“นี่แกตื่นยัง?”

 

  ภาพอันบิดเบี้ยวที่พอจะระบุได้ว่าเป็นเจ้าออร์คคารัค อินกองกระพริบตาหลายครั้งเพื่อดึงให้ตนเองตื่น เขาเห็นชัดเจนขึ้นในทุกครั้งที่กระพริบตา

 

“ข้าบอกให้เจ้าออร์คปลุกตามเวลาที่นายท่านบอก ทุกอย่างปกติใช่มั้ย?”

 

  เสียงกรีนวินด์ดังขึ้นจากบริเวณข้างเตียง อินกองเอื้อมมือไปลูบหัวนาง

 

“ทำดีมาก”

 

  กรีนวินด์หลับตาพริ้มรับคำชม การกระทำของนางทำให้อินกองนึกคิดถึงกรีนวินด์พร้อมหางแมวอย่างที่เขาเห็นในฝัน

 

  ครู่หนึ่งอินกองก็ลุกตัวขึ้นนั่ง เขารับแก้วน้ำจากเจ้าออร์คพลางหันมองหมอนจำลองฝัน

 

“แกใช้หมอนสินะ เป็นไงมั่ง ฝันดีแบบไหนละ?”

 

“ฮะ?”

 

  อินกองหลบสายตาจ้องมองจากคารัค ในหน้าของเขาแดงระเรื่อ

 

“ดูจากหน้าตาแล้วเรียกว่าดี ให้เปรียบเทียบก็ประมาณ ทหารใหม่ที่รอดเพียงคนเดียวในสงครามแรกที่ทหารคนอื่นตายหมด”

 

  อินกองหัวเราะให้กับคำพรรณนา

 

“ก็คง ทำนองนั้น”

 

“องค์ชาย?”

 

  คารัคพยายามซักรายละเอียดทว่าอินกองปฏิเสธที่จะกล่าวเพิ่มเติม เจ้าออร์คเกาหัวของมันอย่างเสียมิได้ก่อนเปลี่ยนเรื่องสนทนา

 

“กำหนดการของวันนี้คือทั้งหมดจะออกเดินทางหลังเที่ยง ถึงนี่จะออกสายแต่ก็ยังพอมีเวลาเหลือเพราะงั้นแกไม่ต้องรีบ แค่มื้อเที่ยงอาจจะเร็วกว่าวันอื่นนิดหน่อย เอ้อแล้วก็พวกองค์หญิงอยากเจอแกก่อนด้วย”

 

  คารัคสรุปเนื้อหาอย่างรวบรัด

 

“นูนะอยากเจอผม?”

 

  การพูดคุยกับเจ้าหญิงทั้งสองกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับกรณีรีบเร่งเช้าขนาดนี้อาจผิดแปลกไปบ้าง

 

  อินกองรีบลุกขึ้นเตรียมแต่งตัว

 

“กัมมะไปแจ้งข่าวว่าแกตื่นแล้วเพราะงั้นพวกองค์หญิงน่าจะมาเร็วๆนี่แหละ นาตาช่าก็เตรียมมื้อเช้าไว้แล้ว แกแค่ล้างหน้าแล้วกินพอ”

 

  อาหารเช้าสำหรับอินกองถูกจัดเตรียมโดยนาตาช่าตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ท่าทีอันเย็นชาของนางทำให้คารัคสับสนอยู่บ้าง แต่มันก็เลิกที่จะสนใจในที่สุด

 

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ สำรับพระกายาหารพร้อมแล้วเพคะ”

 

  เสียงของนาตาช่าดังขึ้นจากด้านนอกกระโจม คารัคหัวเราะพลางส่งถ้วยน้ำให้อินกองใช้ล้างหน้า หลังจากที่อินกองล้างหน้าและทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น เคทลินกับเฟลิซีก็เข้ามาหาในกระโจม

 

  เคทลินสังเกตเห็นหมอนจำลองฝันพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

 

“ฉัตรใช้หมอนแล้วเป็นยังไงบ้าง? เธอฝันดีมั้ย? ฝันเห็นอะไรตามที่ต้องการได้จริงๆใช่มั้ย?”

 

  ท่าทีอยากรู้ของเคทลินทำให้อินกองหัวเราะ เขาอดคิดไม่ได้ว่าทำไมนางจึงมอบหมอนให้เขาแทนที่จะเก็บไว้ทดลองใช้เอง

 

‘ดีจริงๆ’

 

  เรียกได้ว่าเคทลินสร้างความอบอุ่นได้จากการกระทำทีดูไร้เดียงสาของนาง

 

“ใช่ครับ ผมใช้เมื้อคืน ผมสามารถเห็นในสิ่งที่อยากเห็นได้จริงๆ”

 

  เคทลินตาเป็นประกายมากยิ่งขึ้น

 

“นี่ๆฉัตร เธอเห็นฉันในฝันของเธอมั้ย?”

 

“อมิตาภาโผล่มาครับ”

 

  อินกองหัวเราะเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่านางจะถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

 

  เคทลินตาโตประหลาดใจเพิ่มมากไปอีกขั้น

 

“อมิตาภา?”

 

  ท่าทีของทุกตนทำให้อินกองไม่มั่นใจว่าเขาตอบบางสิ่งผิดแปลก

 

  คารัคถามแทรกขึ้น

 

“องค์ชาย แกใช้หมอนจำลองฝันแล้วเห็นแรคคูนเนี่ยนะ? แกฝัน… แบบไหนกันแน่?”

 

  คารัคพยายามนึกคิดจินตนาการว่าต้องฝันเช่นไรกันถึงจะต้องการเห็นตัวแรคคูน ระหว่างนั้นกรีนวินด์ก็ถาม

 

“นายท่าน แล้วข้าละ ข้าปรากฏตัวในฝันท่านมั้ย?”

 

“อ่า… ใช่”

 

  กรีนวินด์ถามด้วยท่าทีคาดหวัง ทำให้อินกองรีบตอบ นางถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนแสดงท่าทางอย่างผู้ชนะ

 

“นายท่านเป็นเจ้านายที่ดีมาก”

 

“อ่า… ”

 

  ท่าทีของกรีนวินด์ยิ่งทำให้อินกองรู้สึกสำนึกผิด เขายิ่งไม่สามารถบอกนางได้ว่า กรีนวินด์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมหูแมว หางแมว และถาดอาหารแมว

 

  ทว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นให้สมาชิกตนอื่นซักถาม

 

“นี่ฉัตร แล้วฉันละ?”

 

“อ่า… ครับ”

 

“โฮ่… ”

 

  เฟลิซีหรี่ตาชำเลืองมองเขาด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป อินกองไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือร้าย เขาทำเพียงพยายามหลบตานาง ก่อนถึงคราวเจ้าออร์ค

 

“องค์ชาย อย่าบอกนะว่าแม้แต่ข้า?”

 

“นายเอ่อ… ก็โผล่(?)”

 

  แน่นอนว่าหนึ่งในเหยื่อแต่งตัวตุ๊กตาของอินกองมีคารัครวมอยู่ด้วย ทว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนใส่ชุดสูทจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายเสียทีเดียว

 

  ถัดจากคารัคก็เป็นเสียงนาตาช่าแผ่วขึ้นจากมุมหนึ่งของกระโจม

 

“หรือว่า…  แม้กระทั้งข้าพระพุทธเจ้า?”

 

“อ่า… ”

 

  อินกองพยายามหลบสายตาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนาง นี่ยิ่งทำให้เคทลินหรี่ตาจ้องมองเขาเสียยิ่งกว่าเฟลิซี

 

“ฉัตร… หรือว่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่โผล่ในฝันของเธอ?”

 

“เรื่องนั้น คือว่า… ”

 

“องค์ชาย นี่แกฝันถึงอะไรกันแน่?”

 

  คารัคถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ออกมาในที่สุด อินกองจึงรีบอธิบายความฝันของตนเอง

 

“ผมฝันเกี่ยวกับการต่อสู้กับราชาบาบาเรี่ยน เพราะว่าสามารถฝันถึงอะไรก็ได้ ผมเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นอะรที่เหมาะสำหรับซ้อมรบ”

 

“ถ้าอย่างงั้นทุกคนเกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ของแก? ไหนจะองค์หญิงกับเจ้าแรคคูนอีก?”

 

“ฉัตร หรือว่าเธอคิดต่อสู้กับฉันด้วย?”

 

“ถ้าเกี่ยวกับการต่อสู้ ยิ่งควรมีฉันอยู่ไม่ใช่หรือ?”

 

  คารัค เฟลิซี กับเคทลินยังคงไม่ปักใจเชื่อกับคำอธิบายจากอินกอง แน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์ยิ่งผ่านไปโอกาสที่อินกองจะอธิบายเกี่ยวกับการแต่งตัวตุ๊กตายิ่งลดน้อยลง เขาจึงเปลี่ยนเรื่องตัดบท

 

“เอาเป็นว่า! ผมฝันจำลองการต่อสู้กับเคราโตส และหมอนนี้ช่วยได้มากทีเดียว ขอบคุณสำหรับของขวัญครับ จะว่าไปนูนะทั้งสองมีเรื่องอะไรถึงรีบร้อนมาหาผมหรือเปล่าครับ?”

 

  แน่นอนว่าความยายามเปลี่ยนเรื่องสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนแต่ทั้งหมดก็ยอมปล่อยผ่าน เฟลิซีลูบหัวเคทลินที่ยังคงไม่พอใจก่อนตอบ

 

“อมิตาภาเรียกให้ทุกคนมารวมกัน ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับของวิเศษ”

 

“ในที่สุด!”

 

  เวลาผ่านมาได้หลายครานับตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากวังจอมมาร แน่นอนว่าของวิเศษระดับสูงย่อมต้องใช้เวลาในการสร้างและปลุกเสกนานกว่าของทั่วไป

 

  เฟลิซีถอนหายใจกล่าวต่อ

 

“เพราะพวกเราเดินทางตลอดเวลาทำให้สถานที่สำหรับการทำของวิเศษไม่เอื้ออำนวย ฉัตรอาจไม่รู้แต่อมิตาภาเรียกว่า… เกรี้ยวกราด(?)อยู่ทุกวันเลยทีเดียว ทำให้ดาฟเน่ทนทุกข์ตลอด”

 

“ผมจะพยายามหาสิ่งชดเชยให้ครับ”

 

  ดาฟเน่อาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกองทหาดมหาดเล็กของอินกอง ถึงกระนั้นก็เรียกได้ว่านางอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา การมอบรางวัลความดีความชอบให้นางเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ

 

“กัมมะน่าจะกลับมาพร้อมทั้งสอง”

 

  เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งวันอันวุ่นวายสำหรับกัมมะตั้งแต่เช้า ในขณะเดียวกันอินกองกำลังใช้ความคิด

 

‘ทุกอย่างคืบหน้าไปเยอะเลย’

 

  นับตั้งแต่ที่อินกองลืมตาขึ้นในกระโจมบนเทือกเขาจิชก้า เวลาก็ล่วงเลยมาหลายเดือน

 

  ผู้ใต้บัญชาที่ไว้ใจได้ ผู้สนับสนุนที่ทรงพลังอย่างปราชญ์ดาบกับราชินีเอเลน การสร้างฝ่ายขั้วอำนาจใหม่ที่รวมทายาทจอมมารถึงห้าตนไว้ด้วยกัน

 

‘ไหนจะได้นาตาช่ามา แล้วก็น่าจะแวนเดล’

 

  สองในสามขุนพลสุดโปรดจากสมัยที่เขาเล่นเกม บ่งบอกว่าถึงเวลาที่เขาควรจะตั้งเป้าหมายเพิ่ม

 

  แน่นอนว่ากำลังพลไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างดังที่เคยกล่าวไว้ แต่ถึงกระนั้นโลกมารก็เป็นดินแดนของผู้แข็งแกร่ง

 

  และกำลังพลของอินกองในตอนนี้…

 

  เริ่มสามารถวาดขอบเขตได้อย่างคร่าว ถึงแม้อินกองยังไม่มีโอกาสได้พบกับราชินีแห่งเหล่าเอลฟ์รัตติกาล แต่กำลังสนับสนุนที่ได้รับบ่งบอกได้ว่าอินกองได้รับการสนับสนุน

 

‘แล้วก็เรายังมีเฟลิซี’

 

  เอลฟ์รัตติกาลเป็นเผ่าที่ถือเพศสตรีเป็นใหญ่ เฟลิซีจึงเรียกว่าเป็นตัวแปรสำคัญ หากไม่มีนางคงยากที่อินกองจะได้รับการสนับสนุนเช่นนี้

 

  แม้จะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าไลแคนโทรปกับเผ่าเอลฟ์รัตติกาลก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้ ตอนนี้เป็นช่วงก้าวที่อินกองต้องสร้างหน่วยข่าวกรองของเขาเอง หน่วยที่สามารถเค้นรวบรวมข้อมูลได้โดยไม่ต้องรับคำสั่ง

 

  ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า นาตาช่าเป็นทั้งองครักษ์และหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ส่วนแวนเดลคอยควบคุมกำลังพลทัพ

 

  เมื่อรายงานความสำเร็จจากภารกิจในเอเวียงครั้งนี้ถูกเรียบเรียงส่งมอบยังวังจอมมารอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าอินกองย่อมได้รับค่าผลงานความสำเร็จที่ค่อนข้างมาก เขาหวังเพียงว่ามันเพียงพอที่จะป่าวประกาศฝ่ายของเขาให้เป็นที่รู้ทั่ววัง

 

‘แล้วก็เรื่องปวดหัวที่สุด… คงถึงเวลาที่ต้องคุยกับฝ่ายศาสนา’

 

  ทุกสิ่งมีชีวิตที่สามารถคิดได้ย่อมมีความเชื่อ เมื่อมีความเชื่อย่อมก่อกำเนิดศาสนา ต่างความคิดต่างความเชื่อต่างศาสนา และในโลกที่พระเจ้าทั้งหลายสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์แสดงตน ต่างศาสนาย่อมนับถือพระเจ้าต่างพระองค์ ตัวอย่างเช่น

 

  เผ่าไลแคนโทรปนับถือ สเตล่าผู้เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่า
  เผ่าเอลฟ์รัตติกาลนับถือ คาอีล่าผู้เป็นเทพีแห่งความฝันและเงา

 

  ด้านฝ่ายแดนมนุษย์ยึดถือว่าพระเจ้าเหล่านี้เป็นเทพปีศาจ ถึงกระนั้นพวกเขาก็มีความเชื่อและนับถือพระเจ้าของพวกเขาเอง

 

  ซึ่งอินกองไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวตนเดียวกันแต่ถูกเรียกขานรับรู้ในชื่อที่ต่างกันตามขนบธรรมเนียมในแต่ละพื้นที่ หรือพระเจ้าเหล่านี้เป็นหลากตัวตนที่มีอิทธิฤทธิ์ต่างกันตามแต่ละพระองค์ อย่างไรเสียก็เรียกได้ว่าศาสนาเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่มีการปกครองทับซ้อนกับโลกจริง เป็นการปกครองบนโลกแห่งความเชื่อ

 

  ทั้งนี้ศาสนาหลักของโลกมารนับถือ เอเรบอสผู้เป็นเทพแห่งค่ำตืนและความมืด หรือก็คือจอมมารมิตรนับถือพระเจ้าพระองค์นี้ ทั้งนี้ในเกมผู้เล่นสามารถเลือกจะตั้งต้นเป็นมิตรหรือปรปักษ์กับศาสนานี้ได้

 

‘นักบุญอาทีเชีย’

 

  แดนมนุษย์มีนักบุญเบียทริซเป็นนักบุญแห่งแสง นั่นทำให้นักบุญอาทีเชียของทางแดนมารถูกเรียกว่าเป็นนักบุญแห่งความมืด ทั้งสองจัดว่าเป็นโฉมงามที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ถึงกระนั้นบทบาทของทั้งสองในเกมกลับต่างกัน

 

  เบียทริซเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนางเอง ในขณะที่ทางด้านอาทีเชียผู้เล่นสามารถเลือกจะรับเธอเข้าร่วมคณะหรือเป็นอริกับนาง

 

  สรุปก็คือหากกล่าวถึงเรื่องศาสนาแล้ว นักบุญอาทีเชียคือตัวเลือกที่อินกองต้องการเป็นพวก เขากำลังคิดว่าตอนนี้อาจถึงเวลาที่เขาสมควรติดต่อกับเหล่าองค์กรศาสนา

 

‘ยิ่งมองผลประโยชน์ระยะยาวด้วยแล้ว’

 

  ศาสนาหลักย่อมมีสาวกติดตามมาก อาทีเชียมิใช่นักบุญเพียงหนึ่งเดียวของศาสนาเอเรบอส ยังมีบุคคลมากความสามารถแฝงตัวอยู่อีกเช่น บาทหลวงฟลอเรีย อันโตนิโออัศวินประจำวิหาร บรรดาผู้แสดงบุญที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วดินแดน ซึ่งข้อมูลจากพวกเขาเหล่านี้จะช่วยให้อินกองรู้ถึงที่อยู่ของเซคตัม
  เซคตัมเป็น 1 ใน 3 ขุนพลที่อินกองอยากได้ แต่ไม่รู้จะหาตัวเจอที่ไหน  

 

‘เอาละ ใส่ลิสท์ไปอีกหนึ่ง’

 

  ระหว่างที่ความทะเยอทะยานของอินกองกำลังพวยพุ่ง

 

“นี่เธอตั้งใจคิดอะไรอยู่?”

 

  เสียงเรียกจากเฟลิซีดึงสติของอินกองกลับมา ทั้งอมิตาภากับดาฟเน่ต่างมาถึงกระโจมระหว่างที่อินกองกำลังฟุ้งซ่าน

 

“ท่านอมิตาภาผู้นี้ทำเสร็จแล้วฮะ!”

 

  หางของเจ้าแรคคูนส่ายไปมาอย่างเห็นได้ชัดไม่ได้เก็บอาการอย่างทุกครั้ง มันกอดอกอวดอ้างสรรพคุณอย่างภาคภูมิ ด้านหลังอามิตาภามีดาฟเน่คอยชี้บอกบรรดาออร์คที่ขนกล่องจำนวนหนึ่งเข้ามา

 

“ชุดงามของดาฟเน่ก็เสร็จแล้ว ชุดนี้จะทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบรรดาภูติได้อย่างชัดเจนง่ายดายมากขึ้น แถมยังมีอาคมคุ้มกันที่ท่านอมิตาภาปลุกเสกเองอีกด้วย”

 

  ดาฟเน่หัวเราะออกมาพลางกล่าวเสริม

 

“ลวดลายถักทอบนชุดทั้งหมดเป็นอาคมก็ว่าได้ เรียกว่าทักษะงานฝีมือของอมิตาภาเหนือคำร่ำลือ.”

 

“คำร่ำลือแย่ฮะ บอกเล่าต่ำกว่าความจริงฮะ”

 

  ดาฟเน่ขยิบตาส่งสัญญาณ ทั้งหมดเข้าใจและไม่ปริปากพูดอะไรออกมา

 

“เอาละชิ้นถัดไปสำหรับเจ้าหญิงแปดฮะ”

 

“ฉันหรอ?”

 

“ใช่แล้วฮะ ที่จริงเป็นหนึ่งในชุดอุปกรณ์ของเจ้าชายเก้าแต่สุดท้ายคนที่ใช้ก็คือเธอ เพราะงั้นก็เลยทำให้สำหรับเธอฮะ”

 

  อมิตาภาพูดพลางชี้ไปยังกล่องหนึ่ง ดาฟเน่แกะเปิดกล่องนั้นหยิบอุปกรณ์ภายในออกมา ถุงมือคู่นึงประดับประดาด้วยเงินกับเหล็กกำมะหยี่ ต่างไปจากพสุธากัมปนาทที่แฝงความดุดัน นี่เป็นถุงมือที่ออกไปทางหรูหรา

 

  เคทลินมองดูอย่างตื่นเต้น

 

“อมิตาภา ฉันขอลองสวมได้ไหม?”

 

“แน่นอนฮะ ถุงมือนี่สำหรับเธอฮะ”

 

  เคทลินรีบคว้าถุงมือมาลองสวมในทันทีที่ได้รับอนุญาต ขอบเหล็กดูหลวมเล็กน้อยก่อนตัวถุงมือจะลดขนาดลงจนพอดีตัว

 

“เจ้าหญิงแปดอยู่ในวัยกำลังโตฮะ อมิตาภาเลยทำให้ถุงมือสามารถปรับเปลี่ยนขนาดได้ตามผู้สวมฮะ”

 

  คำบรรยายสรรพคุณราวกับทั้งหมดกำลังยืนอยู่กับนักการตลาด เคทลินหัวเราะก่อนหันไปทางอินกอง

 

“ขอบคุณมากฉัตร ฉันจะใช้มันอย่างดีเลย”

 

“อมิตาภาเป็นคนสร้างนะฮะ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าฮะ?”

 

  เสียงหางทุบพื้นดังตามมาเช่นเคย เคทลินหัวเราะก่อนจะยกเจ้าแรคคูนเข้าสวมกอด นั่นทำให้อมิตาภาเริ่มแกะกล่องที่เหลือ เกราะสีดำเกล็ดมังกรสำหรับกัมมะกับเซร่า

 

  เกราะหนังรัดรูปที่เน้นความว่องไวสำหรับกัมมะ เกราะหนักที่เน้นความแข็งแรงทนทานสำหรับเซร่า ทั้งนี้เกราะของเซร่าดูทำจากวัสดุเดียวกับถุงมือสำหรับเคทลิน อาจเป็นเพราะนั่นคือส่วนที่ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนขนาดตามผู้ใช้

 

  ระหว่างกัมมะกับเซร่าชื่นชมชุดเกราะของตน คารัคก็พูดขึ้น

 

“เจ้าแรคคูน แล้วของข้าละ?”

 

“ของวิเศษไม่ได้ถูกเสกขึ้นจากผู้วิเศษนะ คิดว่าอมิตาภาต้องสร้างทั้งหมดกี่ชิ้น? แกได้โล่ไปก่อนเพื่อนก็น่าจะพอใจแล้ว!”

 

  คำพูดแสดงชัดเจนว่าเจ้าแรคคูนยังคงโกรธเคืองเจ้าออร์คอยู่ คารัคทำได้แต่ถอยออกมาอย่างเศร้าสร้อย

 

  สามวันต่อมาคณะของอินกองก็สามารกู้คืนป้อมปราการที่สี่กลับมา

 

  จุดสำคัญก็คือวันนี้เป็นเวลาที่มีการนัดแนะกันไว้ การประลองระหว่างอินกองกับแวนเดล