มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์อันอ่อนแอ.
ยิ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์นี้ขาดคุณลักษณ์ในทุกด้าน
คนธรรพ์กับเหล่าเอลฟ์มีรูปโฉมงดงามและอายุอันยืนยาว สุรกับชนมังกรมีเวทมนตร์และสายเลือดที่แกร่งกล้า โอเกอร์มีพละกำลังที่ไม่มีเผ่าใดเทียมทาน ไลแคนโทรปกับออร์คขึ้นชื่อในเรื่องความทรหดเดนตาย อีกหลายเผ่าพันธุ์ต่างก็มีคุณลักษณ์อันเป็นหนึ่งเฉพาะตน
กลับมาพิจารณามนุษย์อีกครั้ง เผ่าพันธุ์นี้ไม่มีคุณลักษณะอันใดเลยที่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น
อายุขัยที่น้อยกว่าเผ่าพันธุ์เกินครึ่งของโลกมาร ร่างกายเปราะบางที่แม้จะสร้างเสริมพละกำลังเพียงใดก็มิอาจเทียมทานโอเกอร์ อ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับออร์คหรือไลแคนโทรป
แต่อย่างไรเสียครึ่งหนึ่งของโลกกลับอยู่ใต้การปกครองของมนุษย์ และมนุษย์ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรจำนวนมากที่สุดอีกด้วย เพราะเหตุใดกัน?
มนุษย์มีสติปัญญาที่เหนือกว่าออร์คและโอเกอร์ มีพละกำลังมากกว่าเอลฟ์และคนธรรพ์ มีการสืบพันธุ์ที่เหนือกว่าสุร
นอกจากนี้ในบางครั้ง มนุษย์ก็จะกำเนิดทายาทที่มีลักษณะผิดแปลกออกไป อาจเรียกได้ว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์มีเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น
ตัวตนที่กำเนิดจากมนุษย์แต่อยู่เหนือมนุษย์ จุดสูงสุดของมนุษย์ที่สามารถใกล้เคียงพระเจ้า
ตัวตนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในทุกเผ่าพันธุ์
วีรชนผู้กล้า
&
หลังจากที่คณะของอินกองกู้คืนป้อมปราการลำดับที่สี่ เวลาก็ผ่านได้ห้าวัน
การซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างยังคงดำเนินไปอย่างเบื่อหน่าย สิ่งที่เร่งรัดมากที่สุดคือกำแพงป้อม
ทรัพยากรหลากหลายถูกขนส่งมาจากเมืองทาก้า ทว่าสาเหตุที่การซ่อมแซมเป็นไปอย่างเร่งรีบมาจากภูมิอากาศที่กำลังใกล้เข้ามา หากอากาศอันหนาวเหน็บที่สุดมาเยือน การก่อสร้างจำเป็นต้องระงับเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ทว่าการซ่อมแซมก็มิได้ราบรื่น บรรดาชนเถื่อนอาจสูญเสียราชากับพวกพ้องไปร่วมหมื่นแต่การคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะล่าถอยเรียกได้ว่าหละหลวม แวนเดลนำกำลังพลคอยตรวจตราลาดประเวนเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ผู้บัญชาการอย่างคัปลานกับเอลิตาต่างก็มีภาระหน้าที่ของตน มีเพียงอินกองที่ไม่รู้ว่าเขาควรทำอะไรเนื่องจากสิ่งที่เขาเพ่งเล็งต่างมีบุคคลกระทำเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้เขาตัดสินใจใช้เวลานี้ในการซ้อมมือกับเคทลิน พร้อมทั้งศึกษาเวทมนตร์เพิ่มเติมจากเฟลิซี จุดประสงค์หลักเพื่อผสานเวทมนตร์เข้ากับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น
“อย่าคิดจะพูดเรื่องนักดาบเวทอะไรนี่กับใครเชียวนะ โดยเฉพาะองค์ชายซิลวาน”
“ทำไมถึงเฉพาะเจาะจงซิลวาน?”
“นี่แกต้องถามด้วยเรอะ?”
ท่าทีของเจ้าออร์คทำให้อินกองรับฟังคำแนะนำอันบริสุทธิ์ใจของมันเอาไว้ คำว่า ‘นักดาบเวท’ คงต้องเก็บเข้ากรุ
สองวันถัดมาอมิตาภาก็ทำชุดรบสำหรับเดเลียเสร็จสิ้น การบูรณะกำแพงสามารถติดตั้งประตูป้อมได้เสร็จสิ้น กำลังพลที่แวนเดลนำลาดตระเวนสามารถสกัดชนเถื่อนที่ซ่องสุมกองกำลังไว้ได้
นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจากนาตาช่า
“ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ได้จากการเค้นปากคำเพคะ”
นาตาช่าใช้เวลาร่วมสัปดาห์ในการเค้นข้อมูลจากชนเถื่อนที่พวกเขาจับเป็นเชลย ถึงแม้ราชาชนเถื่อนจะถูกกำจัด แต่คณะของอินกองก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของเคราโตสที่ผิดแปลกไปจากความทรงจำของอินกอง หากไม่พึ่งพาหมวกมังกรทองแห่งราชาแล้วเคราโตสรวบรวมชนเถื่อนได้อย่างไร? มิหนำซ้ำเคราโตสได้รับพลังของรณการมาเมื่อไร?
แน่นอนว่าพลทหารระดับล่างไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้ ทว่าเชลยศึกที่พวกเขาจับตัวไว้ต่างออกไป
เพราโตส ผู้เป็นน้องชายของเคราโตส
แน่นอนว่าอินกองไม่สามารถเบนความสนใจไปยังเพราโตสท่ามกลางความวุ่นวายของการรบ แต่อินกองมิได้เป็นผู้เดียวที่อยู่ในการรบนั้น หลังจากที่เคราโตสตาย แวนเดลใช้โอกาสนั้นนำกำลังพลเข้าบุกจับตัวเพราโตสเอาไว้ได้
แน่นอนว่าชนเถื่อนระดับเพราโตสเลือกที่จะตายมากเสียกว่าทรยศเผ่าพันธุ์ตนเอง ทั้งการพยายามหลบหนี ฆ่าตัวตาย ตัดลิ้น และอีกมากมาย อินกองมีเพียงความฉงนซึ่งวิธีการที่นาตาช่าใช้รีดข้อมูลออกมา
‘นาง… ใช้วิธีอะไรกัน?’
อินกองไม่คิดว่าความรุนแรงจะได้ผลกับชนเถื่อนที่คุ้นเคยกับการทรมาน บางทีอาจจะเป็นเวทมนตร์ล่อลวงของเผ่าแมร์?
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ?”
นาตาช่ากล่าวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่อินกองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ม ไม่มีอะไร เพราโตสถูกขังอยู่ในคุกใช่ไหม?”
“ถูกต้องเพคะ ใต้ฝ่าพระบาทต้องการตัวเพราโตสหรือเพคะ?”
อินกองพยักหน้า เขารู้สึกว่าท่าทีของนาตาช่าไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเห็นอะไรบางอย่างในคุก
“นี่แกแอบซ่อนอะไรไว้?”
สติปัญญาอันเฉียบแหลมของเจ้าออร์คถามแทรกขึ้นมา นาตาช่าหรี่ตามองมันอย่างไม่ชอบใจครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนท่าทีหลังจากระลึกได้ว่านางอยู่ต่อหน้าอินกอง
“ใต้ฝ่าพระบาททรงอย่าได้วิตก ไม่มีปัญหาอะไรในคุกใต้ดินเพคะ เพียงแต่สถานภาพของตัวเชลย… ”
“ตัวเชลย?”
“นั่น… เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับข้าพระพุทธเจ้าเพคะ”
นาตาช่าตอบด้วยสีน่าแดงระเรื่อ ท่าทีของทำให้อินกองอยากรู้มากยิ่งขึ้น
“ได้โปรด”
“จะน่าอายอะไร ยังไงข้าก็ไปด้วย”
เจ้าออร์คขัดนาตาช่าอีกครั้ง แต่อย่างไรเสียนั่นก็ทำให้ท่าทีเขินอายของนางหายไป จากนั้นนางจึงนำทั้งสองไปยังคุกที่คุมขังเพราโตส
แตกต่างจากภาพลักษณ์กำแพงที่ดูแน่นหนาจากภายนอก ด้านในของคุกค่อนข้างเรียบง่าย เนื่องจากเป็นคุกใต้ดินทำให้ยากแก่การทำลายเพื่อลบหนี
‘นี่มัน… โคตรสะอาด’
นาตาช่าเดินนำอินกองกับคารัคผ่านห้องคุมขัง ภายในมีเชลยชนเถื่อนถูกตรวนมัดแขวนไว้กับกำแพง
“ที่นี่จะให้อาหารนักโทษแค่ 2 วันครั้งเดียว การลดอาหารทำให้ลดแรง ลดปัญหา”
คารัคพูดอธิบายอินกอง อาจฟังดูไร้มนุษยธรรมแต่ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ โลกมารย่อมมีกฏเกณฑ์ในแบบของโลกมาร
“ทางนี้เพคะ”
ห้องขังของเพราโตสเป็นห้องเดี่ยว หลังจากเปิดประตูที่หนักก็พบเพราโตสถูกโซ่ล่ามขานั่งอยู่บนเก้าอี้
“ดูยังกับไม่มีวิญญาณยังไงยังงั้น”
คารัคพูดออกมาอย่างตกตะลึง นั่นเพราะสีหน้าของเพราโตสดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึก นาตาช่าเอ่ยแผ่วเบาออกมา
“ข้าพระพุทธเจ้าใช้เวทมนตร์เสน่ห์ เชลยตนนี้จะตอบคำถามทุกอย่างโดยไม่มีการขัดขืนเพคะ”
การแสดงออกของนาตาช่าทำให้อินกองคิดว่านางกำลังรู้สึกผิดในการใช้มนตร์เสน่ห์กับเพราโตส นั่นทำให้อินกองยิ่งแปลกใจมากขึ้น ซัคคุบัสซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยของเผ่าแมร์ขึ้นชื่อในเรื่องมนตร์เสน่ห์ เหตุการใช้มนตร์นี้จึงเป็นเรื่องน่าอาย?
อินกองเลือกเมินข้อสงสัยของไว้ก่อน เขาเดินเข้าถามเพราโตสและก็ได้คำตอบในทันที
เพราโตสตอบข้อมูลที่ควรจะเป็นความลับจนตายออกมาอย่างง่ายดาย
ราชาชนเถื่อนรวบรวมชนเถื่อนเข้าด้วยพละกำลังที่แกร่งกล้าอันเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นคำตอบที่เพราโตสตอบออกมาจากใจ ถึงกระนั่นเมื่อซักเพิ่มเติมอินกองก็ได้รับข้อมูลบางอย่าง
“มีแขกที่น่าสงสัยมาจากดินแดนทางใต้ พวกเราชนเถื่อนไม่ใว้ใจพวกมัน แต่พี่ข้าแสดงท่าทางเลื่อมใส”
แขกที่ว่ามาในชุดคลุมสีแดงแสดงท่าทีราวกับนักบวชลัทธิ ภายใต้ชุดคลุมมีการสวนใส่เกราะหนัง เพราโตสไม่สามารถระบุเพศได้ แขกเหล่านี้มาเยือนเมื่อราวหกเดือนที่แล้ว เป็นเวลาที่นานพอเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ในเขตโลกมาร
“พวกนั้นเดินทางไปยังทิศเหนือ ไม่มีใครกลับไปทางทิศใต้เลยสักคน”
นี่เป็นข้อมูลเท่าที่เพราโตสรับรู้ อาจจะเป็นเพราะเพราโตสไม่ได้สนใจในตัวบุคคลปริศนาเหล่านี้ นั่นทำให้ความทรงจำของเพราโตสมีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาไม่มาก
‘ชุดคลุมสีแดง และมีชุดหนังสีแดงอยู่ภายใต้อีก’
อินกองคาดคิดว่าหนึ่งในบุคคลปริศนานี้คืออาชาแห่งรณการ หรืออย่างน้อยก็เป็นขั้นสาวกแห่งรณการ
สิ่งที่ทำให้อินกองประหลาดใจมากที่สุดคือข้อมูลที่ว่าทั้งหมดมาจากทิศใต้ นั่นเพราะดินแดนบริเวณนั้นนับว่าเป้นส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์
หรืออาชาแห่งรณการจะเป็นมนุษย์? นั่นเป็นสิ่งที่อินกองมองข้ามมาตลอดและมีความเป็นไปได้สูง นั่นเพราะอินกองไม่รู้ถึงเงื่อนไขในการเป็นอาชา อาจไม่มีความจำเป็นที่อาชาจะต้องเป็นบุคคลจากโลกมาร บางทีอาชาแห่งรณการอาจมียศเช่นเดียวกับจีราด เป็นขุนนางจากโลกมนุษย์?
อินกองวิตกกังวลกับข้อมูลที่เขามองข้ามมาตลอด ยิ่งคิดยิ่งทำให้เขาหนักใจ จนในที่สุดเขาก็เลิกคิดและออกจากคุกใต้ดิน
“ทำดีมาก”
อินกองไม่ลืมที่จะกล่าวชมเชยนาตาช่า
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
นาตาช่ารับคำด้วยรอยยิ้มพร้อมท่าทีเขินอาย นี่ทำให้อินกองรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างนาตาช่าที่เขารู้จักจากในเกม กับนาตาช่าที่อยู่ตรงหน้า บางทีการเย็นชาจากในเกมเป็นเพราะนางตกเป็นทาส? เป็นเพราะแซเฟียร์?
‘เรื่องนั่นช่างมันเถอะ ยังไงนาตาช่าตอนนี้ก็แจ่มกว่าเยอะ’
ยังมีปริศนาอีกมากมายสำหรับอินกอง แต่เขารับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาตาช่าราบรื่นมากกว่าในเกม
‘ถึงวิธีการจะออกแนวบังคับ… แต่ยังไงการสนับสนุนจากนางก็เยี่ยม’
อินกองถอนหายใจก่อนหันไปทางนาตาช่า นางที่แอบชำเลืองมองอินกองรีบก้มหน้าหลบสายตา
“นี่มัน ข้ารู้สึกแย่สุดๆ”
คารัคที่ตามติดทั้งสองแต่มีสภาพเสมือนไร้ตัวตนสบถออกมา ก่อนเดเลียที่กำลังเร่งรีบจะมาสมทบทั้งสาม
“ใต้ฝ่า… พระบาท… ”
นางกล่าวด้วยอาการเหนี่อยหอบ อินกองไม่สนใจคารัคที่ส่งยิ้มให้เดเลียพร้อมรีบถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“องค์รัชทายาทรับสั่งมาว่ามีข้อความด่วนเพคะ”
“เฟลิซีนูนะ?”
“องค์รัชทายาททรงมีความจำเป็นจะต้องออกจากเมืองท้ากา พระองค์ทรงรออยู่ที่พลับพลาเพคะ”
ท่าทีของเดเลียบ่งบอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน อินกองจึงบอกให้นาตาช่ากลับไปก่อนพร้อมรีบกลับกระโจมพร้อมคารัค
&
“มีข้อความมาจากซิลวาน ดูเหมือนว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ”
เฟลิซีนั่งรออยู่ในกระโจมที่เขาใช้เป็นที่พักผ่อน นางบอกกล่าวทันทีที่เห็นอินกองเข้ามา อินกองเข้าไปนั่งเก้าอี้ก่อนเริ่มถามซัก
“เกิดปัญหาอะไรกับฮยองหรือครับ?”
“ก็นิดหน่อย? ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรก็แค่ ซิลวานค้นพ้บซากโบราณสถานบางอย่าง ก็แค่อยากให้ฉันไปช่วยในฐานะนักโบราณคดี”
อินกองรีบนึกถึงความเป็นไปได้ของบริเวณที่ซิลวานอยู่ ถ้าเป็นซากโบราณสถานมันควรเป็นจุดที่อินกองมีประสบการณ์จากในเกม
‘แถวนั้นไม่น่าจะมีอะไรอันตรายนี่หว่า’
อินกองพยายามนึกถึงภยันตรายแต่ก็คิดไม่ออก
เฟลิซีพอจะเดาได้จากสีหน้าของอินกอง
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก มันก็แค่ข้ออ้างเพราะฉันอยากไปเดินดูซากโบราณสถานนะ”
อินกองพยายามคิดโดยเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของพี่น้องเอลฟ์รัตติกาลคู่นี้เข้าไปด้วย ทำให้เขาเข้าใจในที่สุด เฟลิซีลุกขึ้นทุบโต๊ะราวกับทนรอไม่ไหว
“บาบาเรี่ยนพวกนั้นไม่น่าจะกลับมาบุกให้ตายฟรีกันหรอกน่า แถมกำแพงเอเวียงก็ซ่อมเสร็จเกือบหมดแล้ว เพราะงั้นถ้าฉันแยกไปช่วยซิลวานก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ใช่มั้ย?”
ผู้มีอำนาจตัดสินใจในภารกิจเอเวียงครั้งนี้คืออินกอง ถึงแม้เฟลิซีจะเป็นหนึ่งในว่าที่ทายาทจอมมาร นางก็ต้องขออนุญาจากอินกองในภารกิจครั้งนี้
อินกองพยักหน้าในที่สุด
“เข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นนูนะรีบติดต่อมานะครับ ผมจะรีบไปช่วยให้เร็วที่สุด”
“ใช่ ใช่ กุลยุทธสายลมใช่มั้ย?”
เฟลิซีขยิบตา อินกองอายเล็กน้อยเพราะชื่อที่เขาคิดมาอย่างชั่วคราวกลายเป็นชื่อกลยุทธไปเสียแล้ว
“เอาน่า งั้นฉันจะบอกอะไรให้เป็นพิเศษละกัน”
เฟลิซีขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมเอื้อมมือไปจับจี้ห้อคออินกอง
“เธอรู้มั้ยทำไมฉันจึงให้จี้นี้?”
จี้ที่ว่านี้คืออัสสุภูติราตรี ของรางวัลที่เฟลิซีมอบให้เขาจากครั้งเมื่อปฏิบัติการปราบกบฎเผ่าสายฟ้าชาด เฟลิซีขยับมือของนางเผยให้เห็นแหวนที่นางสวมอยู่
“อันที่จริงอัสสุภูติราตรีเป็นของคู่ระหว่างจี้ห้อยคอกับแหวน เมื่อใดก็ตามที่ผู้สวมใสเป็นอันตราย มันจะส่งสัญญาณให้คู่ของมันรับรู้”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงข้อมูลอันนี้ นั่นเพราะแม้กระทั้งความทรงจำจากในเกม อัสสุภูติราตรีเป็นหนึ่งในของหายากที่เขามีโอกาสได้รับจากการสังหารเฟลิซี แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกเหนือจากนั้น
เฟลิซีรีบโบกมือเมื่อเห็นว่าอินกองแสดงสีหน้าครุ่นคิด
“ที่ผ่านมาฉันอยู่ใกล้ฉัตรมาตลอด ฉะนั้นของวิเศษนี้ก็เลยไม่มีผลงานอะไร”
ซึ่งเมื่อนึกย้อนกลับไป เหตุการณ์ที่อินกองตกอยู่ในอันตรายโดยห่างจากเฟลิซีก็มีเพียงการเผชิญหน้ากับเดรคโอเกอร์มุสตาฟา หลังจากนั้นเฟลิซีก็อยู่ใกล้เขามาโดยตลอด
“ฉันให้จี้กับฉัตรเป็นรางวัลเพราะว่า เมื่อไรฉัตรอยู่ในอันตรายฉันจะได้รีบไปช่วย”
นั่นคือวิธีใช้งานที่แท้จริงของสิ่งวิเศษชิ้นนี้
“เพราะงั้นบางทีในครั้งนี้ ฉันอาจจะได้ใช้ของวิเศษนี้จริงๆก็ได้”
“เดี๋ยวสิครับ ไม่ใช่ว่านูนะเป็นฝ่ายอยู่ในอันตรายมากกว่าหรือครับ?”
“นั่นก็ต้องรอดู?”
เฟลิซีหัวเราะพลางใช้พัดเคาะบ่าอินกอง
“ดูแลเคทดีๆละ”
“บอกฮยองให้ดูแลนูนะๆดีๆเหมือนกันนะครับ”
คำพูดของอินกองทำให้เฟลิซีเสียหลัก
“เอาเป็นว่าฉันได้คำอนุญาตจากหัวหน้าภารกิจแล้ว เพราะฉะนั้นฉันไปละนะ”
“ตอนนี้เลยหรอครับ?”
“ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรอ แล้วก็เธอไม่ต้องรอส่งฉันหรอก ฉันวางแผนกับเคทลินว่าจะแวะไปทาก้าอยู่แล้ว”
ในอีกนัยหนึ่ง เฟลิซีรู้อยู่แล้วว่าอินกองจะอนุญาต นางจึงเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิครับ ถ้าขนาดนี้นูนะจะขออนุญาตผมทำไม?”
เฟลิซีหัวเราะอีกครั้ง นางเข้ามาสวมกอดอินกอง
“ฉันไปละนะ ฉัตร”
“เดินทางปลอดภัยครับ เฟลิซีนูนะ”
เฟลิซีหยิกแก้มอินกองก่อนเดินออกจากกระโจม นางเดินอย่างรวดเร็วและสง่างามเช่นทุกครา
อินกองจ้องมองจากด้านหลังของเฟลิซี
“หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นจริงๆนะ?”
อินกองไม่รู้สึกถึงลางสังหรณ์อะไร นั่นทำให้ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น
คารัคที่มองอยู่ห่างออกไปกระพริบตาก่อนจะถามอย่างลังเล
“องค์ชาย… แบบนี้จะดีจริงหรือ? ปล่อยองค์หญิงไปลำพังแบบนั้น? จะไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นแน่นะ?”
“นี่นายจะพูดแบบนั้นทำไม? อย่าแช่งไปซะทุกเรื่องสิ”
แน่นอนว่าทั้งสองทำเพียงเพื่อหยอกล้อ อินกองมองผ่านหน้าต่างกระโจมออกไปข้างนอก เงาของเฟลิซีกับผู้ติดตามเดินออกจากค่ายที่พัก
‘ดูแลตัวเองดีๆนะ’
อินกองอวยพรในใจพลางจดจ่อจ้องมองเฟลิซีที่ออกจากป้อมปราการ
ธงเอ๋ยธง จงขยันปักมันเข้าไป