อากาศหนาวเรียกได้ว่าเป็นของคู่เมืองเอเวียงด้วยทำเลที่ตั้งไม่ห่างจากชายแดนตะวันออก ยิ่งเข้าใกล้ตะวันออกเท่าไรยิ่งหนาวเหน็บ
ป้อมปราการที่สี่อยู่ในสภาพยับเยิน บรรดาชนเถื่อนไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากปราการแห่งนี้พวกเขาจึงเมินเฉยต่อการซ่อมแซม กำแพงที่แตกทลาย ซากประตูกองกับพื้น เสบียงที่ถูกเผาเหลือเพียงเถ้าถ่าน เรียกว่าไม่มีประโยชน์อันใดหลงเหลือที่ปราการแห่งนี้
ท้องฟ้าโปร่งไร้วี่แววเมฆ ลมโชยพัดไอหนาวดุจคมมืด
อินกองกับแวนเดลเดินออกจากป้อมปราการ แน่นอนว่ามีกำลังพลบางส่วนคาดหวังจะชมการประมือระหว่างทั้งสอง หากแต่การต่อสู้ครั้งนี้มิได้มีเพื่อผู้ชมแต่แรก พละกำลังของทั้งสองในตอนนี้เปรียบเสมือนภัยพิบัติเดินได้
ถึงกระนั้นทหารบางส่วนก็อาศัยซากกำแพงเป็นอัฒจันทร์ในการชมการประมือระหว่างอินกองกับแวนเดล มีเพียงเจ้าหญิงทั้งสองพร้อมองครักษ์เท่านั้นที่สามารถติดตามไปได้
อินกองกับแวนเดล ยืนเผชิญหน้ากันห่างจากป้อมปราการเล็กน้อย ภูมิประเทศของเอเวียงส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ทั้งสองจึงหาสถานที่เหมาะแก่การประมือได้ไม่ยากนัก
เฟลิซีแสดงอาการตื่นตระหนกตลอดเวลาที่เดินออกจากป้อมปราการขางแวนเดล เนื่องจากการแต่งกายด้วยชุดเกราะครบชุด ราวเตรียมตัวทำสงคราม
“พลเอกแวนเดล นี่จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
เฟลิซีพูดพลางจ้องมองโอเกอร์ในชุดเกราะ ที่ใหญ่โตมากไปกว่าปกติ
แวนเดลชอบที่เฟลิซีซื่อตรง เขาจึงไม่คิดจะโกหกนางแต่อย่างใด
“ข้าต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่”
แวนเดลจ้องมองตรงหน้าห่างออกไปราวยี่สิบเมตรที่เจ้าชายฉัตรยืนอยู่ มีเจ้าหญิงเคทลินผู้แสดงอาการเช่นเดียวกับเจ้าหญิงเฟลิซีเสีย
“จะไม่ให้ฉันช่วยอะไรจริงๆหรือ?”
แน่นอนว่าเคทลินมิได้หมายถึงการเข้าร่วมต่อสู้พร้อมอินกอง นางหมายถึงพันธะระหว่างแก่นในตัวนางกับอินกอง
อินกองส่ายหน้าปฏิเสธ
“ครับ นี่เป็นการประลองระหว่างผมกับแวนเดล เป็นการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชาย”
การต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างนักสู้สองตน หากมองย้อนกลับไปถึงตอนที่อินกองพบออร์คครั้งแรกในถ้ำ ตัวเขาในตอนนั้นย่อมพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในลักษณะนี่ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการเติบโตของเขา
‘คงเพราะเราคิดจะขึ้นเป็นจอมมารด้วยละมั้ง?’
มิใช่เป็นจอมมารแต่เพียงปากเปล่า แต่เป็นจอมมารทั้งกายและจิตใจ
อินกองยิ้มออกมา แต่อย่างไรเสียก็ยังมีอีกหนึ่งเสียงที่คัดค้าน
‘ข้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นหนึ่งเดียวกับนายท่าน ข้าควรร่วมต่อสู้กับนายท่าน’
แน่นอนว่าอินกองไม่คิดจะใช้โล่ไวท์อีเกิ้ลเช่นกัน เขาสั่งห้ามมิให้กรีนวินด์เข้าแทรกแซง ที่อินกองใช้จะเป็นเพียงโล่ชีวาตม์อันไร้การสิงสถิตของกรีนวินด์ อินกองต้องการต่อสู้ด้วยพลังจากตัวเขาเท่านั้น
แน่นอนว่ากรีนวินด์ไม่พอใจกับการตัดสินใจของอินกอง นางนั่งกอดเขามองค้อนโดยมีเคทลินพยายามลูบหัวปลอบ
คารัคที่อยู่ห่างออกไปไร้ซึ่งปฏิกิริยา มันทำเพียงจ้องมองมายังอินกองด้วยสายตาเชื่อมั่น
ครู่หนึ่งบรรดาผู้ชมขอบสนามต่างถอยห่าง แวนเดลยกค้อนคู่กายขึ้นพาดบ่าพลางแสยะยิ้ม
“ข้าเคยคิดเอาไว้ว่าท่านจะต้องเติบโตเป็นเจ้าชายที่เก่งกาจ แต่ข้าไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้”
อินกองนึกย้อนกลับไปตอนที่ค่าสถานะของเขาเทียบเท่ากับ นาย ก นาย ข ในตอนนั้นแค่สู้กับชาวบ้านทั่วไปยังเป็นการยาก มองกลับมาที่ปัจจุบันยิ่งตอกย้ำถึงการเติบโต
“แล้วมัน ไม่ดีรึ?”
อินกองตอบพลางยักไหล่ แวนเดลอมยิ้ม
แม้แต่ผู้ที่รู้ความลับอย่างเฟลิซี คำนวนแก่นจันทราแก่นมังกรเข้าด้วยแล้วก็ยังเรียกว่ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
แวนเดลไม่รับรู้ถึงความลับเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่สนใจที่จะถามถึง
“ในวันนั้น… ข้าเตรียมใจที่จะตายเอาไว้แล้ว… จนกระทั้งเจ้าชายปรากฏตัว!”
แวนเดลพลาดเสียท่าให้เหล่าชนเถื่อน เขาเลือกวาระสุดท้ายในสนามรบก่อนตัดสินใจบุกฝ่าเข้ายังกลางทัพศัตรู แวนเดลพยายามจะกล่าวบางอย่างก่อนสายหน้า
“ไม่ว่าอะไรจะสิงสู่เจ้าชายก็ตาม การพูดคุยไม่ใช่จุดดีของข้า แต่ข้าขอขอบคุณสำหรับเวลาทั้งหมดของท่าน”
แวนเดลยกค้อนของเขาเข้าสู้สภาพเตรียมต่อสู้ กล้ามเนื้อขยับเขยื่อนภายใต้ชุดเกราะบ่งบอกถึงแรงหายใจ
อินกองหลับตาสูดหายเตรียมพร้อมต่อสู้เช่นกัน
“เริ่มกันเลยดีมั้ย?”
“เริ่มเลย”
ลูกผู้ชายสนธนากันด้วยกำปั้น
อินกอง แวนเดล ทั้งสองคำรามร้องก่อนพุ่งเข้าประชันกัน ไอพลังมากมายพวยพุ่งออกจากทั้งสอง
พรที่เรียนรู้จากกรีนวินด์ เฟลิซี ดาฟเน่ เปลวไฟจากแสงสุดท้าย
รวมถึงแก่งมังกร…
ลมปราณโคจรผ่านแก่นทั้งสามในตัวอินกอง ส่งผลให้เขาสามารถเค้นลมปราณได้รวดเร็วขึ้นเป็นสามเท่า
นอกจากนี้แก่นมังกรยังเรียกได้ว่ามีความพิเศษมากไปอีก ลักษณะพิเศษทีปรากฏเฉพาะในเผ่าพันธ์มังกร เวทมนตร์ดั้งเดิมที่หลงเหลือเพียงเผ่าพันธ์เดียวที่ใช้ พลังเวทจากแก่นมังกรเรืองแสงสีเขียวจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีเขียวแห่งชีวิต เช่นเดียวกับกรีนวินด์
และอีกหนึ่งปัจจัยที่แสดงพลังออกมาได้มากขึ้น
‘โลหิตมังกร’
ของวิเศษบนเรือนร่างอินกองแสดงอาการออกมาทันที พสุธากัมปนาทกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด โล่ชีวาตม์เรืองแสงสว่างจ้า ผ้าคลุมฮูกแผ่กระจายออกเป็นหมอกควัน คล้ายคลึงกับปีกงอกออกจากหลังอินกอง
พลังที่สำแดงออกมาทำให้แวนเดลหัวเราะอย่างยินดี ค้อนในมือห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ เขาเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น
เฟลิซีหลับตาลง เกรงกลัวต่อผลลัพท์ที่กำลังจะเกิด เคทลินกับกรีนวินด์สวมกอดซึ่งกันและกัน
คารัคหัวเราะออกมาพลางยกนิ้วโป้งให้นักสู้ทั้งสอง
“ชนะ”
เสียงกระซิบที่ออกจากปากเจ้าออร์คยิ่งทำให้บรรดาองครักษ์ที่อยู่ใกล้เชิดชูมันมากยิ่งขึ้น
ในทันทีที่นักสู้ทั้งเข้าปะทะกัน เสียงระเบิดอันกึกก้องดังขึ้น
&
อินกองนอนแผ่ราบไปกับพื้น แขนขาไร้เรี่ยวแรงราวกับตนเองไร้กระดูก เฉกเช่นสิ่งมีชีวิตจำพวกปลาหมึก เป็นความรู้สึกที่แปลกพิลึกชอบกล
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่บริเวณที่อินกองประลองกับแวนเดล แต่เป็นกระโจมส่วนตัวของเขา คารัดนั่งอยู่ออกไปไม่ไกล
“ทีนี้ก็บอกมา ว่าทำไมแกทำตัวไร้สติแบบนั้น”
คารัคเดาะลิ้นพลางโยนผ้าเช็ดตัวชุบน้ำบิดหมาดใส่เจ้าชายที่ไร้เรี่ยวแรง
“ผมก็แค่… อยากชนะ”
อินกองมิได้คาดหวังอะไรไปมากกว่านั้น แม้เขาจะคว้าชัยมาได้แต่ก็มิใช่หมายความว่าเขาจะได้ค่าประสบการณ์จนเพิ่มระดับเลเวล
คารัคเดาะลิ้นอีกครั้ง หากหลับตาลงมันก็จะพบกับภาพการโจมตีอันบ้าบิ่นผุดขึ้นมา
นั่นเพราะอินกองมิได้หลบการโจมตีของแวนเดล ทั้งสองรับการโจมตีของอีกฝ่าย พร้อมกับโจมตีอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นการแลกหมัดของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
ที่น่าอัศจรรย์คืออินกองสามารถทนต่อการโจมตีของแวนเดลได้ เสียงม่านพลังแตกออกราวแก้วกรีดดังไปทั่ว แต่อย่างไรเสียร่างกายของอินกองก็รับการโจมตีของแวนเดลเอาไว้ พลางหวดหมัดใส่แวนเดลในขณะเดียวกัน ทั้งสองแลกการโจมตีอยู่ราวสิบนาทีก่อนแวนเดลเป็นฝ่ายหมดสติเสียก่อน จึงเรียกได้ว่าอินกองเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะมา
ในการซ้อมรบผ่านหมอนจำลองฝันของอินกอง เขาได้รับบทเรียนหลายอย่างผ่านการตายทั้งสามสิบสองครั้ง
ที่ผ่านมาอินกองทุ่นเทค่าสถานะของเขาในการเพิ่มพลังโจมตี แต่ในครั้งนี้เขาทุ่นเทไปที่ค่าพลังป้องกัน รวมถึงการเค้นลมปราณไปยังจุดหนึ่งเพื่อเน้นป้องกันที่จุดนั้นในชั่วขณะ
บทเรียนที่อินกองได้รับคือ การป้องกันของเขามีเพียงเล็กน้อย เขาพึ่งพาโล่ไวท์อีเกิ้ลกับแบล็คอีเกิ้ลมากเกินไป จนการโจมตีครั้งเดียวของราชาเคราโตสเกือบทำให้เขาเสียชีวิต
การหลบหลีกอาจฟังดูดีกว่า หากแต่ในตอนนี้ไม่ใช่เกมสำหรับอินกอง แต่เป็นชีวิตจริง
การที่จะหลบหลีกทุกการโจมตีต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก และยิ่งศัตรูเจนการศึกมากเท่าไรยิ่งต้องใช้สมาธิมากขึ้นเป็นทวีคูณ ส่งผลเป็นภาระต่อกำลังจิตใจ เหนือสิ่งอื่นใดผู้ชนะคือผู้ที่เหลือรอดเป็นตนสุดท้าย
ผลลัพท์ที่ได้เป็นอันน่าพอใจ
ยิ่งไปกว่านั้นแม้มิได้เรียกใช้พันธะต่อแก่นบริวาร แต่อินกองก็สามารถผสานรวมพลังเวทกับลมปราณเข้าด้วยกันได้ ถึงจะเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งแต่อินกองมั่นใจว่าเขามาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว เป้าหมายต่อไปคือผสานรวมรัศมีเทพและพลังจิต
“สายตานั่น ทะเยอะทะยานเสียจริง”
คารัคหัวเราะออกมา
“เอ่อ เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรอ?”
“แน่นอน ส่องสว่างโชติช่วงเลยละ”
คารัคตอบพลางแสยะยิ้ม ก่อนเริ่มเช็ดตัวตรวจสอบอาการของอินกองอีกครั้ง เวทมนตร์รักษาของเฟลิซีช่วยสมานแผลตามร่างกายเรียบร้อย แต่ปัญหาอยู่ที่ภายในร่างกาย ผลจากการเค้นพลังชีวิตเรียกใช้ลมปราณจำนวนมาก กับความอ่อนล้าของสภาพจิตใจ
ทันใดนั้นคารัคก็หยุดลุกขึ้น มันมองไปยังเงาใหญ่โตด้านนอกกระโจม
“องค์ชาย ดูเหมือนแม่ทัพแวนเดลจะแวะมา”
อินกองรับรู้ถึงแวนเดลผ่านทางแผนที่ย่อเช่นกัน แวนเดลก้าวเข้ากระโจม การแต่งกายเป็นเพียงชุดหนัง
“องค์ชาย”
“ยินดีต้อนรับ”
อินกองกล่าวตอบทั้งที่ยังนอนแผ่ราบอยู่กับพื้น หากตัดสินจากรูปลักษณ์ที่เห็น เรียกได้ว่าแวนเดลเป็นฝ่ายชนะเสียมากกว่า
“นั่นเป็นหมัดที่เยี่ยมมาก จนถึงตอนนี้ข้ายังเจ็บแปลบอยู่ภายในบริเวณท้อง”
“ผมนี่เจ็บแปลบไปทั่วร่างเลย ไม่ใช่แค่ท้อง”
แวนเดลหัวเราะออกมา ก่อนจะนั่งลง พลางมองสำรวจร่างอินกอง
“อย่างที่องค์ชายรู้ ข้ามีตำแหน่งเป็นพลเอกของกองทัพ เป็นตำแหน่งที่ข้าไม่สามารถส่งมอบให้ผู้ใดได้ในทันที”
พลเอกทั้งสิบ ผู้นำทัพที่เป็นเสาหลักทั้งสิบต้นของกองทัพจอมมาร ตำแหน่งที่ต้องผ่านการคัดกรองผ่านช่วงเวลาและผลงาน
“แต่หากองค์ชายเรียกขาน ข้าก็พร้อมที่จะเร่งเข้าช่วยเหลือ”
แวนเดลกล่าวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระแอมเบือนหน้าหนี
“ให้ตายสิ แม้แต่ตอนพลอดรักข้ายังไม่เคยสุภาพขนาดนี้กับใคร”
คารัคได้ยินคำกระซิบที่หลุดออกมา มันพยายามอดกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างเต็มที่
แวนเดลถอนหายใจหันกลับมาอีกครั้ง
“สิ่งที่ข้าต้องการบอกคือ ข้าต้องการร่วมต่อสู้ร่วมกับองค์ชาย ข้าต้องการก้าวตามแผ่นหลังนั้นอีกครั้ง”
ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะอินกองสามารถเอาชนะในการประลองครั้งนี้ แต่เป็นสิ่งที่แวนเดลคิดทบทวนมาได้ครู่หนึ่ง
“ในวันนั้น… ข้าตัดสินในวันที่ข้ามองแผ่นหลังท่าน”
ในวันที่ชายผู้นี้เตรียมตัวตาย เขาได้พบกับแผ่นหลังของพระราชา
“อาจจะผิดแปลกไปบ้าง แต่นี่พอจะเพียงพอหรือไม่?”
แวนเดลเพ่งความสนใจไปที่อินกอง อินกองฝืนตนลุกขึ้นยืน
“มากเกินพอเลย เช่นนั้น เราจักแต่งตั้ง”
คารัคช่วยพยุงอินกองให้ก้าวเดินเข้าใกล้แวนเดล เจ้าโอเกอร์ก้มหัวลงคำนับ
อินกองยื่นมือออกไปหาแวนเดล…
และแล้วกองทหารมหาดเล็กของอินกองก็เพิ่มจำนวนขึ้นอีกหนึ่ง
&
ความเจ็บปวดแปลบขึ้นจากในเบื้องลึกของจิตใจ แซเฟียร์เงยหน้าขึ้นมองรอบตัวก่อนความรู้สึกนั้นจางหาย
สภาพรายล้อมเรียกได้ว่าราวกับขุมนรก ซากศพหลายร้อยล้มกองกระจัดกระจาย ทั้งหมดในสภาพที่ไม่สมประกอบ
แต่ซากศพเหล่านี้ยังสามารถขยับได้ด้วยพลังเวท ซึ่งต้นตอของพลังเวทนั้นมาจากร่างตรงหน้า
ชายในชุดคลุมที่ผอมโซจนเห็นกระดูก ขาทั้งสองถูกตัดขาด
ผู้คุมวิญาณเซคตัม…
เซเฟียร์ในตอนนี้ยังไม่รับรู้ชื่อของชายตรงหน้าแต่สร้อยคออัญมณีที่ชายผู้นี้สวมยากแก่การมองข้าม
เซเฟียร์หันกลับมาที่เซคตัมอีกครั้ง เส้นผมทองอ่อนราวกับเถ้าถ่าน ดวงตาสีน้ำเงินแสดงถึงความหวาดกลัวของชายผู้นี้
ขาทั้งสองถูกตัด ไหล่ทั้งสองถูกมีดปักตรึงร่างของเขาไว้ เซเฟียร์ใช้มือเขียนอักขระบางอย่างบนหน้าผากของเซคตัม นี่เป็นวิธีการที่ค่อนข้างหยาบกระด้าง แต่เซเฟียร์มีเวลาไม่มากพอที่จะเลือก เซคตัมกรีดร้องอย่างเจ็บปวดพยายามกระเสือกกระสนขัดขืนทั้งที่รู้ว่าไร้ผล
อักขระแห่งการบังคับบัญชา ผ่านไปราวสิบนาที เสียงร้องครวญครางก็สงบลง เซเฟียร์หันชำเลืองมองออกไปยังสถานที่อันไกลโพ้น เขารับรู้ถึงตัวตนบางอย่างที่กำลังจ้องมองกลับมาที่เขาเช่นกัน
รณการ กับ อาสัญ…
ความรู้สึกที่ไม่สามารอธิบายออกมาได้ด้วยคำบรรยาย
เซเฟียร์ส่งผ่านพลังเวทเข้าดาบก่อนตวัดออกไปเพื่อบดบังสายตาสอดรู้ของตัวตนที่เขามิอาจเอื้อม ก่อนเขาจะบัญชาให้เซคตัมลุกขึ้นแล้วเดินตาม
เซเฟียร์หันมองไปยังทิศตะวันออกเยื่องใต้ ที่มาของความเจ็บปวดที่เขารู้สึกเมื่อครู่ ก่อนจะสายหน้าแล้วเดินตามเป้าหมาย
จบบทที่ 23 – ทางแยก เริ่มบทที่ 24 – มรสุม