุดมาเยือน การก่อสร้างจำเป็นต้องระงับเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

 

  ทว่าการซ่อมแซมก็มิได้ราบรื่น บรรดาชนเถื่อนอาจสูญเสียราชากับพวกพ้องไปร่วมหมื่นแต่การคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะล่าถอยเรียกได้ว่าหละหลวม แวนเดลนำกำลังพลคอยตรวจตราลาดประเวนเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

 

  ผู้บัญชาการอย่างคัปลานกับเอลิตาต่างก็มีภาระหน้าที่ของตน มีเพียงอินกองที่ไม่รู้ว่าเขาควรทำอะไรเนื่องจากสิ่งที่เขาเพ่งเล็งต่างมีบุคคลกระทำเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้เขาตัดสินใจใช้เวลานี้ในการซ้อมมือกับเคทลิน พร้อมทั้งศึกษาเวทมนตร์เพิ่มเติมจากเฟลิซี จุดประสงค์หลักเพื่อผสานเวทมนตร์เข้ากับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น

 

“อย่าคิดจะพูดเรื่องนักดาบเวทอะไรนี่กับใครเชียวนะ โดยเฉพาะองค์ชายซิลวาน”

“ทำไมถึงเฉพาะเจาะจงซิลวาน?”

“นี่แกต้องถามด้วยเรอะ?”

 

  ท่าทีของเจ้าออร์คทำให้อินกองรับฟังคำแนะนำอันบริสุทธิ์ใจของมันเอาไว้ คำว่า ‘นักดาบเวท’ คงต้องเก็บเข้ากรุ

 

  สองวันถัดมาอมิตาภาก็ทำชุดรบสำหรับเดเลียเสร็จสิ้น การบูรณะกำแพงสามารถติดตั้งประตูป้อมได้เสร็จสิ้น กำลังพลที่แวนเดลนำลาดตระเวนสามารถสกัดชนเถื่อนที่ซ่องสุมกองกำลังไว้ได้

 

  นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจากนาตาช่า

 

“ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ได้จากการเค้นปากคำเพคะ”

 

  นาตาช่าใช้เวลาร่วมสัปดาห์ในการเค้นข้อมูลจากชนเถื่อนที่พวกเขาจับเป็นเชลย ถึงแม้ราชาชนเถื่อนจะถูกกำจัด แต่คณะของอินกองก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ

 

  โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของเคราโตสที่ผิดแปลกไปจากความทรงจำของอินกอง หากไม่พึ่งพาหมวกมังกรทองแห่งราชาแล้วเคราโตสรวบรวมชนเถื่อนได้อย่างไร? มิหนำซ้ำเคราโตสได้รับพลังของรณการมาเมื่อไร?

 

  แน่นอนว่าพลทหารระดับล่างไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้ ทว่าเชลยศึกที่พวกเขาจับตัวไว้ต่างออกไป

 

  เพราโตส ผู้เป็นน้องชายของเคราโตส

 

  แน่นอนว่าอินกองไม่สามารถเบนความสนใจไปยังเพราโตสท่ามกลางความวุ่นวายของการรบ แต่อินกองมิได้เป็นผู้เดียวที่อยู่ในการรบนั้น หลังจากที่เคราโตสตาย แวนเดลใช้โอกาสนั้นนำกำลังพลเข้าบุกจับตัวเพราโตสเอาไว้ได้

 

  แน่นอนว่าชนเถื่อนระดับเพราโตสเลือกที่จะตายมากเสียกว่าทรยศเผ่าพันธุ์ตนเอง ทั้งการพยายามหลบหนี ฆ่าตัวตาย ตัดลิ้น และอีกมากมาย อินกองมีเพียงความฉงนซึ่งวิธีการที่นาตาช่าใช้รีดข้อมูลออกมา

 

‘นาง… ใช้วิธีอะไรกัน?’

 

  อินกองไม่คิดว่าความรุนแรงจะได้ผลกับชนเถื่อนที่คุ้นเคยกับการทรมาน บางทีอาจจะเป็นเวทมนตร์ล่อลวงของเผ่าแมร์?

 

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ?”

 

  นาตาช่ากล่าวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่อินกองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ม ไม่มีอะไร เพราโตสถูกขังอยู่ในคุกใช่ไหม?”

“ถูกต้องเพคะ ใต้ฝ่าพระบาทต้องการตัวเพราโตสหรือเพคะ?”

 

  อินกองพยักหน้า เขารู้สึกว่าท่าทีของนาตาช่าไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเห็นอะไรบางอย่างในคุก

 

“นี่แกแอบซ่อนอะไรไว้?”

 

  สติปัญญาอันเฉียบแหลมของเจ้าออร์คถามแทรกขึ้นมา นาตาช่าหรี่ตามองมันอย่างไม่ชอบใจครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนท่าทีหลังจากระลึกได้ว่านางอยู่ต่อหน้าอินกอง

 

“ใต้ฝ่าพระบาททรงอย่าได้วิตก ไม่มีปัญหาอะไรในคุกใต้ดินเพคะ เพียงแต่สถานภาพของตัวเชลย… ”

“ตัวเชลย?”

“นั่น… เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับข้าพระพุทธเจ้าเพคะ”

 

  นาตาช่าตอบด้วยสีน่าแดงระเรื่อ ท่าทีของทำให้อินกองอยากรู้มากยิ่งขึ้น

 

“ได้โปรด”

“จะน่าอายอะไร ยังไงข้าก็ไปด้วย”

 

  เจ้าออร์คขัดนาตาช่าอีกครั้ง แต่อย่างไรเสียนั่นก็ทำให้ท่าทีเขินอายของนางหายไป จากนั้นนางจึงนำทั้งสองไปยังคุกที่คุมขังเพราโตส

 

  แตกต่างจากภาพลักษณ์กำแพงที่ดูแน่นหนาจากภายนอก ด้านในของคุกค่อนข้างเรียบง่าย เนื่องจากเป็นคุกใต้ดินทำให้ยากแก่การทำลายเพื่อลบหนี

 

‘นี่มัน… โคตรสะอาด’

 

  นาตาช่าเดินนำอินกองกับคารัคผ่านห้องคุมขัง ภายในมีเชลยชนเถื่อนถูกตรวนมัดแขวนไว้กับกำแพง

 

“ที่นี่จะให้อาหารนักโทษแค่ 2 วันครั้งเดียว การลดอาหารทำให้ลดแรง ลดปัญหา”

 

  คารัคพูดอธิบายอินกอง อาจฟังดูไร้มนุษยธรรมแต่ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ โลกมารย่อมมีกฏเกณฑ์ในแบบของโลกมาร

 

“ทางนี้เพคะ”

 

  ห้องขังของเพราโตสเป็นห้องเดี่ยว หลังจากเปิดประตูที่หนักก็พบเพราโตสถูกโซ่ล่ามขานั่งอยู่บนเก้าอี้

 

“ดูยังกับไม่มีวิญญาณยังไงยังงั้น”

 

  คารัคพูดออกมาอย่างตกตะลึง นั่นเพราะสีหน้าของเพราโตสดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึก นาตาช่าเอ่ยแผ่วเบาออกมา

 

“ข้าพระพุทธเจ้าใช้เวทมนตร์เสน่ห์ เชลยตนนี้จะตอบคำถามทุกอย่างโดยไม่มีการขัดขืนเพคะ”

 

  การแสดงออกของนาตาช่าทำให้อินกองคิดว่านางกำลังรู้สึกผิดในการใช้มนตร์เสน่ห์กับเพราโตส นั่นทำให้อินกองยิ่งแปลกใจมากขึ้น ซัคคุบัสซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยของเผ่าแมร์ขึ้นชื่อในเรื่องมนตร์เสน่ห์ เหตุการใช้มนตร์นี้จึงเป็นเรื่องน่าอาย?

 

  อินกองเลือกเมินข้อสงสัยของไว้ก่อน เขาเดินเข้าถามเพราโตสและก็ได้คำตอบในทันที

 

  เพราโตสตอบข้อมูลที่ควรจะเป็นความลับจนตายออกมาอย่างง่ายดาย

 

  ราชาชนเถื่อนรวบรวมชนเถื่อนเข้าด้วยพละกำลังที่แกร่งกล้าอันเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นคำตอบที่เพราโตสตอบออกมาจากใจ ถึงกระนั่นเมื่อซักเพิ่มเติมอินกองก็ได้รับข้อมูลบางอย่าง

 

“มีแขกที่น่าสงสัยมาจากดินแดนทางใต้ พวกเราชนเถื่อนไม่ใว้ใจพวกมัน แต่พี่ข้าแสดงท่าทางเลื่อมใส”

 

  แขกที่ว่ามาในชุดคลุมสีแดงแสดงท่าทีราวกับนักบวชลัทธิ ภายใต้ชุดคลุมมีการสวนใส่เกราะหนัง เพราโตสไม่สามารถระบุเพศได้ แขกเหล่านี้มาเยือนเมื่อราวหกเดือนที่แล้ว เป็นเวลาที่นานพอเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ในเขตโลกมาร

 

“พวกนั้นเดินทางไปยังทิศเหนือ ไม่มีใครกลับไปทางทิศใต้เลยสักคน”

 

  นี่เป็นข้อมูลเท่าที่เพราโตสรับรู้ อาจจะเป็นเพราะเพราโตสไม่ได้สนใจในตัวบุคคลปริศนาเหล่านี้ นั่นทำให้ความทรงจำของเพราโตสมีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาไม่มาก

 

‘ชุดคลุมสีแดง และมีชุดหนังสีแดงอยู่ภายใต้อีก’

 

  อินกองคาดคิดว่าหนึ่งในบุคคลปริศนานี้คืออาชาแห่งรณการ หรืออย่างน้อยก็เป็นขั้นสาวกแห่งรณการ

 

  สิ่งที่ทำให้อินกองประหลาดใจมากที่สุดคือข้อมูลที่ว่าทั้งหมดมาจากทิศใต้ นั่นเพราะดินแดนบริเวณนั้นนับว่าเป้นส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์

 

  หรืออาชาแห่งรณการจะเป็นมนุษย์? นั่นเป็นสิ่งที่อินกองมองข้ามมาตลอดและมีความเป็นไปได้สูง นั่นเพราะอินกองไม่รู้ถึงเงื่อนไขในการเป็นอาชา อาจไม่มีความจำเป็นที่อาชาจะต้องเป็นบุคคลจากโลกมาร บางทีอาชาแห่งรณการอาจมียศเช่นเดียวกับจีราด เป็นขุนนางจากโลกมนุษย์?

 

  อินกองวิตกกังวลกับข้อมูลที่เขามองข้ามมาตลอด ยิ่งคิดยิ่งทำให้เขาหนักใจ จนในที่สุดเขาก็เลิกคิดและออกจากคุกใต้ดิน

 

“ทำดีมาก”

 

  อินกองไม่ลืมที่จะกล่าวชมเชยนาตาช่า

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”

 

  นาตาช่ารับคำด้วยรอยยิ้มพร้อมท่าทีเขินอาย นี่ทำให้อินกองรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างนาตาช่าที่เขารู้จักจากในเกม กับนาตาช่าที่อยู่ตรงหน้า บางทีการเย็นชาจากในเกมเป็นเพราะนางตกเป็นทาส? เป็นเพราะแซเฟียร์?

 

‘เรื่องนั่นช่างมันเถอะ ยังไงนาตาช่าตอนนี้ก็แจ่มกว่าเยอะ’

 

  ยังมีปริศนาอีกมากมายสำหรับอินกอง แต่เขารับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาตาช่าราบรื่นมากกว่าในเกม

 

‘ถึงวิธีการจะออกแนวบังคับ… แต่ยังไงการสนับสนุนจากนางก็เยี่ยม’

 

  อินกองถอนหายใจก่อนหันไปทางนาตาช่า นางที่แอบชำเลืองมองอินกองรีบก้มหน้าหลบสายตา

 

“นี่มัน ข้ารู้สึกแย่สุดๆ”

 

  คารัคที่ตามติดทั้งสองแต่มีสภาพเสมือนไร้ตัวตนสบถออกมา ก่อนเดเลียที่กำลังเร่งรีบจะมาสมทบทั้งสาม

 

“ใต้ฝ่า… พระบาท… ”

 

  นางกล่าวด้วยอาการเหนี่อยหอบ อินกองไม่สนใจคารัคที่ส่งยิ้มให้เดเลียพร้อมรีบถาม

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

“องค์รัชทายาทรับสั่งมาว่ามีข้อความด่วนเพคะ”

“เฟลิซีนูนะ?”

“องค์รัชทายาททรงมีความจำเป็นจะต้องออกจากเมืองท้ากา พระองค์ทรงรออยู่ที่พลับพลาเพคะ”

 

  ท่าทีของเดเลียบ่งบอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน อินกองจึงบอกให้นาตาช่ากลับไปก่อนพร้อมรีบกลับกระโจมพร้อมคารัค

 

&

 

“มีข้อความมาจากซิลวาน ดูเหมือนว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ”

 

  เฟลิซีนั่งรออยู่ในกระโจมที่เขาใช้เป็นที่พักผ่อน นางบอกกล่าวทันทีที่เห็นอินกองเข้ามา อินกองเข้าไปนั่งเก้าอี้ก่อนเริ่มถามซัก

 

“เกิดปัญหาอะไรกับฮยองหรือครับ?”

“ก็นิดหน่อย? ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรก็แค่ ซิลวานค้นพ้บซากโบราณสถานบางอย่าง ก็แค่อยากให้ฉันไปช่วยในฐานะนักโบราณคดี”

 

  อินกองรีบนึกถึงความเป็นไปได้ของบริเวณที่ซิลวานอยู่ ถ้าเป็นซากโบราณสถานมันควรเป็นจุดที่อินกองมีประสบการณ์จากในเกม

 

‘แถวนั้นไม่น่าจะมีอะไรอันตรายนี่หว่า’

 

  อินกองพยายามนึกถึงภยันตรายแต่ก็คิดไม่ออก

 

  เฟลิซีพอจะเดาได้จากสีหน้าของอินกอง

 

“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก มันก็แค่ข้ออ้างเพราะฉันอยากไปเดินดูซากโบราณสถานนะ”

 

  อินกองพยายามคิดโดยเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของพี่น้องเอลฟ์รัตติกาลคู่นี้เข้าไปด้วย ทำให้เขาเข้าใจในที่สุด เฟลิซีลุกขึ้นทุบโต๊ะราวกับทนรอไม่ไหว

 

“บาบาเรี่ยนพวกนั้นไม่น่าจะกลับมาบุกให้ตายฟรีกันหรอกน่า แถมกำแพงเอเวียงก็ซ่อมเสร็จเกือบหมดแล้ว เพราะงั้นถ้าฉันแยกไปช่วยซิลวานก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ใช่มั้ย?”

 

  ผู้มีอำนาจตัดสินใจในภารกิจเอเวียงครั้งนี้คืออินกอง ถึงแม้เฟลิซีจะเป็นหนึ่งในว่าที่ทายาทจอมมาร นางก็ต้องขออนุญาจากอินกองในภารกิจครั้งนี้

 

  อินกองพยักหน้าในที่สุด

 

“เข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นนูนะรีบติดต่อมานะครับ ผมจะรีบไปช่วยให้เร็วที่สุด”

“ใช่ ใช่ กุลยุทธสายลมใช่มั้ย?”

 

  เฟลิซีขยิบตา อินกองอายเล็กน้อยเพราะชื่อที่เขาคิดมาอย่างชั่วคราวกลายเป็นชื่อกลยุทธไปเสียแล้ว

 

“เอาน่า งั้นฉันจะบอกอะไรให้เป็นพิเศษละกัน”

 

  เฟลิซีขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมเอื้อมมือไปจับจี้ห้อคออินกอง

 

“เธอรู้มั้ยทำไมฉันจึงให้จี้นี้?”

 

  จี้ที่ว่านี้คืออัสสุภูติราตรี ของรางวัลที่เฟลิซีมอบให้เขาจากครั้งเมื่อปฏิบัติการปราบกบฎเผ่าสายฟ้าชาด เฟลิซีขยับมือของนางเผยให้เห็นแหวนที่นางสวมอยู่

 

“อันที่จริงอัสสุภูติราตรีเป็นของคู่ระหว่างจี้ห้อยคอกับแหวน เมื่อใดก็ตามที่ผู้สวมใสเป็นอันตราย มันจะส่งสัญญาณให้คู่ของมันรับรู้”

 

  นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงข้อมูลอันนี้ นั่นเพราะแม้กระทั้งความทรงจำจากในเกม อัสสุภูติราตรีเป็นหนึ่งในของหายากที่เขามีโอกาสได้รับจากการสังหารเฟลิซี แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกเหนือจากนั้น

 

  เฟลิซีรีบโบกมือเมื่อเห็นว่าอินกองแสดงสีหน้าครุ่นคิด

 

“ที่ผ่านมาฉันอยู่ใกล้ฉัตรมาตลอด ฉะนั้นของวิเศษนี้ก็เลยไม่มีผลงานอะไร”

 

  ซึ่งเมื่อนึกย้อนกลับไป เหตุการณ์ที่อินกองตกอยู่ในอันตรายโดยห่างจากเฟลิซีก็มีเพียงการเผชิญหน้ากับเดรคโอเกอร์มุสตาฟา หลังจากนั้นเฟลิซีก็อยู่ใกล้เขามาโดยตลอด

 

“ฉันให้จี้กับฉัตรเป็นรางวัลเพราะว่า เมื่อไรฉัตรอยู่ในอันตรายฉันจะได้รีบไปช่วย”

 

  นั่นคือวิธีใช้งานที่แท้จริงของสิ่งวิเศษชิ้นนี้

 

“เพราะงั้นบางทีในครั้งนี้ ฉันอาจจะได้ใช้ของวิเศษนี้จริงๆก็ได้”

“เดี๋ยวสิครับ ไม่ใช่ว่านูนะเป็นฝ่ายอยู่ในอันตรายมากกว่าหรือครับ?”

“นั่นก็ต้องรอดู?”

 

  เฟลิซีหัวเราะพลางใช้พัดเคาะบ่าอินกอง

 

“ดูแลเคทดีๆละ”

“บอกฮยองให้ดูแลนูนะๆดีๆเหมือนกันนะครับ”

 

  คำพูดของอินกองทำให้เฟลิซีเสียหลัก

 

“เอาเป็นว่าฉันได้คำอนุญาตจากหัวหน้าภารกิจแล้ว เพราะฉะนั้นฉันไปละนะ”

“ตอนนี้เลยหรอครับ?”

“ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรอ แล้วก็เธอไม่ต้องรอส่งฉันหรอก ฉันวางแผนกับเคทลินว่าจะแวะไปทาก้าอยู่แล้ว”

 

  ในอีกนัยหนึ่ง เฟลิซีรู้อยู่แล้วว่าอินกองจะอนุญาต นางจึงเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวสิครับ ถ้าขนาดนี้นูนะจะขออนุญาตผมทำไม?”

 

  เฟลิซีหัวเราะอีกครั้ง นางเข้ามาสวมกอดอินกอง

 

“ฉันไปละนะ ฉัตร”

“เดินทางปลอดภัยครับ เฟลิซีนูนะ”

 

  เฟลิซีหยิกแก้มอินกองก่อนเดินออกจากกระโจม นางเดินอย่างรวดเร็วและสง่างามเช่นทุกครา

 

  อินกองจ้องมองจากด้านหลังของเฟลิซี

 

“หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นจริงๆนะ?”

 

  อินกองไม่รู้สึกถึงลางสังหรณ์อะไร นั่นทำให้ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น

 

  คารัคที่มองอยู่ห่างออกไปกระพริบตาก่อนจะถามอย่างลังเล

 

“องค์ชาย… แบบนี้จะดีจริงหรือ? ปล่อยองค์หญิงไปลำพังแบบนั้น? จะไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นแน่นะ?”

“นี่นายจะพูดแบบนั้นทำไม? อย่าแช่งไปซะทุกเรื่องสิ”

 

  แน่นอนว่าทั้งสองทำเพียงเพื่อหยอกล้อ อินกองมองผ่านหน้าต่างกระโจมออกไปข้างนอก เงาของเฟลิซีกับผู้ติดตามเดินออกจากค่ายที่พัก

 

‘ดูแลตัวเองดีๆนะ’

 

  อินกองอวยพรในใจพลางจดจ่อจ้องมองเฟลิซีที่ออกจากป้อมปราการ

 

 

ธงเอ๋ยธง จงขยันปักมันเข้าไป